บทที่ 8 ภาพหลอน
เสียงตีฆ้องบอกเวลาดังผ่านแสงเทียนที่วูบไหว มือที่เห็นข้อต่ออย่างชัดเจนยื่นออกไปด้านข้างเพื่อป้องเปลวเทียนที่ใกล้จะดับ กู้ซิ่งจือหันไปปิดหน้าต่างที่เปิดไว้ครึ่งหนึ่ง
ภายในห้องสว่างขึ้นทันที ในกระถางธูปสีเขียวบนโต๊ะตัวเตี้ยจุดธูปกลิ่นสาลี่อ่อนๆ ไว้ ควันสีขาวลอยละล่องอย่างต่อเนื่อง ตลบอบอวลอยู่เบื้องหน้าเขาราวกับลายเส้นคดเคี้ยวบนกระดาษเซวียนจื่อ
“อื้ม!”
ใครบางคนเอาแต่มองเขาภายใต้แสงไฟ จุดสิ้นสุดเส้นแนวตั้งของพู่กันไม่รู้ลอยไปถึงไหนแล้ว
ฮวาหยางกลัดกลุ้มจนต้องขยุ้มผม ถ้าไม่ใช่เพราะฐานะของเหยาเหย่า นางคงจะล้มโต๊ะเขียนหนังสือและเอาไฟมาเผาพู่กันกับกระดาษเหล่านี้แล้ว
“ไม่เป็นไร ลองอีกครั้ง”
มีเสียงกระซิบอยู่ข้างตัวโดยไม่มีการเยาะเย้ยหรือปลอบโยนแต่อย่างใด เป็นเพียงการออกคำสั่งเท่านั้น
หนุ่มรูปงาม…
ฮวาหยางลอบกำพู่กันในมือไว้แน่น ตำหนิในใจว่าถ้าไม่ใช่เพราะเขาทำท่าทางเหมือนเทพเซียนอยู่ใต้แสงจันทร์ เดินไปเดินมาอยู่เบื้องหน้าตนเอง นางก็คงไม่ต้องเขียนอักษรตัวละหนึ่งร้อยรอบโดยที่ยังไม่สามารถทำให้เขาพึงพอใจได้อยู่เช่นนี้
แต่จะว่าไปแล้วตอนแรกที่ฮวาหยางหลอกกู้ซิ่งจือให้สอนนางเขียนตัวอักษร ภาพที่คิดหวังก็ไม่ใช่แบบที่เป็นอยู่ตอนนี้
นางลอบถอนหายใจอย่างเงียบๆ มือซ้ายจับหนังสือ ‘คำสอนสกุลกู้’ หนาประมาณสามนิ้วมือที่อยู่บนศีรษะ
“หลังตรง เท้าสองข้างวางราบให้มั่นคง” คนที่อยู่ข้างๆ พูดพร้อมกับใช้พู่กันหางเพียงพอนเหลืองขนาดใหญ่ในมือเคาะหลังนางเบาๆ
ฮวาหยางกัดฟัน หายใจเข้าลึกๆ ยืดหลังตรงแล้วคิดจะขยับตัวเข้าไปใกล้โต๊ะอีกนิด พู่กันด้ามนั้นก็สกัดอยู่ตรงหน้านางอีกครั้ง
“ตัวอยู่ห่างจากโต๊ะสองชุ่น” พูดจบก็เคาะหัวไหล่นางเบาๆ สองครั้งแล้วเอ่ยอีกว่า “ไหล่ทั้งสองข้างเสมอกันตามธรรมชาติ” จากนั้นมือข้างที่ถือพู่กันก็ชี้อยู่ในสายตาของนาง เปลี่ยนกระดาษที่นางเขียนเสียแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เขียนต่อ”
“…” ฮวาหยางโกรธมากและสับสนอย่างยิ่ง
นางจำได้ว่าครั้งก่อนตอนที่ลอบสังหารเศรษฐีที่มั่งคั่งที่สุดในหยางโจวที่ชอบเข้าสังคมเพื่อยกระดับตัวเอง นางก็เคยขอให้อีกฝ่ายทำอย่างนี้เช่นกัน อีกฝ่ายโอบกอดนางไว้ในอ้อมแขนชัดๆ จับมือสอน พูดได้ว่าเป็นการลงมือเขียนเอง
แต่เหตุใดเมื่ออยู่กับหนุ่มรูปงามกู้กลับกลายเป็นเช่นนี้
