บทที่ 5 ห้องอ่านหนังสือ
ภายในห้องที่แสงเทียนส่องสว่าง สาวใช้สูงวัยเบี่ยงตัวนั่งลงบนเก้าอี้เตี้ยหน้าเตียง ยื่นยาน้ำสีดำช้อนหนึ่งในมือไปที่ริมฝีปากของฮวาหยาง
“มา ดื่มอีกคำหนึ่ง”
ฮวาหยางทำหน้าย่น กัดริมฝีปากแน่น
นางก็เพิ่งรู้หลังจากไปที่รังโจรภูเขาแล้วว่าสตรีที่ชื่อเหยาเหย่านั้นเป็นใบ้ และที่ยุ่งยากที่สุดก็คือเรื่องการแกล้งทำเป็นใบ้
พวกโจรภูเขาเหล่านั้นทำการค้าสตรี แม้นางจะไม่ได้ทำอาชีพนี้ แต่ก็รู้ว่าสตรีที่ตกอยู่ในมือของผู้ค้ามนุษย์เหล่านี้บางคนถูกลักพาตัวมา บางคนถูกขายมา แล้วก็ถูกหมุนเวียนขืนใจและขายต่อไปอีกหลายทอด หากโชคร้ายบังเอิญถูกขืนใจจนตาย จุดจบก็คือจะถูกโยนศพทิ้งกลางป่า
อย่างเช่นสตรีใบ้ที่ชื่อเหยาเหย่าคนนี้
แม้หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายคือการฆ่าผู้คนปิดปากแล้วสวมรอยเข้าแทนที่ แต่พวกโจรเหล่านั้นไม่ได้ให้โอกาสนางเลย ตามที่หนึ่งในคนเหล่านั้นบอกเล่า ขณะที่เหยาเหย่าหายใจรวยรินได้ถูกพวกเขาโยนลงหน้าผา
ฆ่าคนต้องเห็นศพ นี่เป็นหลักการทำงานของนางในการเป็นนักฆ่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา ด้วยความกังวลใจข้อนี้นางไม่สามารถยืนยันความเป็นความตายของเหยาเหย่าด้วยตนเองได้ สำหรับฮวาหยางที่ทำงานละเอียดรอบคอบมาโดยตลอด เรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกหดหู่
ดังนั้นโดยไม่ทันระวังนางได้ฆ่าคนที่หนีไปสามคน สุดท้ายยังผลักคนที่เป็นหัวหน้าตกหน้าผาไปด้วย
เมื่อหวนนึกถึงศพหลายร่างที่นอนระเกะระกะอยู่ในลานบ้าน ทำให้ฮวาหยางต้องไตร่ตรองอยู่อึดใจหนึ่งอย่างพบเห็นได้ไม่บ่อยนัก รู้สึกว่าเรื่องนี้ตนลงมือด้วยความหุนหันพลันแล่นเล็กน้อย
คิดว่าโชคร้ายมาหลายปี ทุกงานในช่วงไม่กี่ปีมานี้ล้วนทำให้นางกังวลไม่พอ เวลานี้ยังต้องถูกสตรีสูงวัยผู้นี้กรอกยาอยู่ที่นี่อีก
คิดแล้วก็รู้สึกเสียใจ หากรู้แต่แรกว่างานแย่ๆ งานนี้…
ไม่ได้! หากรู้แต่แรกก็ยังต้องชิงมันมา
นางทนไม่ได้กับท่าทางที่ฮวาเทียนชี้นิ้วต่อหน้านาง
เมื่อคิดถึงตรงนี้ฮวาหยางก็อ้าปากอย่างเดือดดาล กลืนยาน้ำลงไป
ยาน้ำที่เหนียวข้นผสมกับความขมขื่น ทันทีที่สัมผัสถูกลิ้นก็ทำให้นางต้องขมวดคิ้ว รู้สึกพะอืดพะอมจนเกือบจะรักษาอาหารเย็นวันนี้ไว้ไม่ได้
ดื่มยากจริงๆ…
เมื่อเห็นว่าสาวใช้สูงวัยจะป้อนอีก นางทำได้เพียงหันหน้าหนีอย่างหมดหนทาง และการหลบครั้งนี้ทำให้ต้องสบตากับกู้ซิ่งจือที่ยืนอยู่ตรงประตูโดยบังเอิญ
ดูเหมือนเขาจะเพิ่งกลับมาจากที่ว่าการอำเภอ ยังคงสวมเสื้อคลุมยาวปักลายเมฆที่เขาสวมเมื่อตอนบ่าย เกี้ยวหยกขาวประดุจแสงจันทร์อันอบอุ่น แม้ว่ามุมเสื้อคลุมจะเปื้อนโคลนเนื่องจากเร่งเดินทาง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความสง่างามของเขาลดลงแม้แต่น้อย ชวนให้นึกถึงแสงจันทร์ส่องสว่างท่ามกลางป่าสนที่เงียบสงบและต้นไผ่โดดเดี่ยวในป่ากว้าง
หากจะพูดถึงรูปลักษณ์ภายนอก นอกจากตนเองแล้วฮวาหยางก็ไม่เคยชอบใครเลย แต่ยามนี้เมื่อเห็นกู้ซิ่งจืออีกครั้งภายใต้แสงเทียนเต็มห้องก็อดมีความคิดที่อยากจะมองอีกสักหน่อยไม่ได้
ฮวาหยางรู้สึกตัวว่าตนเองฟุ้งซ่านจึงรีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นน่าสงสารทันที ดวงตาที่สดใสมองตากู้ซิ่งจือ เหมือนลูกแมวที่ตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก
ในที่สุดบุรุษที่เป็นผู้ชมอยู่ด้านข้างมาเป็นเวลานานก็ยอมรอมชอม
เขาเดินเข้ามาวางของห่อหนึ่งลงบนโต๊ะ ยื่นมือไปทางสาวใช้สูงวัยแล้วเอ่ยว่า “ข้าป้อนเอง” พูดจบก็นั่งลงตรงที่นางนั่งก่อนหน้านี้
นิ้วเรียวยาวที่เห็นข้อต่อชัดเจนจับขอบชามกระเบื้องสีขาวเบาๆ นิ้วนั้นราวกับหยกแกะสลัก เล็บสะอาดและเรียบร้อย เนื้อใต้เล็บเป็นสีขาวเล็กน้อย ภายใต้การส่องสะท้อนของแสงเทียนคล้ายมีหมอกเลื่อนไหลจางๆ
“อย่าดื้อ”
หลังการเกลี้ยกล่อมอย่างอ่อนโยนครู่หนึ่ง มือที่งดงามข้างนั้นก็ยื่นมาถึงเบื้องหน้าฮวาหยาง ยาน้ำในช้อนแกว่งไกว ส่งกลิ่นขมออกมา
ฮวาหยางหลบไปด้านหลัง ไม่อยากดื่มอีกต่อไป นางก้มศีรษะลง สีหน้าอึดอัดใจยิ่งขึ้น ครู่หนึ่งก็ทำปากสื่อสารกับกู้ซิ่งจือ
‘ขม…’
บุรุษตรงหน้าชะงักไป
ฮวาหยางรู้สึกภูมิใจ บุรุษนี่นะ มักจะไม่สามารถโหดร้ายกับสาวน้อยที่น่ารักอ่อนหวานได้
แต่กู้ซิ่งจือกลับยกชามยาขึ้นป้อนนางหนึ่งช้อน
“ไม่ขม”