ฉินเจาเคยบอกว่าแม่กุญแจนี้บิดามารดาของเขาทำขึ้นเป็นพิเศษตั้งแต่ตอนที่เขายังเด็ก ตัวหนึ่งชื่อว่าอายุยืน อีกตัวหนึ่งชื่อว่าร้อยปี พี่ชายและน้องสาวมีคนละตัว ตอนที่น้องสาวพลัดหลงไปได้นำติดตัวไปด้วย ในปีนั้นฉินเจาอายุเจ็ดขวบ นางอายุสองขวบ
แม้เวลาจะผ่านไปนานแล้ว แม่กุญแจเงินอาจจะไม่ได้อยู่ติดตัวน้องสาวตัวน้อยที่พลัดหลงไปตลอดเวลา แต่กู้ซิ่งจือรู้สึกว่าเด็กอายุสองขวบอาจจะจำสิ่งสำคัญบางสิ่งได้ อย่างเช่นแม่กุญแจเงินที่สามารถช่วยให้นางตามหาคนในครอบครัวของนางได้
แต่คนที่อยู่ตรงข้ามมองแม่กุญแจเงินในมือของเขาแล้วก็ยังคงก้มหน้าและนิ่งเงียบ
เมื่อกู้ซิ่งจือเห็นเช่นนั้นก็รู้ว่าตนเองจะใจร้อนเกินไปไม่ได้ จึงคิดจะหยุดชั่วคราวก่อน ยังมีเวลาพูดคุยอีกนาน
แน่นอนว่าตอนที่เขาลุกขึ้นจะจากไป ของเหลวอุ่นๆ หยดหนึ่งกลับตกลงบนฝ่ามือที่เขาถือแม่กุญแจเงินไว้
หนึ่งหยด สองหยด สามหยด…
เวลานี้กู้ซิ่งจือจึงพบว่าขนตาของสตรีที่อยู่ตรงหน้าเปียกไปหมดแล้ว เป็นประกายชุ่มชื้น ปีกจมูกเล็กๆ ที่ขยับเล็กน้อยกลายเป็นสีแดง และมุมปากของนางที่เดิมทีก็เม้มแน่นอยู่แล้ว เวลานี้ยิ่งถูกยืดเป็นเส้นตรง น้ำตารวมตัวกันอยู่ที่ปลายคางแล้วหยดลงมาเหมือนด้ายขาด
นางร้องไห้
กู้ซิ่งจือตกใจ ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือกังวลใจอยู่ครู่หนึ่ง
“เจ้าจำมันได้ใช่หรือไม่” เขาถามแล้วยื่นแม่กุญแจเงินเข้าไปใกล้นางอีกเล็กน้อย
ครั้งนี้คนที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้หลบหลีก ทว่านางยังคงไม่ตอบสนองต่อคำพูดของกู้ซิ่งจือ เอาแต่หลั่งน้ำตาพรั่งพรูอย่างเงียบๆ
ครู่หนึ่งนางจึงเงยหน้าขึ้นช้าๆ และสบตากับกู้ซิ่งจือท่ามกลางแสงสลัวยามสายัณห์
ครั้นสบตากันกู้ซิ่งจือรู้สึกเหมือนจะหยุดหายใจ
ภาพตรงหน้าเขากลายเป็นภาพของดอกไม้และต้นไม้ที่อยู่ด้านหลังนาง และจิตสำนึกของเขาก็เริ่มสับสน
‘ฉางยวน…’
‘กู้ฉางยวน…’
คนในฝันปรากฏตัวขึ้นอีกแล้ว
นางมองเขา ประกายไฟในดวงตาปะทุออกมา เผาไหม้หมู่เมฆยามอาทิตย์อัสดง
กู้ซิ่งจือรู้สึกว่าเท้าโซเซจึงรีบยันต้นไม้ข้างตัวไว้ ขณะที่ยกมือขึ้นก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่น
มือของเขาถูกคนที่อยู่ตรงหน้าจับไว้
สัมผัสที่นุ่มนวลและละเอียดอ่อนห่อหุ้มเขาไว้ บางทีอาจเป็นเพราะความตื่นเต้น ที่ปลายนิ้วของนางมีเหงื่อผุดขึ้นมาบางๆ ดวงตาที่ยังคงแดงก่ำจ้องมองเขาเขม็งโดยไม่ขยับเขยื้อน
