ฉินซู่สะดุ้ง สายตามองตามตะเกียบคู่ที่วางอยู่บนน่องไก่ไปแล้วสบตาคู่งามสดใสคู่หนึ่ง เมื่อสบตากันเขาก็ปล่อยน่องไก่ชิ้นนั้นภายในอึดใจเดียว
บุรุษเช่นเขาไม่แย่งน่องไก่กับสาวน้อย นอกจากนี้นางดูผอมมาก จึงควรกินให้มากกว่านี้เพื่อบำรุงเสียหน่อย
ทว่าเวลาต่อมาเขากลับเห็นน่องไก่ชิ้นนั้นถูกใส่ลงไปในชามของกู้ซิ่งจือ บุรุษทั้งสองคนต่างตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
ใบหน้าเล็กๆ ของฮวาหยางแดงระเรื่อ นางยิ้มให้กับสายตาประหลาดใจเล็กน้อยของกู้ซิ่งจือแล้วก้มหน้ากินข้าวต่อ
“…” ฉินซู่ที่คิดว่าตนเองเสียสละเพื่อความรัก แต่พบว่าสุดท้ายกลับเหนื่อยเปล่ารู้สึกหดหู่เล็กน้อย จึงยื่นมือไปที่น่องไก่อีกชิ้นหนึ่งด้วยความโกรธ
‘แกร๊ก!’
เป็นเสียงตะเกียบกระทบกันอีกครั้ง
ครั้งนี้สิ่งที่เขาเผชิญคือใบหน้างามแต่กลับดูเคร่งขรึมอย่างบอกไม่ถูกของกู้ซิ่งจือ…
ตะเกียบในมือไม่ยอมแพ้ ขยับซ้ายขวา ทว่าเมื่อได้ยินเสียงกระแอมเบาๆ ที่ดังขึ้นข้างหู มือของฉินซู่ก็อ่อนลง และน่องไก่ก็ตกอยู่ในมือที่มีกระดูกอันงดงามอย่างราบรื่นและรวดเร็ว
ในฐานะสหายร่วมชั้นเรียนและสหายร่วมงาน ฉินซู่รู้ดีว่ากู้ซิ่งจือนั้นภายนอกดูอบอุ่นเป็นมิตร แต่มีแผนการเบื้องหลังอยู่มากมาย การเสี่ยงชีวิตของตนเองเพื่อน่องไก่เพียงชิ้นเดียวไม่คุ้มค่าเลย
“กินเองเถิด ไม่ต้องคีบให้ข้า” กู้ซิ่งจือพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแล้วนำน่องไก่ที่แย่งมาจากฉินซู่วางลงไปในชามของฮวาหยาง
สาวน้อยเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วยิ้ม ดวงตาโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยวแวววาว
“…” ฉินซู่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาต้องตามมากินข้าวที่จวนสกุลกู้อย่างไร้ยางอายเช่นนี้
คงจะเป็นการหาเรื่องอับอายใส่ตัวกระมัง ดังนั้นเขาจึงเลิกต่อต้าน ก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างสงบต่อไป
“ข้ากินเสร็จแล้ว” ครู่ต่อมาฉินซู่ก็วางชามและตะเกียบลง ท่าทางราวกับว่าในที่สุดก็พูดได้เสียที จึงเริ่มบทสนทนาว่า “เจ้าลองเล่าเรื่องทหารของกองทหารรักษาวังคนนั้นอีกครั้งดีหรือไม่”
คนที่อยู่ข้างๆ เงียบไปครู่หนึ่งราวกับไม่ได้ยินคำถามของฉินซู่ จนกระทั่งฉินซู่ทนไม่ไหวจึงถามอีกครั้ง กู้ซิ่งจือจึงวางชามลง หยิบผ้าขาวข้างมือมาเช็ดปาก
เขายื่นชามของหวานให้ฮวาหยางแล้วเอ่ยว่า “กินเสร็จแล้วให้บ่าวรับใช้ทำความสะอาดด้วย” พูดจบก็ลุกขึ้นเดินนำฉินซู่ไปที่ห้องอ่านหนังสือ
ฮวาหยางที่มองตามทั้งสองคนจากไปถือของหวานแล้วลอบกัดฟันกราม
