ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ม่านฝันคืนวสันต์รัญจวน บทที่ 5-6
ก่อนรุ่งสางวันรุ่งขึ้นฮวาหยางถูกคนของที่ว่าการอำเภอยัดเข้าไปในรถม้าอย่างเร่งรีบ
ล้อรถดังกุกกักโดยไม่ได้หยุดพักแม้สักช่วงเวลา คนทั้งกลุ่มกลับถึงเมืองจินหลิงในบ่ายวันนั้น
เนื่องจากกู้ซิ่งจือมีงานในราชสำนักรัดตัว เมื่อดูแลเรื่องต่างๆ ในจวนเล็กน้อยเสร็จก็กลับไปยังสำนักราชเลขาธิการ แต่ก่อนออกเดินทางเขาได้สั่งลุงฝูจัดที่พักให้ฮวาหยางไว้เรียบร้อยแล้ว
ก่อนที่จะมาถึงจวนสกุลกู้ฮวาหยางไม่เคยคาดคิดเลยว่าที่พักของรองราชเลขาธิการขั้นสามของราชสำนักจะเรียบง่ายถึงขั้นนี้
จวนหลังใหญ่มากก็จริง แต่คนที่คอยรับใช้ในจวนกลับน้อยจนน่าสงสาร นอกจากลุงฝูที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายกู้ซิ่งจือแล้วก็มีแค่ผู้ช่วยในครัวเพียงสามคนกับบ่าวรับใช้คอยทำความสะอาดเจ็ดคน รวมคนเฝ้าบ้านอีกสองสามคน จวนสกุลกู้ที่กว้างใหญ่มีคนอาศัยอยู่ไม่ถึงยี่สิบคนและเป็นบุรุษทั้งหมด
ฮวาหยางอดสงสัยไม่ได้ว่าเป็นเพราะเบี้ยหวัดของหนุ่มรูปงามผู้นี้ต่ำเกินไปจึงเลี้ยงดูบ่าวรับใช้และอนุภรรยางามๆ ไม่ไหว
แต่โชคดีที่กู้ซิ่งจือแค่ ‘ยากจน’ เท่านั้น ไม่ได้ตระหนี่กับฮวาหยาง เขาไม่เพียงส่งคนไปซื้อเครื่องเรือนใหม่ แม้แต่เสื้อผ้าและชาดก็มีพร้อมทุกอย่าง แม้เทียบกับของที่นางซื้อให้ตนเองแล้วจะแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ทว่าเมื่อเปรียบกับความทุกข์ทรมานที่ได้รับตอนอยู่ในรังโจรและที่ว่าการอำเภอหลายวันก่อน สิ่งเหล่านี้ฮวาหยางก็พอใจแล้ว
หลังจากเก็บของเรียบร้อยฮวาหยางก็งีบหลับครู่หนึ่ง การถูกขังอยู่ในห้องนั้นน่าเบื่ออย่างยิ่ง ถึงอย่างไรก็ไม่มีอะไรทำ นางจึงตัดสินใจที่จะทำความรู้จักกู้ซิ่งจือก่อน ฉวยโอกาสตอนที่ในจวนไม่มีคนดูแลลอบเข้าไปในห้องนอนของเขา
ที่พักของทั้งสองคนไม่ห่างกันมากนัก เดินอ้อมระเบียงไปก็เป็นเรือนที่กู้ซิ่งจืออาศัยอยู่เพียงลำพัง
ห้องอ่านหนังสืออยู่ติดกับห้องนอนและห้องอาบน้ำ ต้นเหมยหลายต้นในลานเรือนแตกใบอ่อนแล้ว และยังมีไผ่ลายจุดอีกกอหนึ่งด้วย
ฮวาหยางเดินรอบห้องนอนหนึ่งรอบแล้วยันแขนกระโดดเข้าไปทางหน้าต่างด้านหลังที่เปิดไว้ครึ่งหนึ่ง
ห้องนอนกว้างขวาง แต่มีเพียงขาตั้งอ่างล้างหน้าแกะสลักตัวสูงหนึ่งตัว เตียงแกะสลักลายหมู่เมฆหนึ่งหลัง ตู้เสื้อผ้าหนึ่งหลัง และฉากกั้นปักลายสนท่ามกลางหิมะ แม้แต่เตียงหลัวฮั่นก็ไม่เห็น เมื่อเดินเข้าไปยังได้ยินกระทั่งเสียงสะท้อนของฝีเท้าของตนเอง
ฮวาหยางขมวดคิ้ว เปิดตู้เสื้อผ้า เห็นเสื้อตัวนอกและเสื้อคลุมที่จัดเรียงไว้อย่างเรียบร้อย ผ้าชั้นดีแต่ไม่นับว่าหรูหรา และส่วนใหญ่จะเป็นสีฟ้า สีขาว หรือสีดำ เหมือนนิสัยที่ตรงไปตรงมาของเขา
ห้องอ่านหนังสือของเขามีสภาพที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย
เมื่อเทียบกับห้องนอนที่มองไปก็เห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน ห้องอ่านหนังสือของกู้ซิ่งจือสามารถใช้คำว่าคึกคักมีชีวิตชีวามาบรรยายได้
ชั้นวางหนังสือไม้จันทน์จำนวนมากสูงประมาณสองคนต่อกัน เรียงตั้งแต่ประตูเข้าไปมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ที่ประตูมีบันไดสั้นวางอยู่ ดูท่าทางน่าจะใช้สำหรับหยิบหนังสือ
