X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดสตรีเป็นยากยิ่ง ภาค 2

ทดลองอ่าน ยอดสตรีเป็นยากยิ่ง ภาค 2 บทที่ 3-บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 22

บทที่ 3

กลางยามไฮ่* ปลายถนนข้างหนึ่งของแม่น้ำอิ้งชวน

แม้จะยังไม่ถึงเวลาที่ตลาดกลางคืนจะเก็บร้าน แต่อีกเพียงครึ่งชั่วยาม ก็จะถึงยามจื่อแล้ว สองฝั่งแม่น้ำอิ้งชวนที่เดิมทีครึกครื้นจึงค่อยๆ มีคนซาลง

แม้บนถนนจะยังมีไฟสว่างจ้า มีคนสัญจรไปมา แต่สถานที่ที่ครึกครื้นอย่างแท้จริงได้ย้ายจากถนนไปยังร้านน้ำชาและหอสุราแต่ละแห่งแล้ว หาบเร่แผงลอยส่วนน้อยก็เริ่มเตรียมตัวเก็บแผงกันแล้ว

ส่วนที่ปลายถนนทั้งหน้าหลังมีหาบเร่แผงลอยน้อย คนที่หยุดฝีเท้าอยู่ตรงนั้นก็ยิ่งมีน้อย คนส่วนใหญ่ล้วนเพียงเดินผ่านแล้วก็เลี้ยวผ่านไป

ตำแหน่งที่ไป่หลี่จิงหงกับโม่อีเหรินอยู่ในขณะนี้แทบจะไม่มีใครอื่น ครั้นไป่หลี่จิงหงตวาดเสียงเย็น ในเวลานี้จึงได้ยินชัดเจน

พอเสียงตวาดจบลง เงาร่างสองสายก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าไป่หลี่จิงหงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะคารวะอย่างเคารพนบนอบ

“เฮยอวี่คารวะประมุขน้อย”

“ซย่าอวี่คารวะคุณชาย”

สองเสียง เสียงหนึ่งเข้ม เสียงหนึ่งนุ่มเบา ค้อมตัวทำความเคารพพร้อมกัน

“มีธุระอะไร” ไป่หลี่จิงหงมองพวกเขาอย่างเยียบเย็น ทว่ามือที่โอบบั้นเอวโม่อีเหรินหาได้คลายออกไม่

แม้น้ำเสียงนั้นจะเนิบเบา แต่เฮยอวี่และซย่าอวี่กลับรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบ

เฮยอวี่พอจะเข้าใจนิสัยใจคอของประมุขน้อยอยู่ไม่มากก็น้อย ย่อมรู้ว่านี่หมายความว่าประมุขน้อยไม่พอใจแล้ว จึงยืนอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทีนบนอบทันทีโดยไม่กล้าพูดมาก

ในขณะที่ซย่าอวี่กลับมิได้กลัวเกรงมากเพียงนั้น นางเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่หล่อเหลาเย็นยะเยือกของคุณชายตรงๆ กลัวอยู่บ้าง แต่ที่มากกว่ากลับเป็นอาการใจเต้นตึก

คิดไม่ถึงว่า…คุณชายจะหล่อเหลาถึงเพียงนี้ เทียบกับ…คุณชายท่านนั้นแล้วมิได้ด้อยกว่าเลยสักนิด

ซย่าอวี่สงบใจให้เยือกเย็น ก่อนเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน

“ฮูหยินคิดถึงคุณชาย ซย่าอวี่รับคำสั่งจากฮูหยินมาเชิญคุณชายกลับเรือนเจ้าค่ะ”

ไป่หลี่จิงหงกลับคล้ายว่าไม่ได้ยินที่นางพูด สายตามองไปทางเฮยอวี่

เฮยอวี่กัดฟันเอ่ยปากกล่าว “ฮูหยินกลับถึงเกาะ ท่านประมุขสั่งให้เฮยอวี่พาแม่นางซย่าอวี่มาหาประมุขน้อย เชิญให้ประมุขน้อยกลับเกาะในทันทีขอรับ”

ได้ยินคำว่า ‘ฮูหยิน’ ไป่หลี่จิงหงก็มิได้มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ เพียงแต่กวาดตามองเฮยอวี่อย่างเรียบเฉยปราดหนึ่ง

เฮยอวี่รู้สึกว่ามีความหนาวเย็นปัดผ่านร่างในทันที

“ไปบอกท่านพ่อ ข้ายังมีธุระ”