แม้ฮวาเทียนจะเคยบอกว่ากู้ซิ่งจือมีกฎในการทำงานของตนเอง และเขาก็อยู่ในตำแหน่งสูง เรื่องสำคัญหากมีคนรู้เพิ่มขึ้นอีกคนก็จะมีความเสี่ยงขึ้นอีก ยิ่งไปกว่านั้นใครจะสามารถรับรองได้ว่าข้อมูลเหล่านี้จะไม่นำภัยถึงชีวิตมาสู่คนที่รู้เรื่องราว ดังนั้นจึงมีเรื่องราวมากมายที่แม้กระทั่งลุงฝูเขาก็ไม่มีวันเปิดเผย
ท่าทีของเขาที่ภายนอกดูใจดี แต่ความจริงในใจไม่เคยเห็นใครเป็นคนกันเองเลย ทำให้ฮวาหยางรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัวจริงๆ
เขาป้องกันนางเหมือนป้องกันขโมย
ช้อนในมือเคาะโดนขอบชามทำให้เกิดเสียงดังกังวาน หากมีสิ่งใดที่สามารถกระตุ้นความปรารถนาที่จะชนะของนางได้ นั่นจะต้องเป็นความอดกลั้นที่ถูกป้องกันไว้อย่างแน่นหนาอย่างแน่นอน
มุมปากกระตุกอย่างเงียบๆ นางก้มหน้ากินของหวาน
จวนสกุลเฉินไปทีหลังก็ได้ แต่คืนนี้นางจะต้องเอาชนะกู้ซิ่งจือให้ได้
เมื่อพระจันทร์ลอยขึ้นสู่กลางฟ้า บุรุษสองคนที่อยู่ในห้องอ่านหนังสือก็หารือกันเสร็จแล้ว กู้ซิ่งจือดับเทียน เตรียมส่งฉินซู่ออกจากจวน
พวกเขาเดินผ่านทางเดินหน้าห้องอ่านหนังสือ เห็นแสงเทียนส่องออกมาจากในห้องที่อยู่หลังสุดนั้น หน้าต่างลายดอกกระจับแง้มอยู่ คนที่อยู่ข้างในกำลังขมวดคิ้วรวบรวมสมาธิ เขียนอะไรบางอย่างอยู่อย่างตั้งใจ
คงจะเขียนมาเป็นเวลานานแล้ว นางจึงยืดตัวตรงนวดเอว ครั้นสบตากับกู้ซิ่งจือโดยบังเอิญ คิ้วงามของชายหนุ่มก็ขมวดเข้าหากันอย่างเงียบๆ
หมอได้กำชับว่าหลายวันนี้นางต้องรีบนอนพักผ่อน เพื่อหลีกเลี่ยงการตกใจตื่นบ่อยๆ ยามนี้เลยเวลานอนไปหนึ่งชั่วยามแล้ว…
กู้ซิ่งจือผู้ที่ทำอะไรตรงไปตรงมาตลอดรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย เขาก้าวเท้าเดินเข้าไปในห้องโดยไม่สนใจว่าฉินซู่ยังยื่นหน้ายืนคาดเดาเอาเองอยู่ข้างๆ
ทั้งฮวาหยางและลุงฝูต่างอยู่ที่นั่น บนโต๊ะไม้พะยูงหอมมีเทียนสองเล่มวางอยู่ จากนั้นก็เป็นกระดาษเซวียนจื่อ และแบบคัดลายมือ
ลุงฝูที่กำลังฝนหมึกอยู่ด้านข้างเห็นกู้ซิ่งจือเข้ามาก็รีบส่งสายตาขอความช่วยเหลือทันที วางแท่งหมึกในมือลงแล้วโน้มตัวพูดขึ้น
“นายท่านรีบตักเตือนแม่นางเถิด ข้าน้อยพูดอย่างไรนางก็ไม่ฟังขอรับ”
ทันทีที่สาวน้อยที่อยู่ตรงข้ามเห็นกู้ซิ่งจือก็แสดงสีหน้าหวาดกลัว ก้มหน้างุด ไม่กล้ามองเขา
“ดึกป่านนี้แล้วเหตุใดยังไม่นอนอีก” กู้ซิ่งจือหันไปมองลุงฝู เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“เรียนนายท่าน…” ลุงฝูพูดอย่างลังเล “บ่ายวันนี้แม่นางไปเดินเล่นในห้องอ่านหนังสือของนายท่าน เมื่อกลับมาก็บอกว่าอยากฝึกคัดลายมือขอรับ เมื่อครู่ก่อนกินข้าวก็เขียนมาตลอดบ่ายแล้ว หลังกินข้าวข้าน้อยเตือนก็ไม่ฟังขอรับ…”
กู้ซิ่งจือได้ยินดังนั้นก็ชะงักงัน ก่อนจะหันไปมองฮวาหยาง ทันทีที่ทั้งสองคนประสานสายตากันก็เห็นดวงตาของนางสั่นไหวแล้วก็รีบก้มหน้าลงอีกครั้ง
“เหตุใดจึงอยากฝึกคัดลายมือ” กู้ซิ่งจือถามลุงฝู