บทที่ 7 ฝึกเขียนพู่กัน
รถม้าแล่นผ่านถนนหลายสายแล้วหยุดที่หน้าจวนสกุลกู้
เงาของพระอาทิตย์เอียงไปทางทิศตะวันตก ทิ้งหมอกสีทองจางๆ ชั้นหนึ่งไว้บนประตูสีแดงขนาดใหญ่
ฉินซู่ไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ราวกับกลัวว่ากู้ซิ่งจือจะปิดประตูไล่แขก รถม้ายังจอดไม่สนิทก็กระโดดลงไป ก้มหน้าวิ่งเข้าไปในจวน
เนื่องจากวิ่งเร็วเกินไปและไม่ได้มองทางให้ดี ทันทีที่มุ่งหน้าไปก็ชนเข้ากับร่างกายอุ่นๆ ร่างหนึ่ง มีเสียงลมหายใจแผ่วเบาดังขึ้นที่ข้างหู
“ระวัง!” มีคนตอบสนองเร็วกว่าเขา คว้าคนที่ตัวสั่นเทาออกจากอ้อมแขนเขา
ฉินซู่ถูกชนเข้าอย่างจังโดยไม่คาดคิด รู้สึกว่าชาที่ดื่มตอนสอบปากคำนักโทษเมื่อตอนบ่ายพุ่งมาถึงคอ จึงรีบปิดปากเพื่อกลั้นไว้ทันที ขณะที่ฟันกระทบกันก็พลันได้กลิ่นคาวเลือด
“ไม่ได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่” เสียงของกู้ซิ่งจือดังขึ้นที่ข้างหู มีความตื่นตระหนกเล็กน้อยอย่างที่เกิดขึ้นไม่บ่อย
ฉินซู่พยักหน้า หันกลับมาแล้วดึงริมฝีปากที่ถูกชนจนแตกออกมาเล็กน้อย ต้องการจะให้กู้ซิ่งจือดู ใครจะรู้ว่าคนผู้นั้นกลับเดินผ่านหน้าตนเองไปราวกับสายลม เหลือเพียงภาพติดตาสีม่วง
ฉินซู่ตกตะลึง
ประการแรกเพราะมโนธรรมของกู้ซิ่งจือผู้นี้ตื้นเขิน ประการที่สองเพราะจู่ๆ จวนสกุลกู้มีผู้ที่เนื้อตัวนวลเนียนหอมกรุ่นนี้เพิ่มขึ้นมา
แสงยามอาทิตย์อัสดงหยุดอยู่ที่ใบหน้าของนาง ทิ้งแสงสีทองงดงามไว้ ดวงตาสีเหลืองอำพันเต็มไปด้วยไอหมอก สว่างสดใสอย่างหาที่เปรียบมิได้ ไม่รู้ว่าแอบซ่อนความงดงามไว้มากมายเพียงใด
หัวใจเต้นผิดจังหวะโดยไม่รู้ตัว ฉินซู่รู้สึกว่าตนเองโตจนป่านนี้ ยังไม่เคยเห็นดวงตาสีอ่อนที่ชวนให้หลงใหลเช่นคู่นี้มาก่อนเลย
“แม่…คารวะแม่นาง…” รองเสนาบดีฉินผู้ซึ่งมีใบหน้ายิ้มแย้มและไม่จุกจิกเสมอมาเสียงสั่นเล็กน้อย มองฮวาหยางแล้วเอ่ยว่า “ข้าน้อยฉินซู่”
ทันทีที่เอ่ยปากก็กระอักเลือดออกมา
คนที่อยู่ในเหตุการณ์รู้สึกปรับตัวไม่ถูกกับท่าทางตระหนกเช่นนี้ของเขาจึงเงียบไปครู่หนึ่ง มีเพียงฉินซู่ที่ยังคงมองฮวาหยางแล้วพูดตอแยอย่างไม่ลดละ
“ขอถามแม่นาง…”
“นางเป็นน้องสาวของฉินเจา”
จู่ๆ ใบหน้าที่สงบนิ่งอยู่เสมอของกู้ซิ่งจือก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า บดบังสายตาของฉินซู่ไปมากกว่าครึ่ง เขาเอียงศีรษะไปทางซ้ายโดยไม่รู้ตัวและพูดยิ้มๆ ต่อไป
“ถ้าเช่นนั้นก็เป็นเรื่องบังเอิญอย่างยิ่ง พี่ชายของเจ้าเคยทำงานที่กรมอาญาของข้า เป็นทั้งสหายร่วมงานของข้าและ…”
เมื่อเผชิญกับใบหน้าชวนมองของกู้ซิ่งจือที่บดบังเข้ามาอีกครั้ง ฉินซู่ก็เอียงศีรษะไปทางขวาแล้วกล่าวเสริม
“และยังเป็นสหายสนิทกันอีกด้วย” พูดจบก็ทำหน้าตาภูมิใจ เผยให้เห็นรอยยิ้มร่าเริงของชายหนุ่ม
ทว่าคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเอาแต่คอยหลบเขาด้วยความตกใจ มือเล็กๆ ที่ขาวราวกับหยกซ่อนอยู่หลังเสื้อคลุมและดึงแขนเสื้อของกู้ซิ่งจืออย่างสั่นๆ