ที่ท้ายแถวชั้นวางหนังสือมีโต๊ะยาววางอยู่ ปลายโต๊ะด้านหนึ่งมีหนังสือกองไว้ อีกด้านหนึ่งวางพู่กัน น้ำหมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย
ในอากาศมีกลิ่นหมึกฮุยโม่* กลิ่นหนังสือที่กลายเป็นสีเหลือง และกลิ่นไม้อ่อนๆ ล้วนเป็นกลิ่นที่เกิดจากการสัมผัสถูกแสงแดดอย่างเต็มที่แล้วเท่านั้น อบอุ่นและสงบ เหมือนความรู้สึกที่เขามอบให้กับผู้คน
แสงแดดยามบ่ายลอดผ่านเฉียงๆ เข้ามาทางหน้าต่าง ฮวาหยางเดินอย่างไร้จุดหมาย และในที่สุดก็หยุดอยู่ที่หน้าชั้นวางหนังสือแล้วดึงหนังสือออกมาเล่มหนึ่ง
‘บุคคลสำคัญทางการเมืองในปีรัชศกเจินกวน’
หน้าปกชำรุดเล็กน้อย ดูแล้วน่าจะมีอายุการใช้งานพอสมควร
นางเปิดดูผ่านๆ เห็นแต่ตัวอักษรเสี่ยวข่ายเต็มไปหมดพุ่งใส่หน้าราวกับแมลงวันฝูงใหญ่บินโฉบออกมา หมายจะทำให้นางจมกองแมลงวันเสียอย่างนั้น นางรีบปิดหนังสือแล้วยัดมันกลับเข้าที่
คิ้วงามขมวดแน่นยิ่งขึ้น ฮวาหยางถอยหลังสองก้าว ค่อยๆ เลื่อนสายตาจากด้านซ้ายของชั้นวางหนังสือไปทางด้านขวาอย่างช้าๆ
…สี่ตำราห้าคัมภีร์ ‘สื่อทง’ ‘ฝ่าเหยียน’ ‘ซินจิง’ ‘ฉาจิง’ ‘ฉู่ฉือ’ ‘เยวี่ยฝู่’…กล่าวได้ว่าครอบคลุมเนื้อหาด้านคัมภีร์ ประวัติศาสตร์ แนวความคิดของนักปราชญ์ และบทกวีทั้งหมดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
หนังสือสะสมชุดนี้…นางอดกัดลิ้นไม่ได้ มีมากมายจนเกือบจะเทียบเท่าหนังสือที่สำนักราชบัณฑิตมีแล้ว
มิน่าเล่าเขาดูท่าทางสง่างาม แต่กลับใช้ชีวิตอย่างยากจนข้นแค้น จุๆ ที่แท้เบี้ยหวัดทั้งหมดก็ใช้ไปกับสิ่งนี้นี่เอง
นึกถึงยาชามนั้นที่ถูกบังคับให้ดื่มเมื่อคืนนี้ จู่ๆ นางก็เข้าใจถึงความคร่ำครึและดื้อรั้นของกู้ซิ่งจือทันที…หนังสือมากมายถึงเพียงนี้ล้วนอ่านหมดแล้ว ไม่ทึ่มก็แปลกแล้ว
คิ้วของนางขมวดแน่นยิ่งขึ้น หยิบคัมภีร์ถานจิง* ลงมาจากที่สูงแล้วเปิดออก มองไปก็เห็นคำอธิบายประกอบเป็นแถว
‘ผู้ที่น้อมใจบำเพ็ญธรรมจะมีพลังมากที่สุด ข้าพเจ้าต่อสู้กับใจ พบกับภัยพิบัตินับไม่ถ้วน เวลานี้จึงได้บรรลุเป็นพุทธะแล้ว’
ฮวาหยางตกตะลึง
แม้ว่านางจะไม่เคยเห็นลายมือของกู้ซิ่งจือ แต่เมื่อเห็นคำอธิบายประกอบแถวนี้ นางก็รู้สึกว่ามันต้องเป็นลายมือของเขาตามสัญชาตญาณทันที
เพราะตัวอักษรสิงซู อันสง่างามช่างเหมือนตัวเขาที่นางเห็นใต้ต้นถงวันนั้นอย่างยิ่ง
เพียงแต่ตัวอักษรคำว่า ‘พุทธะ’ นั้น…
ฮวาหยางขยับเข้าไปใกล้อีกนิด พบว่าเส้นเบี่ยงซ้ายนั้นเขียนลงตรงๆ เหมือนกับคนที่พกกระบี่ที่เอว ท่องไปทั่วยุทธภพ
ไม่รู้เพราะเหตุใดจู่ๆ นางก็หัวเราะออกมา ความคิดแก้แค้นที่ถูกเขาบังคับให้ดื่มยาก็เกิดขึ้นมาทันที
นางจึงหยิบพู่กันบนโต๊ะขึ้นมาแล้ววาดภาพเต่าตัวใหญ่ๆ ไว้ข้างๆ คำว่า ‘พุทธะ’
หลังจากเดินเตร็ดเตร่อยู่นานและไม่พบสิ่งใดเลย ฮวาหยางอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ จึงเก็บหนังสือเล่มนั้นกลับคืนที่เดิมและคิดจะจากไป ขณะกำลังเคลื่อนไหวก็ได้กลิ่นหอมเย็นๆ ที่ซ่อนอยู่ใต้แสงแดดอุ่นและน้ำหมึก เป็นไม้จันทน์ขาวที่มักใช้ถวายพระนั่นเอง
เมื่อมองไปรอบๆ นางเห็นที่ด้านหลังชั้นวางหนังสือซึ่งตั้งตระหง่านมีประตูสองบานแง้มอยู่เล็กน้อย
ฮวาหยางเดินไป พบว่ามีห้องพระเล็กๆ อยู่ที่ด้านในสุดของห้องอ่านหนังสือ