บทที่ 6 สอบปากคำ
ห้องพระไม่ได้จุดธูปไว้ บนโต๊ะวางกระถางธูปสูงขนาดครึ่งตัวคนมีพระโพธิสัตว์กวนอินหยกขาววางอยู่ แกะสลักอย่างประณีตงดงาม กลิ่นของไม้จันทน์ขาวเมื่อครู่ลอยมาจากกระถางธูปกระเบื้องเคลือบสีขาวลายดอกบัวที่อยู่ด้านข้าง
จู่ๆ นางก็นึกถึงเรื่องของกู้ซิ่งจือที่ได้ยินมาเมื่อเช้านี้ อายุสิบหกปีเป็นจ้วงหยวน หมั้นตอนอายุสิบเก้า หลังจากนั้นได้เลื่อนกำหนดการแต่งงานออกไปเนื่องจากปู่เสียชีวิตจากอาการป่วย
ระหว่างการไว้ทุกข์เขาได้ตัดสินใจถอนหมั้นเอง ตั้งแต่นั้นเขาก็เป็นขุนนางมาสิบปีโดยไม่พูดถึงเรื่องการแต่งงานอีกเลย
ชายหนุ่มมีความสามารถ แต่กลับใช้ชีวิตประหนึ่งภิกษุที่บำเพ็ญทุกรกิริยา
ฮวาหยางมองห้องพระที่อยู่ตรงหน้า รู้สึกอย่างเลือนรางว่าตนเองได้ล่วงรู้ความลับที่บอกใครไม่ได้ของกู้ซิ่งจือแล้ว จึงเกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นในใจ
“ข้ารู้สึกว่าเจ้าจะว่างมากใช่หรือไม่” เสียงของคนผู้หนึ่งดังมาจากด้านหลัง ในความเย็นชาแฝงความเย้ยหยันอยู่
ฮวาหยางตกใจกับเสียงที่จู่ๆ ก็ดังขึ้น มือที่ผลักประตูชะงักแล้วมองไปทางด้านหลัง ท่ามกลางแสงแดดที่สาดส่องไปทั่วห้อง สตรีรูปร่างผอมบางเดินก้มหน้าออกมาจากด้านหลังชั้นหนังสือ
สตรีผู้นั้นเกือบจะหัวเราะออกมาด้วยความโกรธ
คนตรงหน้าเงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่อ่อนโยนและสง่างามประกอบกับสีหน้าที่เรียบเฉยหมางเมินมาโดยตลอด หากไม่ใช่ฮวาเทียนแล้วจะเป็นใครได้
คิดไม่ถึงว่าเพื่อหน้าที่แล้ว นางจะไล่ล่ามาถึงที่นี่
ครั้นประสานสายตากันทั้งสองคนยังคงแย้มยิ้มบางๆ ทว่าอากาศดูเหมือนจะลุกเป็นไฟ รอบด้านมีประกายไฟแตกกระจายอยู่
ฮวาหยางหัวเราะเย้ยหยัน จงใจพูดยั่วยุว่า “ศิษย์พี่ไม่ปวดหัวแล้วหรือ”
คนตรงหน้าเลิกคิ้วด้วยความโกรธจริงๆ และเปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยใบหน้าบูดบึ้งว่า “ทางสำนักให้เจ้าอยู่ข้างกายกู้ซิ่งจือเพื่อสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับคดีของเฉินเหิง ไม่ได้ให้เจ้ามาเที่ยวชมห้องอ่านหนังสือ”
ฮวาหยางจุปากเบาๆ แล้วถามกลับว่า “การสืบหาข้อมูลไม่ควรเริ่มต้นจากห้องลับในห้องอ่านหนังสือเช่นนั้นหรือ”
ฮวาเทียนไม่ได้ตอบ แต่เดินไปผลักประตูที่อยู่ตรงหน้าฮวาหยาง “ก็แค่ห้องพระเล็กๆ ที่ไม่มีอะไรเลย เจ้าสนใจที่จะตรวจสอบเรื่องนี้ มิสู้ลองถามกู้ซิ่งจือว่าวันนี้เขาไปที่ใดมาจะดีกว่า”
อ้อ? ฮวาหยางหันมามองนาง กะพริบตาแล้วถามว่า “ไปที่ใดมา”
“ห้องขังศาลต้าหลี่” ฮวาเทียนไม่อ้อมค้อม พูดตรงๆ ว่า “ในคืนที่เฉินเหิงถูกสังหาร องครักษ์ของกองทหารรักษาวังที่รับผิดชอบในการลาดตระเวนถนนหน้าวังหลวงคนนั้นถูกหาตัวพบแล้ว”
“แล้วอย่างไร” ฮวาหยางขมวดคิ้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
ฮวาเทียนยังคงมีสีหน้าเย็นชา เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ดังนั้นข้อมูลนี้ไม่ควรจะเป็นข้าที่เป็นคนมาบอกเจ้า”
“เหอะ” ฮวาหยางไม่สนใจแม้แต่น้อย กลอกตาแล้วถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเช่นนั้นจะฆ่าคนผู้นี้หรือยัง”
ฮวาเทียนพูดไม่ออกกับนิสัยตรงไปตรงมาของนาง จึงพูดด้วยความโกรธว่า “เขาอยู่ในห้องขังของศาลต้าหลี่แล้ว การเคลื่อนไหวอย่างบุ่มบ่ามอันตรายเกินไป อีกอย่างแค่องครักษ์ลาดตระเวนคนเดียว เป็นเพียงมดตัวหนึ่ง ทางสำนักสนใจแค่กู้ซิ่งจือเท่านั้น” สุดท้ายนางก้าวขากำลังจะจากไปก็ไม่ลืมที่จะกำชับอีกว่า “อีกอย่างอย่าลืมไปสำรวจที่จวนของเฉินเหิงด้วย”
ฮวาหยางไม่พอใจกับท่าทียโสของอีกฝ่ายยิ่งนัก จึงเบะปากถามกลับว่า “ทางสำนักส่งเจ้ามาช่วยเหลือข้า?”
“ทางสำนักส่งข้ามาเฝ้าดูเจ้า”
“ช่วยเหลือข้า” ฮวาหยางกัดฟัน เน้นย้ำอย่างจริงจัง
ฮวาเทียนหัวเราะเบาๆ และก่อนที่จะหันกลับไปก็ได้กล่าวเตือนอย่างไม่ใส่ใจว่า “กู้ซิ่งจือนั่นดูท่าทางไม่ใช่คนที่จะควบคุมได้ง่ายๆ ข้าเกรงว่าเจ้าจะสืบอะไรไม่ได้สักอย่าง หากไม่เชื่อเจ้าก็ลองดู”
ฮวาหยางโกรธเคือง “มาถึงเขาก็ขังข้าไว้ในเรือนด้านหลัง ห้องนอนยังมีทางเดินกั้น จะให้ข้าจับตาดูเขาได้อย่างไรกัน”
ฮวาเทียนไม่ได้หยุดเดิน ทิ้งคำพูดไว้ไม่กี่ประโยคว่า “เจ้าเป็นหนึ่งในใต้หล้ามิใช่หรือ หาหนทางดูสิ หนึ่งในใต้หล้า”
ฮวาหยาง “…”