ดังนั้นเฮยอวี่มาจากทางใดก็กลับไปทางนั้นแล้วกัน

“เรื่องนี้…” เฮยอวี่ลังเล

ซย่าอวี่จึงเอ่ยปากขึ้นอีก “คุณชาย ฮูหยินไม่ได้พบคุณชายเนิ่นนาน คิดถึงท่านมากมาโดยตลอด ขอคุณชายโปรดกลับเกาะประเดี๋ยวนี้ อย่าปล่อยให้ฮูหยินพะวงหาเลยเจ้าค่ะ”

ครั้นเสียงเปล่งออกมา เฮยอวี่ก็ขยับออกห่างจากนางขึ้นอีกนิด

เวลาเดียวกันซย่าอวี่ก็พลันถูกพลังรุนแรงขุมหนึ่งจู่โจมจนลอยออกไป หวิดจะล้มลงพื้น

“อึก!” ซย่าอวี่ทรงตัวไว้อย่างยากลำบาก นางกุมหน้าอกที่เจ็บปวด มีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อมองไป่หลี่จิงหงอย่างตกตะลึง เห็นเพียงไป่หลี่จิงหงไม่แม้แต่จะขยับตัว มีเพียงชุดตัวยาวสีม่วงที่ปลิวขึ้นเบาๆ ก่อนตกกลับลงมา

นี่คือ…พลังปราณ?!

แค่ใช้พลังปราณก็ทำให้ข้าบาดเจ็บได้แล้ว?!

ซย่าอวี่ทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว พลังแก่นแท้นี้ของคุณชาย…

ด้านไป่หลี่จิงหงยังคงไม่มองนางแม้แต่แวบเดียว แววตาอันเยียบเย็นมองเพียงเฮยอวี่

“รีบพาคนไปเสีย”

“ขอรับประมุขน้อย” เฮยอวี่ตอบรับอย่างเคารพนบนอบทันที กล่าวจบเขาก็ก้าวเท้ายาวเดินไปหาซย่าอวี่ พอมือคว้าตัวได้ก็ทำท่าจะจากไป…

“ไม่ได้!” ซย่าอวี่ดึงตัวเฮยอวี่ไว้ นางไอเบาๆ ทีหนึ่งก่อนพูดยืนกราน “ฮูหยินกำชับมาแล้วว่าจะต้องเชิญคุณชายกลับไปให้ได้”

“ท่านประมุขเพียงให้ข้าพาเจ้ามาพบประมุขน้อย สำหรับคำสั่งของประมุขน้อย ข้าจำต้องปฏิบัติตาม”

น้ำเสียงแข็งกร้าวของเฮยอวี่ทำให้ซย่าอวี่อยากฟาดเขานัก ซย่าอวี่เน้นย้ำ “ฮูหยินต้องการให้คุณชายกลับไปก็เพราะหวังดีต่อคุณชาย”

“การตัดสินใจของประมุขน้อยไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงได้” เห็นได้ชัดว่าเฮยอวี่ค่อนข้างเข้าใจอุปนิสัยของไป่หลี่จิงหง

“เฮยอวี่ เจ้าพึงต้องรู้ว่าคำสั่งของฮูหยินนั้นมิอาจขัดได้” ซย่าอวี่เอ่ยเสียงเย็น

“เจ้านายของข้าคือท่านประมุข ส่วนประมุขน้อยคือประมุขน้อย” เฮยอวี่มีสีหน้าเข้ม สำหรับฮูหยินนั้นเขามีความเคารพให้ตามสมควร หากแต่เขาฟังแค่คำสั่งของท่านประมุขเกาะและประมุขน้อยเท่านั้น

“เจ้า…”

“ไป!” เฮยอวี่ตะคอกเสียงเข้ม บังคับพาตัวซย่าอวี่จากไป

“ฮูหยิน?” โม่อีเหรินเอียงศีรษะด้วยสีหน้าสงสัย

“คนที่คลอดข้า หรือพูดอีกอย่างคือนางเป็น…มารดาของข้า” ไป่หลี่จิงหงก้มหน้าลงมา สีหน้าข้องใจใคร่รู้และผิวอันขาวผ่องของนางยิ่งดูเปล่งปลั่งเปราะบางภายใต้ความมืดยามราตรี ยั่วยวนใจเขาอย่างอธิบายไม่ถูก

ครั้นใจถูกกระตุ้น กายก็ขยับตาม ไป่หลี่จิงหงก้มหน้าลงจูบนาง

“…” โม่อีเหรินตะลึงงัน

นี่ๆ! ตรงนี้มันกลางถนนใหญ่นะ!

