ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกไป ทุกคนต่างอึ้งงันไปชั่วครู่
คนทั้งสองที่คุกเข่าอยู่มองหน้ากัน หลินไหวจิ่งมองกู้ซิ่งจือด้วยความประหลาดใจแล้วหันไปมองฉินซู่ ครู่หนึ่งจึงถามตะกุกตะกัก
“ถาม…ถามเสร็จแล้วหรือ”
กู้ซิ่งจือส่งเสียง “อืม” แล้วยืนขึ้น พูดกับฉินซู่ว่า “เจ้านำทั้งสองคนนี้กลับไปที่กรมอาญา แล้วแยกกันสอบปากคำอีกครั้ง”
ฉินซู่เอียงศีรษะด้วยความไม่เข้าใจ แต่กลับได้ยินกู้ซิ่งจือกล่าวเสริมขึ้น
“ระหว่างสองคนนี้ใครที่สารภาพก่อน ข้าจะทูลขอความเมตตาจากฮ่องเต้ให้ด้วยตนเอง ยกเว้นโทษตาย ส่วนอีกคนหนึ่ง…” เขาชะงักเล็กน้อย ลากหางเสียงสดใสและชัดเจนราวกับพระอาทิตย์อันอบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิบนแม่น้ำฉินไหว “ส่วนอีกคนหนึ่งในเมื่อพูดไม่ได้ เก็บลิ้นไว้ก็เสียเปล่า ดึงทิ้งแล้วกัน”
หลินไหวจิ่งแข้งขาอ่อนเปลี้ย มองคุณชายผู้สง่างามราวกับเทพเซียนอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
มือของกู้ซิ่งจือที่กำลังจัดเสื้อผ้าพลันหยุดชะงัก เขาหันหลังกลับท่ามกลางแสงไฟแล้วเอ่ยกำชับฉินซู่อีกครั้ง “เวลาที่ทั้งสองแยกย้ายกันที่ทหารผู้นั้นบอกเมื่อครู่ ใต้เท้าฉินอย่าลืมบันทึกไว้ด้วย”
“บันทึกแล้วขอรับ” ฉินซู่พยักหน้า
“อืม” สายตาของกู้ซิ่งจือมองไปยังคนทั้งสองที่ใบหน้าซีดเผือด “ในการสอบปากคำ การสร้างหลักฐานเท็จและให้การเท็จเป็นความผิดอย่างหนึ่ง ใต้เท้าฉินเข้าใจดี?”
ฉินซู่ได้ยินดังนั้นดวงตาก็เป็นประกาย มองกู้ซิ่งจือพลางกลั้นยิ้มและพยักหน้า
เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่ากู้ซิ่งจือผู้ซึ่งอ่านตำราของจอมปราชญ์มาตลอดชีวิตจะมีช่วงเวลาที่ ‘เจ้าเล่ห์’ เช่นนี้ด้วย
ความจริงทหารผู้นี้เขาเป็นคนหาตัวเจอเมื่อสองวันก่อน ในตอนนั้นกู้ซิ่งจือไปอำเภอเจียงเพื่อจัดการธุระของฉินเจา เขาสอบปากคำคนเดียวตลอดทั้งวัน แต่ไม่มีอะไรหลุดออกจากปากของอีกฝ่าย เขาหมดหนทางจริงๆ จึงไปพบกู้ซิ่งจือ
ใครจะรู้ว่ากู้ซิ่งจือจะนำตัวอีกฝ่ายมาที่ศาลต้าหลี่โดยตรง
หลังจากที่ได้เห็นองครักษ์หนุ่มหวาดกลัวจนตื่นตกใจ แล้วยังต้องเผชิญกับเงื่อนไขที่กู้ซิ่งจือเสนอออกมา คิดว่าเป็นใครก็คงไม่รอให้ถูกหักหลังอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้ทหารผู้นั้นจะไม่รับสารภาพ ขอเพียงองครักษ์หนุ่มเลิกยืนกรานก็สามารถทะลุทะลวงจากจุดนี้ไปได้เช่นกัน
แทนที่จะลงมือเอง มิสู้โยนหอกกับโล่ออกไปแล้วปล่อยให้พวกเขาประลองกันเองจะดีกว่า ความไว้วางใจระหว่างคนเรามักจะทนต่อการทดสอบไม่ได้
“เจ้าคิดว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับอู๋จี๋หรือไม่” ฉินซู่เดินตามกู้ซิ่งจือแล้วถามด้วยเสียงเบา
“ทั้งเกี่ยวและไม่เกี่ยว”
เมื่อฉินซู่ได้ยินคำพูดคลุมเครือนั้นแล้วก็อดชะงักฝีเท้าไม่ได้ “ทุกคนต่างรู้ว่าเสนาบดีเฉินและเสนาบดีอู๋นั้นเสมือนน้ำกับไฟ เวลานี้กองทหารรักษาวังถูกลากเข้ามาด้วย อู๋จี๋จะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้อย่างไร”
“สาเหตุเมื่อครู่เจ้าได้พูดแล้ว”
“หือ?” สีหน้าฉินซู่ไม่เข้าใจ จึงไล่ตามไปอีกหลายก้าว ดึงแขนเสื้อของกู้ซิ่งจือแล้วเอ่ยว่า “ภิกษุกู้พูดให้ชัดเจนกว่านี้เถิด!”