เวลานี้กู้ซิ่งจือจึงได้สติกลับคืนมาและยิ้มขออภัยนาง ทว่านางกลับไม่ยอมปล่อยมือเขา เมื่อเห็นว่าเขาไม่เป็นอะไร ดวงตาคู่นั้นก็กลับมาสงบนิ่งเช่นเดิม จากนั้นจึงกางฝ่ามือของเขาออกและเริ่มเขียนตัวอักษรลงไป
จนถึงตอนนี้กู้ซิ่งจือจึงเข้าใจว่าเหตุใดเมื่อครู่นางถึงไม่สนใจเขา
ที่แท้นางก็เป็นใบ้ แต่เขาไม่เคยได้ยินฉินเจาพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน
ฝ่ามือรู้สึกชา ความคิดถูกขัดจังหวะด้วยเหตุนี้
หญิงผู้นี้น่าจะอายุประมาณสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี นางหลุบตา ประคองมือเขาอย่างระมัดระวัง ปลายนิ้วเรียวงามลากไปบนฝ่ามือของเขาทีละขีดๆ อย่างตั้งใจและจริงจัง
มือของนางนุ่มมาก ฝ่ามืออุ่น ปลายนิ้วมีเหงื่อออกและเย็นเล็กน้อย ทั้งยังสั่นนิดหน่อยเมื่อวาดผ่านฝ่ามือของเขาราวกับขนนกสีอ่อน
เขาไม่เคยเห็นนิ้วมือเช่นนี้มาก่อน…ไม่เหมือนนิ้วมือของสตรีทั่วไปที่ไว้เล็บยาว นิ้วมือนางตัดแต่งอย่างเรียบร้อย ไม่ทาเล็บ สะอาดสบายตา คงสีชมพูและสีขาวที่เล็บพึงมีไว้ ชวนให้นึกถึงกลีบดอกท้อเดือนสามในฤดูใบไม้ผลิ
เมื่อเขียนตัวอักษรขีดสุดท้ายเสร็จสิ้น กู้ซิ่งจือก็เห็นนางเงยหน้าขึ้น คิ้วบางยกโค้งเล็กน้อย ดวงตาสีเหลืองอำพันของนางเป็นประกาย มองเขาพลางพยายามทำรูปปาก
‘เหยาเหย่า’
นางบอกว่านางชื่อเหยาเหย่า
นั่นคือชื่อเล่นของน้องสาวร่วมอุทรของฉินเจา
ความเศร้าที่สั่งสมอยู่ภายในใจหลายวันมานี้ดูเหมือนจะถูกใบหน้ายิ้มแย้มของนางพัดจนกระจัดกระจาย เผยให้เห็นแสงจากท้องฟ้าที่ด้านหลัง
กู้ซิ่งจือกระตุกมุมปาก บอกนางว่า “ข้าแซ่กู้ ชื่อซิ่งจือ และฉินเจาพี่ชายของเจ้าฝากเจ้าไว้กับข้า จากนี้ไปมีข้าอยู่ เจ้าไม่ต้องกลัว”
นางพยักหน้าอย่างเชื่อฟังและดึงแขนเสื้อของเขาเบาๆ
กู้ซิ่งจือชะงักไปและไม่ได้สลัดออก เพียงมองนางด้วยแววตาอ่อนโยน
แสงสุดท้ายของยามสายัณห์ในฤดูใบไม้ผลิส่องผ่านต้นถงที่อยู่เหนือศีรษะคนทั้งสอง สาดแสงสีทองจางๆ ลงบนร่างของบุรุษตรงหน้า สะท้อนให้เห็นสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วงในดวงตาของเขา
คุณชายรูปงาม อบอุ่นราวกับหยก แม้แต่แสงอาทิตย์ก็ยังถูกเขาทำให้อ่อนโยนกว่าเดิม
จู่ๆ รอบตัวก็เงียบสงบมาก
เสียงนกร้อง ภาษาดอกไม้ และเสียงลม
ฮวาหยางยกยิ้ม
กู้ซิ่งจือ ข้ารอเจ้ามานานแล้ว
ดตามตอนต่อไปวันที่ 20 ก.ย. 67