โม่อีเหรินขัดขืนเล็กน้อย ไป่หลี่จิงหงได้แต่ผละออก ทว่าดวงตายังคงจ้องมองริมฝีปากนาง สีหน้าไม่ใคร่พอใจ คับข้องใจอยู่หน่อยๆ

…คับข้องใจ?

โม่อีเหรินถลึงตาใส่เขาอย่างทั้งฉุนทั้งขัน

“รีบอธิบายมาให้รู้เรื่อง!” ภูเขาน้ำแข็งอย่าตบะแตก ไม่มีภูเขาน้ำแข็งที่ใดมีนิสัยไร้ยางอายเยี่ยงนี้

“ครั้งล่าสุดที่ข้าได้พบนางคือตอนข้าอายุห้าขวบ” ไป่หลี่จิงหงเอ่ยปาก น้ำเสียงไม่มีขึ้นลงแม้เพียงน้อยนิด แต่เสียงพูดกลับแหบทุ้มกว่าเมื่อครู่นี้อยู่เล็กน้อย

“ห้าขวบ?!” โม่อีเหรินเบิกตาโต จนถึงบัดนี้…ไม่ได้เจอกันมาสิบห้าปีแล้ว?!

“นาง…” ไป่หลี่จิงหงพลันขมวดคิ้วน้อยๆ ก่อนทำมือเป็นสัญญาณออกมา

ชั่วอึดใจเดียว เฮยเหยาก็ปรากฏตัว

ไป่หลี่จิงหงออกคำสั่งทันควัน “ติดต่อกับที่เกาะสักหน่อย ข้าต้องการรู้ว่าเพราะเหตุใดจู่ๆ มารดาข้าถึงปรากฏตัว”

“ขอรับประมุขน้อย” เฮยเหยาไปจัดการทันที

“จิงหง?” อารมณ์ของเขาดูแปลกพิกล แล้วไหนจะมารดาของเขา…จู่ๆ ก็ปรากฏตัว นี่หมายความว่าอย่างไร

ประเดี๋ยวก่อน ไป่หลี่จิงหงดูเหมือนจะไม่เคยเอ่ยถึงมารดาของเขามาก่อน

นี่มัน…

“ไม่มีอะไร พวกเรากลับกันก่อนเถอะ” ไป่หลี่จิงหงรั้งตัวนางกลับเรือ

“หา?” แต่ว่านางยังมีข้อสงสัยอยู่เต็มท้องเลย

 

ครั้นถึงยามจื่อ ความครึกครื้นบนสองฝั่งตลิ่งก็ค่อยๆ ซาลง

บนแม่น้ำอิ้งชวน เรือทั้งหลายจอดเทียบฝั่ง มีเพียงเรือสีเรียบลำหนึ่งยังคงแล่นอยู่อย่างช้าๆ

สายลมยามราตรีพัดผ่านผิวแม่น้ำ นำพาความเย็นยะเยือกมาด้วย

ไป่หลี่จิงหงยืนอยู่บนดาดฟ้าส่วนหน้าลำเรือ ปล่อยให้ลมพัดระชุดตัวยาวของตน เสื้อคลุมด้านหลังปลิวขึ้นเบาๆ ตามลม

โม่อีเหรินเดินมาถึงข้างหลังเขาอย่างเงียบเชียบ เขากลับพลันส่งเสียงออกมา

“อีเหริน”

อากัปกิริยาของโม่อีเหรินชะงักไปเล็กน้อย นางต่อว่าเขาอย่างท้อใจอยู่บ้าง “จิงหง ท่านทำตัวไม่น่ารัก”

ไป่หลี่จิงหงหันหลังกลับมา นัยน์ตาสีม่วงอันงดงามเยียบเย็นมองนางด้วยแววตาสงบนิ่ง

“ท่านรู้สึกถึงข้าได้เร็วเพียงนี้ ทำให้ข้าหลอกให้ท่านตกใจไม่ได้ ไม่สนุกเลย”

วาจาของนางทำให้ในดวงตาของเขาปรากฏแววอบอุ่นขึ้นมา

พอเห็นเขาไม่ได้มีสีหน้าเย็นยะเยือกถึงเพียงนั้นแล้ว โม่อีเหรินถึงได้ยิ้มออกมา ก่อนก้าวขึ้นหน้าไปโอบเขาไว้ นางแอบอิงอยู่ในอ้อมแขนเขา กล่าวเบาๆ “จิงหง ภูเขาน้ำแข็งต้องมีลักษณะของภูเขาน้ำแข็งสิ”

“หืม?”