ชุดขุนนางสีม่วงถูกดึงจนคนสวมใส่เซ กู้ซิ่งจือขมวดคิ้วหันกลับมา สีหน้าโกรธเคืองอย่างที่พบเห็นได้ไม่บ่อย
เขาดึงแขนเสื้อกลับ จัดให้เรียบร้อยพร้อมกับพูดว่า “ก็เพราะทุกคนต่างรู้ว่าพวกเขาไม่ลงรอยกัน หากข้าเป็นอู๋จี๋ ถ้าต้องการลงมือจะไม่มีวันลงมือผ่านกองทหารรักษาวังอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นในฝ่ายสันติคนที่ต้องการจัดการเสนาบดีเฉินจนตายมีจำนวนนับไม่ถ้วน ในฐานะเสนาบดีฝ่ายขวาของราชสำนัก เหตุใดข้าจะต้องลงมือเอง เป็นเครื่องมือสังหารให้ผู้อื่น?”
คำถามนี้ถามจนฉินซู่พูดไม่ออก เขาไม่เข้าใจยิ่งกว่าเดิม ขวางทางของกู้ซิ่งจือและถามต่อ “แล้วที่เจ้าพูดว่าเกี่ยวนั้นหมายความว่าอย่างไร”
กู้ซิ่งจือยังคงมีสีหน้าสงบนิ่งเหมือนเดิม มองหน้าฉินซู่และเอ่ยเสริมว่า “เนื่องจากการอนุมานเมื่อครู่เป็นเพียงสถานการณ์ทั่วไป หากเป็นเพราะเกิดจากการแย่งชิงอำนาจระหว่างทั้งสองฝ่าย อู๋จี๋ยิ่งไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการที่เร่งด่วนเช่นนี้ในการจัดการเสนาบดีเฉิน แต่หากเกิดสิ่งที่เหนือความคาดหมายเล่า?”
ฉินซู่เอียงศีรษะขมวดคิ้ว สีหน้าไม่เข้าใจ
กู้ซิ่งจือมองดูท่าทางโง่เขลาของอีกฝ่าย ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดด้วยความขุ่นเคืองว่า “หากเสนาบดีเฉินรู้ว่าอะไรที่จะเป็นการคุกคามถึงงานของเขา หากข้าเป็นอู๋จี๋ก็จะลงมือด้วยวิธีที่ง่ายที่สุดและตรงที่สุด”
เมื่อพูดจบกู้ซิ่งจือที่กลับมาอยู่ในสภาพเรียบร้อยอีกครั้งแล้วก็ก้าวเท้าเดินไปยังรถม้าที่รออยู่นอกศาลต้าหลี่
แต่ทันทีที่ขึ้นรถม้าก็มีคนจับผนังรถไว้
“เจ้าจะทำอะไร” กู้ซิ่งจือมองใบหน้าที่ยิ้มแย้มประจบประแจงตรงหน้าแล้วขมวดคิ้ว
“หึๆ!” ฉินซู่หัวเราะแห้งๆ กระโดดขึ้นบนรถม้าของกู้ซิ่งจือ ขยับบั้นท้ายเบียดเขาไปด้านข้าง “ใต้เท้ากู้ไหวพริบดีมาก น้องชายเลื่อมใสอย่างยิ่ง วันนี้ฉวยโอกาสไปสังสรรค์ที่จวนสกุลกู้ ดื่มชาหอมๆ พร้อมกับปรึกษาว่าควรทำอย่างไรต่อไปจะดีกว่า”
มีใครบางคนคร้านที่จะใช้สมอง และตัดสินใจที่จะยึดสมองที่สามารถช่วยเขารักษาเส้นผมนี้ไว้
กู้ซิ่งจือพูดอย่างอารมณ์ไม่ดีว่า “ที่จวนอาหารการกินเรียบง่าย เกรงว่าจะต้อนรับรองเสนาบดีฉินได้ไม่ดี”
“ความสุขในการกินดื่มเป็นของนอกกาย จะเทียบกับการพูดคุยอย่างมีความสุขกับสหายที่รู้ใจได้อย่างไร” พูดจบก็ไม่ให้โอกาสกู้ซิ่งจือคัดค้าน เขายื่นมือออกไปเคาะผนังรถม้าเพื่อส่งสัญญาณให้คนบังคับรถม้าเร่งความเร็ว
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 22 ก.ย. 67