ฉินซู่ผู้ใจกว้างมาโดยตลอดได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยขึ้นมาทันที
แม้จะรู้ว่าหากพูดถึงหน้าตาหรืออุปนิสัย เมื่อต้องเปรียบเทียบกับกู้ซิ่งจือ เกรงว่าทั่วทั้งหนานฉีคงไม่มีใครสู้กู้ซิ่งจือได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ต่างคนต่างจิตต่างใจ
สาวน้อยผู้นี้ดูท่าทางอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น กู้ซิ่งจือไม่เพียงอายุยี่สิบหกแล้ว แต่ยังมักจะมีท่าทีสุภาพและห่างเหินอยู่เสมอ เมื่อเปรียบเทียบกับเขาซึ่งยังหนุ่มแน่น มีผลงานโดดเด่น อุปนิสัยร่าเริง และครอบครัวมีอำนาจบารมีแล้ว ฉินซู่รู้สึกว่าตนเองยังมีโอกาสในการชนะครึ่งหนึ่ง
แต่ไม่เคยคิดเลยว่า…
“หูของนางมีปัญหา อ่านได้แค่รูปปากเท่านั้น เวลาพูดกับนางต้องพูดช้าหน่อย”
กู้ซิ่งจือกล่าวกับฉินซู่จบก็ขยับปากช้าลง พูดตามคำพูดที่ฉินซู่เอ่ยไปเมื่อครู่ซ้ำอีกครั้ง เวลานี้สาวน้อยที่อยู่ตรงข้ามจึงโผล่ศีรษะออกมาอย่างเอียงอายแล้วยิ้มให้
จู่ๆ ฉินซู่ก็รู้สึกเหมือนกำลังล่อลวงลูกสาวของคนอื่นต่อหน้าผู้เป็นพ่อ…
ฉินซู่ผู้ร่าเริงรู้สึกห่อเหี่ยวเล็กน้อย เดินตามอยู่ข้างๆ กู้ซิ่งจือแล้วพึมพำว่า “คิดไม่ถึงว่าฉินเจาที่มีหน้าตาแบบที่ไม่สามารถแยกแยะดวงตาและจมูกได้ น้องสาวของเขาจะงดงามเพียงนี้…”
“ผู้ที่เจ้าเอ่ยถึงได้เสียชีวิตไปแล้ว รองเสนาบดีฉินระวังคำพูดด้วย”
“…” ฉินซู่ถูกกลอกตาใส่อย่างเย็นชาตามที่คาดไว้
ทุกคนเดินผ่านลานหลักมาถึงห้องกินข้าว บนโต๊ะกลมไม้พะยูงหอมขนาดไม่ใหญ่มีอาหารเย็นจัดวางไว้เรียบร้อยแล้ว ข้าวต้มกับอาหารจานเล็กเรียบง่ายธรรมดา ฉินซู่รู้ว่านี่ไม่ใช่เพราะกู้ซิ่งจือตระหนี่ถี่เหนียว แต่เป็นประเพณีของครอบครัวอีกฝ่ายที่มักจะประหยัดเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก แต่ว่า…
ฉินซู่ลอบมองไปที่ฮวาหยาง
สาวน้อยเห็นอาหารเย็นเช่นนี้ก็ตกใจเช่นกัน ขมวดคิ้วคู่งามอย่างยากที่จะสังเกตเห็น
ฉินซู่อยากจะหัวเราะขึ้นมาทันที ดูเหมือนว่าการที่ ‘ภิกษุกู้’ จะไร้คู่มานานยี่สิบกว่าปีไม่ใช่ไม่มีสาเหตุ ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะเหตุนี้!
ขณะกำลังครุ่นคิดก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง ลุงฝูยกไก่ย่างเดินเข้ามา กู้ซิ่งจือรับมาโดยไม่พูดอะไรแล้ววางลงตรงหน้าฮวาหยาง การเคลื่อนไหวนั้นลื่นไหลเป็นธรรมชาติ ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างควรจะเป็นเช่นนี้
ฉินซู่ “…”
การกินข้าวกับกู้ซิ่งจือเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ คำสอนของครอบครัวสกุลกู้คือกินไม่พูด นอนไม่สนทนา ตะเกียบไม่เคาะชาม เคี้ยวไม่มีเสียง ฉินซู่ผู้ซึ่งมีนิสัยร่าเริงมาโดยตลอดเริ่มมองไก่ย่างตัวนั้นตาเป็นมัน
‘แกร๊ก!’
เกิดเสียงดังกังวาน เป็นเสียงตะเกียบกระทบกัน