“ภูเขาน้ำแข็งต้องเย็นชา เย่อหยิ่ง เคร่งขรึม ไม่อาจทำตัวเศร้าหมองได้ มันเสียภาพลักษณ์เกินไป”

“…” ภูเขาน้ำแข็ง? ภูเขาน้ำแข็ง?! ในสายตาของนาง ข้าเหมือนภูเขาน้ำแข็งจริงๆ?!

ไป่หลี่จิงหงมีสีหน้ายุ่งยากใจอย่างหาได้ยาก ทำให้โม่อีเหรินหัวเราะพรืดออกมาอย่างสุดกลั้น

ไป่หลี่จิงหงมองนางเงียบๆ

“แค่ดูเหมือนเท่านั้นเอง แต่ข้าไม่ได้รู้สึกว่าท่านเป็นภูเขาน้ำแข็งจริงๆ” โม่อีเหรินปลอบเขา บนใบหน้ายังคงห้ามแววขบขันไม่อยู่

ผู้อื่นกลัวรัศมีเย็นชาของเขา แต่อันที่จริงนางไม่รู้สึกอะไรโดยสิ้นเชิง

อืม ดูเหมือนท่านตาเหยี่ยนจะเคยพูดว่าท่านตาเองก็เย็นชามากเช่นกัน หรือว่าเป็นเพราะนางโตมาท่ามกลาง ‘รัศมีเย็นชา’ ตั้งแต่เล็ก ดังนั้นถึงได้…เคยชินจนเป็นเรื่องปกติ

คำปลอบใจของนางทำให้ไป่หลี่จิงหงยิ่งเงียบลงกว่าเก่า

ดังนั้นเขาก็ยังคงเป็นภูเขาน้ำแข็ง

“จิงหงดียิ่ง” โม่อีเหรินนับว่ากลั้นขำได้ในที่สุด นางมองเขาด้วยสีหน้าจริงจังพลางเอ่ยถาม “จิงหงใส่ใจความเห็นของผู้อื่นด้วยหรือ”

เขาส่ายหน้าตอบ

“เช่นนั้นก็ช่างพวกเขาสิ” นางกลับเข้าประเด็น “จิงหง ข้ามีข้อสงสัย”

“เรื่องมารดาข้า?”

“อืม” โม่อีเหรินพยักหน้า นางมองเขาอย่างตั้งตารอยิ่ง นางอยากรู้มาก ไม่ได้รับคำตอบก็นอนไม่หลับ

“หนาวหรือไม่” ไป่หลี่จิงหงลูบแก้มที่เย็นเฉียบของนาง “กลับเข้าประทุนเรือจะดีกว่าหรือไม่…”

“ไม่หนาว อยู่ตรงนี้ดีแล้ว รีบบอกมาๆ”

อันที่จริงเมื่อฝึกบำเพ็ญจนบรรลุขั้นฟ้าก็จะไม่รู้สึกถึงอากาศร้อนหนาวมากมายแล้ว นับประสาอะไรกับพวกเขาที่บัดนี้มิใช่อยู่เพียงขั้นฟ้า ลมเย็นเพียงเท่านี้ไม่นับเป็นอะไรโดยสิ้นเชิง

ยามนี้นางอยากรู้เรื่องมารดาของไป่หลี่จิงหงมากกว่า

แม้ไป่หลี่จิงหงจะเอ่ยถึงบิดาของเขาน้อยมากเช่นกัน แต่อีกฝ่ายหาสมุนไพรหายาแก้พิษให้ผู้เป็นบิดาอย่างลำบากลำบนมากเพียงไร นางรู้ดี

บุปผากลางธาราในตอนแรกนั้นก็เป็นนางเก็บมาให้เขาเอง

แค่นี้ก็สามารถเห็นได้ว่าไป่หลี่จิงหงกับบิดารักและผูกพันกันดี

ทว่าในระหว่างนี้เขากลับไม่ได้เอ่ยถึงมารดาโดยสิ้นเชิง

เดิมทีนางนึกทำนองว่า…มารดาของไป่หลี่จิงหงไม่อยู่บนโลกแล้วด้วยซ้ำ ผลคือบัดนี้กลับโผล่ออกมากะทันหันเช่นนี้ได้ มิหนำซ้ำความรู้สึกระหว่างไป่หลี่จิงหงกับมารดาของเขา เห็นได้ชัดว่าไม่ได้แน่นแฟ้นอะไร

