ลุงฝูส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ ถามแม่นางก็ไม่ยอมบอก ถามจนร้อนใจ แม่นางก็ร้องไห้ ข้าน้อยจึงไม่กล้าถามอีก”
กู้ซิ่งจือมองไปยังฮวาหยางที่กำลังก้มหน้าบิดผ้าเช็ดหน้าอยู่ข้างๆ โดยไม่รู้ว่าต้องทำอะไรอยู่ครู่หนึ่ง ฉินซู่ได้สติก่อน เขาหยิบกระดาษเซวียนจื่อเปื้อนหมึกที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาแล้วเอ่ยพึมพำ
“นี่ดูเหมือนจารึกของใครบางคนเลย…”
กู้ซิ่งจือตกใจ รู้สึกสับสนขึ้นมาทันที
ฉินซู่ที่อยู่ข้างๆ กลับไม่รู้สึกอะไร ถือกระดาษที่เปื้อนหมึกแผ่นนั้นแล้วอ่านเสียงดังว่า “พี่ชายอะไรอะไรได้เสียชีวิตแล้ว อะไรอะไรของเขาได้เขียนอะไรให้เขา…ตัวอักษรพวกนี้เขียนอะไรไว้น่ะ! ข้าใช้เท้าเขียนยังเขียนได้…โอ๊ย!”
จู่ๆ แผ่นหลังก็ถูกตบอย่างแรง ฉินซู่เกือบจะกัดลิ้นของตนเองอีกครั้ง เงยหน้าขึ้นกำลังจะถามกู้ซิ่งจือ กลับเห็นไหล่บางของสาวน้อยที่อยู่หลังโต๊ะสั่นเทา ดูเหมือนกำลังร้องไห้
บรรยากาศอึดอัดขึ้นมาทันที
ฉินซู่ผู้ซึ่งเข้าใจช้าปะติดปะต่อเรื่องราว มือที่ถือกระดาษเซวียนจื่อสั่นขึ้นมาทันที ครั้นเผชิญกับสายตาที่อ่อนโยนแต่น่ากลัวของกู้ซิ่งจือ จึงวางกระดาษลงอย่างรู้สึกผิดแล้วถอยไปด้านหลัง
“เอ่อ…คือว่า…ข้า…จู่ๆ ข้าก็นึกได้ว่ายังมีเรื่องด่วนที่กรมอาญา ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้ฮ่องเต้อาจจะทรงถาม…” ขณะที่พูดฉินซู่ก็ขยับไปถึงประตูแล้ว “ข้าไม่ขอรบกวนแล้ว…ลาก่อนนะ!”
เขาพูดจาอิดเอื้อน มีเพียงคำสุดท้ายคือ ‘ลาก่อน’ ที่รวดเร็วและชัดเจน
กู้ซิ่งจือพูดไม่ออกกับ ‘สหายตัวร้าย’ ที่โผงผางเสมอมาคนนี้ จึงได้แต่โบกมือให้ลุงฝูออกไปก่อน ช่วยจัดการกับสถานการณ์ปากเป็นภัยแทนเขา
ภายในห้องสงบลงแล้ว เหลือเพียงสายลมที่พัดเอื่อยๆ
กู้ซิ่งจือสงบอารมณ์แล้วเดินไปข้างๆ ฮวาหยาง เก็บกระดาษและพู่กันบนโต๊ะทั้งหมดให้นางก่อน รอจนนางสงบลงแล้วจึงถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“นี่เขียนให้พี่ชายเจ้าหรือ”
สาวน้อยพยักหน้าอย่างเงียบๆ
“แต่เจ้าก็ต้องรู้ด้วยว่าการเขียนพู่กันไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ในชั่วข้ามคืน…”
ยังพูดไม่จบเขาก็แตะถูกปลายนิ้วที่เย็นเฉียบ ฮวาหยางจับมือของเขาแล้วส่ายหน้าอย่างเสียใจ แสงเทียนในห้องสลัวราง สะท้อนดวงตาสีเหลืองอำพันของนางดูมีเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใคร
ว่ากันว่ายามสตรีอยู่ใต้แสงไฟนั้นช่างงดงาม มองแล้วสูงสง่า ยิ่งเป็นสาวงามที่กำลังโศกเศร้า มีน้ำตาคลอตาในเวลานี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
กู้ซิ่งจือรู้สึกว่าหัวใจเต้นผิดจังหวะ เขารู้สึกเขินอายเล็กน้อยกับการสัมผัสที่ไม่เหมาะสมระหว่างทั้งสองคน คิดจะดึงมือตนเองกลับ ทว่าปลายนิ้วนั้นพลันจิ้มลงบนฝ่ามือของเขาและเริ่มเขียนอย่างจริงจังทีละขีดๆ
มือของนางขาวผ่องและอ่อนนุ่มราวกับไม่มีกระดูก มือข้างที่จับหลังมือของเขามีเหงื่อออกเล็กน้อยแต่ก็ไม่น่ารังเกียจ ให้ความรู้สึกชื้นเหมือนหิมะที่กำลังละลายในฤดูใบไม้ผลิ มือที่ขีดเขียนไปมาบนฝ่ามือเขานั้นยิ่งอ่อนโยนกว่า ประหนึ่งคลื่นที่อยู่ใต้สายลมเบาๆ ที่พัดผ่าน เมื่อวางลงมาก็ให้ความรู้สึกเสียวซ่านเล็กน้อย ครั้นคลื่นม้วนตัวกลับ ความรู้สึกเสียวซ่านนั้นก็หายไป สิ่งที่ตามมาคือคลื่นอีกลูกหนึ่งซัดสาดเข้ามา…
กู้ซิ่งจือรู้สึกว่างเปล่าจากการกระทำเช่นนี้ กระทั่งลืมไปว่าตนจะดูว่านางเขียนอะไรกันแน่ ได้แต่อาศัยสติสัมปชัญญะเส้นสุดท้ายเอ่ยคาดเดา
“เจ้าบอกว่าเจ้าแค่อยากจะเขียนชื่อของเขาให้ดีอย่างนั้นหรือ”
สาวน้อยหยุดมือที่ขีดเขียนไปมา เงยหน้ามองชายหนุ่มใต้แสงเทียนแล้วพยักหน้าอย่างแรง ดวงตาเป็นประกาย งดงามมากจนชวนให้หลงใหล
ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อสบตากับดวงตาเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรคำปฏิเสธก็พูดไม่ออก
กู้ซิ่งจือครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยประนีประนอมว่า “ข้าสอนเจ้าแล้วกัน”