นางไม่เข้าใจ แต่ก็รู้สึกอย่างคลุมเครือว่าหากยังปล่อยให้เขาครอบงำเช่นนี้ต่อไป ขาและมือของตนเองคงจะใช้การไม่ได้แน่ ดังนั้นนางจึงแก้เผ็ดด้วยการเอี้ยวตัวแล้วก็พิงไปทางกู้ซิ่งจืออย่างอ่อนแอ
หนังสือบนศีรษะหล่นลงมา ฮวาหยางชนเข้ากับคนที่คาดคิดไว้ แต่กลับรู้สึกได้ถึงความแข็งอย่างเหนือความคาดหมาย
แม้จะกั้นด้วยผ้าไม่บางถึงสองชั้น นางก็ยังรู้สึกได้ว่าหน้าอกที่แนบแผ่นหลังไม่ได้นุ่มอย่างที่คิด แต่ซ่อนความแข็งแกร่งเอาไว้ มีความยืดหยุ่นกับความทรงพลัง และยังมีเส้นโค้งเว้าที่น่าเกรงขามซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของบุรุษอย่างคลุมเครืออีกด้วย
ฮวาหยางตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากมุมของนางมองเห็นเพียงเส้นโค้งเว้าของสันกรามและลูกกระเดือกที่ชัดเจน ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้สึก แต่ตอนนี้อยู่ใกล้ๆ จึงสังเกตเห็นว่าเขาไม่ได้มีแต่ความอ่อนโยนเหมือนสตรีเท่านั้น แต่ในความอ่อนโยนนั้นได้ซ่อนความเข้มแข็งและความทรงพลังไว้ด้วย
อาจเป็นเพราะเกิดมาพร้อมกับสัญชาตญาณของการเป็นนักฆ่า ฮวาหยางรู้สึกว่าตนเองไม่เคยเห็นคนตรงหน้ามาก่อน อย่างน้อยก็ไม่เคยรู้จักเขาดี
ในตัวของเขามักจะมีความขัดแย้งอยู่มากมาย ตัวอย่างเช่นมีความดื้อรั้นซ่อนอยู่ภายใต้ความอ่อนโยน ตัวอย่างเช่นหลังจากถอนหมั้นก็เลือกที่จะอยู่คนเดียว และตัวอย่างเช่นด้านหลังห้องอ่านหนังสือของเขา ห้องพระเล็กๆ ห้องนั้นที่ไม่มีการจุดธูป ไม่มีการสวดมนต์…
ความคิดหมุนวนเป็นพันครั้ง แต่คนที่อยู่ด้านหลังกลับไม่รู้สึกอะไรเลย เขาแค่รับหนังสือที่จู่ๆ ก็หล่นลงมาอย่างรวดเร็ว มืออีกข้างก็จับนางไว้อย่างแม่นยำ
“หากเหนื่อยเกินไปพรุ่งนี้ค่อยฝึกใหม่ ไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเอง” เขาเอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทำท่าเหมือนจะปล่อยฮวาหยาง แต่กลับถูกนางฉวยโอกาสคว้าแขนเสื้อไว้
สาวน้อยยังคงไม่ขยับ หางตาแดง ดวงตาสดใสมองเขาอย่างพร่ามัว ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยื่นมือที่ถือพู่กันให้เขา ทำปากพูดพร้อมแสดงท่าทางน้อยใจและดื้อรั้น
‘ท่านบอกแล้วว่าจะสอนข้า’
กู้ซิ่งจือตกตะลึง มือที่ถือหนังสือ ‘คำสอนสกุลกู้’ ค้างอยู่กลางอากาศ