ใบหน้าที่สดใสบึ้งตึงลง ในฐานะขุนนางผู้ใกล้ชิดฮ่องเต้และยังควบตำแหน่งฝ่ายตรวจการที่ดูแลกล่าวโทษเหล่าขุนนาง แม้กู้ซิ่งจือจะพยายามควบคุมอารมณ์แล้ว แต่ท่าทีเคร่งขรึมนั้นก็ยังทำให้นายอำเภอถูใจเต้นแรง
ทุกคนในที่นั้นไม่มีใครไม่กลั้นหายใจ ไม่กล้าพูดจา และนิ่งเงียบไปทันที
เสมียนที่ยืนอยู่ข้างๆ ดูเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงก้าวไปข้างหน้าสองก้าวแล้วกระซิบเตือนนายอำเภอถูที่ข้างหู
นายอำเภอถูลังเล แต่ในที่สุดก็พูดเสียงเบาว่า “ยังมีอีกคนหนึ่ง เมื่อครู่ข้าน้อยลืมไปขอรับ”
สายตาของกู้ซิ่งจือเหลือบมาและรออยู่อย่างเงียบๆ
นายอำเภอถูกระแอมเบาๆ สองครั้งแล้วกล่าวว่า “ในจำนวนสตรีที่ช่วยไว้ มีอยู่คนหนึ่งไม่ยอมลงชื่อในสมุดรายชื่อขอรับ ดูเหมือนจะตระหนกเกินไป ใครพูดกับนางนางก็ไม่สนใจทั้งนั้น”
“นางยังอยู่ในจวนหรือไม่” กู้ซิ่งจือถาม
นายอำเภอถูพยักหน้า “ในจวนข้าน้อยมีคนไม่มาก เมื่อวานงานยุ่งมากจึงได้ส่งฮูหยินของข้าน้อยไปดูแล ตอนนี้นางยังอยู่ที่สวนหลังบ้าน” พูดจบเขาก็ยื่นมือออก เดินนำกู้ซิ่งจือไปที่สวนหลังบ้าน
เดือนสองในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงเวลาที่หิมะบนยอดเขาในเมืองจินหลิงละลาย ความหนาวเย็นในอากาศถูกแสงแดดขับออกไป ทิวทัศน์ของฤดูใบไม้ผลิในสวนเผยความงามอยู่ท่ามกลางแสงหรุบหรู่
เมื่อเดินอ้อมมุมหนึ่งของทางเดินไปกู้ซิ่งจือก็เห็นร่างคนที่ขดตัวอยู่ใต้ต้นถงจากระยะไกล
ชุดลำลองบางๆ สีอ่อนถูกรวบไว้บนตัว และไม่รู้ว่าเพราะลมกำลังพัดหรือนางกำลังตัวสั่น กู้ซิ่งจือรู้สึกว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเหมือนควันจางๆ ที่สายลมสามารถพัดนางกระจัดกระจายไปได้
ข้างๆ มีสตรีสูงวัยนั่งอยู่ มือถือชามข้าวต้ม กำลังถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง
“ไม่ยอมกินหรือ” เขาเดินเข้าไป
สตรีสูงวัยผู้นั้นเห็นกู้ซิ่งจือก็สะดุ้ง
นายอำเภอถูที่อยู่ข้างๆ รีบเตือนทันทีว่า “ใต้เท้ากู้ถามเจ้าน่ะ”
เวลานี้สตรีสูงวัยจึงรู้สึกตัว ยื่นชามข้าวต้มในมือไปตรงหน้ากู้ซิ่งจือ พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ไม่ใช่แค่ไม่กินข้าวเท่านั้น แต่ยังทรมานตัวเองตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ แม้แต่นอนก็ไม่ได้นอน บ่าวรับใช้ในจวนเฝ้าอยู่ทั้งคืนจนทนไม่ไหวจริงๆ จึงเปลี่ยนข้าน้อยมาเจ้าค่ะ”
กู้ซิ่งจือส่งเสียง “อืม” ละสายตาจากข้าวต้มไปมองร่างที่ขดตัวอยู่
“ลำบากฮูหยินแล้ว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ตรงนี้ข้าจะดูแลเอง”
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาเงียบไปแล้ว ภายในสวนก็เงียบสงบลง แสงแดดอบอุ่น เงาของต้นไม้หรุบหรู่ บริเวณโดยรอบมีเสียงนกร้องเป็นครั้งคราว บรรยากาศที่ตึงเครียดก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
เมื่อกู้ซิ่งจือเดินไปถึงตรงหน้าก็เห็นนางถอยไปด้านหลังเหมือนกำลังกลัว เขาจึงนั่งยองๆ ลงตรงหน้านาง
รูปร่างของกู้ซิ่งจือสูงกว่านางมาก แม้ว่าจะนั่งยองๆ เช่นนี้ สายตาก็อยู่ที่ศีรษะของนางเท่านั้น ประกอบกับนางก้มศีรษะ จอนผมสีดำสองข้างปรกลงมา ปิดบังใบหน้าที่เดิมทีก็ไม่ใหญ่อยู่แล้วไปกว่าครึ่งหนึ่ง
แสงอาทิตย์ตกกระทบใบหน้านาง ทำให้ขนตาหนาดุจพัดคล้ายผีเสื้อสองตัวกำลังกระพือปีก เนื้อตัวสั่นเทาราวกับเมื่อครู่เพิ่งประสบกับพายุฝน
กู้ซิ่งจือไม่ใช่คนใจง่าย แต่เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ในใจก็เกิดความรู้สึกสงสารอย่างไม่สามารถควบคุมได้ จึงพยายามลดเสียงลงเอ่ยขึ้น
“ที่นี่คือที่ว่าการอำเภอ ตอนนี้เจ้าปลอดภัยแล้ว”
แต่สิ่งที่ตอบเขาคือความเงียบที่ยาวนาน
ดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่ได้ยินที่เขาพูด แขนเรียวเล็กเกาะต้นถงที่อยู่ข้างๆ ไว้แน่น นิ้วทั้งห้าที่จิกลงไปบนลำต้นนั้นเป็นสีขาวซีด
กู้ซิ่งจือไม่โกรธ เขาขยับเข้าไปใกล้อีกหลายชุ่น หยั่งเชิงต่อไปว่า “เจ้ารู้จักฉินเจาหรือไม่ ข้าเป็นสหายของเขา”
คนที่อยู่ตรงข้ามยังคงเงียบ
เขาอดทนรออยู่ครู่หนึ่ง หยิบถุงผ้าที่ฉินเจาทิ้งไว้ให้เขา เปิดออกแล้วหยิบแม่กุญแจอายุยืนที่ทำจากเงินออกมา