วันรุ่งขึ้น ครั้นถึงเวลาทำงานฉินซู่ก็รีบไปที่สำนักราชเลขาธิการทันที
ตอนที่เขาไปถึงก็เห็นกู้ซิ่งจือผู้เคร่งขรึมทำหน้าบึ้งตึง ยัดกองสิ่งของไว้ใต้โต๊ะด้วยท่าทางสง่างาม
ต้องรู้ว่าคนทั่วไปที่เข้าพบรองราชเลขาธิการขั้นสามของราชสำนักในใจมักจะมีความเคารพและเกรงกลัวอยู่มาก ไม่ต้องพูดถึงการยัดของ ถึงจะยัดสาวงามเข้าไปก็ไม่มีใครกล้าถาม
แต่ฉินซู่เป็นคนช่างสังเกต แล้วยังคุ้นเคยกับกู้ซิ่งจือ เขารู้สึกว่าการกระทำนี้ของอีกฝ่ายไม่ปกติ ดังนั้นจึงหรี่ตา เดินเข้าไปและแสร้งพูดอย่างเคร่งขรึม
“เมื่อครู่ทหารของกองทหารรักษาวังคนนั้นยอมบอกแล้ว”
ขณะที่พูดมือหนึ่งก็เอื้อมไปที่ใต้โต๊ะอย่างรวดเร็ว
‘เพียะ!’
เสียงฝ่ามือกระทบกันดังขึ้นที่ข้างหู ฉินซู่รู้สึกว่าข้อมือตึงทันที ข้อมือของเขาถูกกู้ซิ่งจือจับไว้อย่างแม่นยำ ไม่เพียงเท่านั้นนิ้วชี้ที่เหมือนหยกแกะสลักยังกดชีพจรของเขาอย่างแรง
จู่ๆ ในห้องก็มีเสียงเหมือนหมูถูกเชือดดังขึ้น
“เหตุใดนิสัยมืออยู่ไม่สุขของเจ้าจึงแก้ไม่หายสักที” กู้ซิ่งจือสะบัดมือของฉินซู่ออก เคลื่อนโต๊ะที่ถูกเลื่อนจนเบี้ยวพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ฉินซู่นั่งยองๆ อยู่บนพื้นโดยจับมือที่เกือบจะหักไว้ จ้องหน้ากู้ซิ่งจือแล้วพูดด้วยความโกรธเคือง “ภิกษุกู้ เจ้าบอกมาตามตรง เจ้าจับปลาในเวลาทำงานใช่หรือไม่”
กู้ซิ่งจือหยิบหนังสือราชการที่อยู่ด้านหนึ่งของโต๊ะมาอ่านโดยไม่สนใจเขา
“เจ้าคงไม่ได้…” จู่ๆ ฉินซู่ก็นั่งตัวตรงแล้วพูดด้วยสีหน้าตื่นรู้ว่า “ในที่สุดก็รู้แจ้งแล้ว จึงแอบดูภาพวาดร่วมประเวณีสินะ?”
มือที่พลิกหน้าหนังสือชะงัก กู้ซิ่งจือไม่ได้ตอบเขา แต่ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ดูเหมือนว่าวันนี้รองเสนาบดีฉินจะว่างมาก ถึงมาถึงสำนักราชเลขาธิการได้”
“…” ฉินซู่ตกใจ เมื่อทบทวนดูแล้วในคำพูดนี้มีภัยคุกคามซ่อนอยู่ จึงรีบเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจังมีหลักการ ลุกขึ้นนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือ* ที่อยู่ข้างๆ แล้วเอ่ยว่า “ไม่ใช่อย่างแน่นอน ข้าน้อยย่อมต้องมีธุระสำคัญ”
กู้ซิ่งจือยังคงพลิกหนังสือ ไม่สนใจอีกฝ่าย
ฉินซู่เหงื่อแตกพลั่ก รู้ว่ากู้ซิ่งจือเป็นคนใจแคบเช่นนี้ แต่เป็นผู้น้อยก็ต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังควบตำแหน่งฝ่ายตรวจการที่ทำหน้าที่ตรวจสอบขุนนางทุกขั้นทุกฝ่ายอีกด้วย
ดังนั้นฉินซู่ผู้เข้าใจสถานการณ์ดีจึงกระแอมในลำคอและพูดอย่างจริงจังว่า “ทหารของกองทหารรักษาวังเพิ่งบอกข้าว่าคืนก่อนที่เสนาบดีเฉินจะถูกสังหารมีคนให้เงินเขาจำนวนหนึ่ง ให้เขาถ่วงเวลาองครักษ์ที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนในคืนนั้น อีกฝ่ายให้เขาดูบันทึกเข้าเวรในคืนนั้น และบอกว่าแค่ให้องครักษ์คนนั้นไปสายเป็นเวลาหนึ่งถ้วยชา** ก็พอ เป็นเพียงความแค้นส่วนตัว อยากจะสั่งสอนเขาเสียหน่อย”
มือที่พลิกหนังสือหยุดชะงัก สายตาลึกล้ำโผล่พ้นออกมาจากด้านหลังหนังสือ จ้องอีกฝ่ายเขม็ง
“พบอะไรในบันทึกนั่น”
“ที่แปลกก็แปลกที่ตรงนี้” ฉินซู่เคาะโต๊ะน้ำชา “เมื่อครู่ข้าไปกองทหารรักษาวังเพื่อตรวจสอบบันทึกเข้าเวรในคืนนั้น พบว่าเวลาไม่มีการเปลี่ยนแปลง”
“นั่นหมายความว่า…”
“นั่นหมายความว่าหากคำพูดของทหารผู้นั้นเป็นความจริง ใครเล่าที่สามารถเปลี่ยนเวลาเข้าเวรโดยไม่มีผู้ใดรู้เห็นได้ และสามารถรับรองได้ว่าคนที่ไม่ไปทำงานตรงเวลาก็จะไม่มีใครจับได้”
“อวี๋โหวแห่งกองทหารรักษาวัง?” กู้ซิ่งจือถาม
ฉินซู่พยักหน้า นัยน์ตามีรอยยิ้มขณะเอ่ยว่า “นอกจากนี้อวี๋โหวคนนี้เมาสุราและตกลงไปในแม่น้ำหลังจากเกิดเรื่องเสนาบดีเฉินไม่นาน จมน้ำตายแล้ว”
กู้ซิ่งจือได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วมองไปที่หนังสือราชการในมือ พลิกหน้ากระดาษด้วยท่าทีสบายๆ แล้วเอ่ยขึ้น
“พาคนสองสามคนไปขุดหลุมศพของเขา ตายต้องเห็นศพ”
ฉินซู่เบะปาก พูดอย่างเกียจคร้านว่า “ไม่รบกวนให้ใต้เท้ากู้ต้องลำบากใจ เรื่องขุดหลุมศพเปิดโลงศพเช่นนี้ข้าทำในกรมอาญามาหลายครั้งแล้ว”
“แล้วคนเล่า?”
ฉินซู่จุปาก เหมือนกำลังต่อว่ากู้ซิ่งจือที่ไม่ชื่นชมเขาสักเล็กน้อย ครู่หนึ่งจึงพูดอย่างสบายๆ ว่า “เป็นตามที่เจ้าและข้าคิดไว้ โลงศพว่างเปล่า”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 24 ก.ย. 67