ด้วยเหตุนี้โม่อีเหรินย่อมต้องสงสัยเป็นธรรมดา

หรือว่าท่านพ่อท่านแม่ของไป่หลี่จิงหงจะไม่ได้รักกัน แต่ถูกบังคับให้อยู่ด้วยกัน ดังนั้นจึงกลายเป็นคู่รักคู่แค้น ทำให้ท่านแม่ของไป่หลี่จิงหงพาลไม่ชอบบุตรชาย…หรืออะไรทำนองนี้

“มารดาข้ามีนามว่าไป่หลี่เยียน”

“ไป่หลี่?” แซ่เดียวกัน?!

“นางมิใช่คนของดินแดนเทพยุทธ์”

“หา?!” โม่อีเหรินเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ

“ดินแดนเทพยุทธ์ อันที่จริงเล็กมาก เป็นเพียงดินแดนระดับต่ำแห่งหนึ่ง ไอวิเศษมีระดับความเข้มข้นต่ำ ระดับการฝึกบำเพ็ญก็ต่ำเช่นกัน ในดินแดนนี้บรรลุขั้นฟ้าได้ก็นับว่าเป็นยอดฝีมือแล้ว หากแต่ดินแดนที่มารดาข้าอยู่นักยุทธ์ขั้นฟ้ามีอยู่เกลื่อนกลาด ถึงขนาดว่าราชันยุทธ์ก็ยังไม่นับเป็นยอดฝีมืออะไร”

“…” นี่จะล้มล้างความรู้เดิมเกินไปแล้ว!

ในดินแดนนี้ราชันยุทธ์เป็นยอดของยอดของยอดฝีมือแล้ว แต่ในดินแดนอื่นกลับไม่นับว่าเป็นยอดฝีมือ?!

เช่นนั้นต้องระดับใดถึงจะนับเป็นยอดฝีมือ

ประเดี๋ยวก่อน วิธีการพูดนี้ไฉนจึงดูเหมือนข้ออนุมานเรื่องมิติและระนาบที่เคยได้ยินในชาติก่อนเลยเล่า

“ระดับต่ำ? เช่นนั้นยังมีระดับกลางและระดับสูงอยู่อีกหรือ” โม่อีเหรินถามตามสัญชาตญาณ

“เจ้ารู้?!” คราวนี้เปลี่ยนเป็นไป่หลี่จิงหงประหลาดใจแทน

“ไม่รู้ แค่เดา” โม่อีเหรินทำสีหน้าบริสุทธิ์ไร้ความผิด

“…” ไป่หลี่จิงหงหมดคำพูด

“เรื่องนี้…เดาได้ง่ายยิ่ง มีระดับต่ำก็ต้องมีระดับสูง มิใช่การตอบสนองโดยสัญชาตญาณหรือไร”

“…” ปัญหาคือคนทั่วไปไม่มีทางมีสัญชาตญาณนึกคิดได้เพียงนี้

สำหรับคนในดินแดนเทพยุทธ์ ดินแดนแห่งนี้ก็คือโลกทั้งใบ ราชันยุทธ์ก็คือจุดสูงสุดของเส้นทางการฝึกยุทธ์ ถึงขนาดที่มีคนจำนวนมากชั่วชีวิตก็ยังไม่เฉียดใกล้ระดับขั้นราชันยุทธ์ และก็ไม่รู้ว่าเหนือขั้นฟ้ายังมีระดับขั้นราชันยุทธ์อยู่อีก

หากแต่นางประหลาดใจเพียงประเดี๋ยวเดียวก็รับได้แล้ว มิหนำซ้ำยังสามารถอนุมานจากเรื่องหนึ่งไปถึงเรื่องอื่นๆ เดาออกมาได้ว่ายังมีโลกอื่นอยู่อีก

ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีท่าทางตั้งตารออยู่หน่อยๆ ด้วย

นี่ปกติหรือ

“จิงหง มารดาท่านเป็นคนจากดินแดนใด” โม่อีเหรินถามด้วยความสงสัยใคร่รู้

“ดินแดนที่นางอยู่มีชื่อว่า ‘ดินแดนแรกนภา’ ที่นั่นสกุลไป่หลี่เป็นตระกูลใหญ่ และเป็นหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจกล้าแกร่งที่สุดในดินแดน”

“เช่นนั้นเหตุใดนางถึงมายังดินแดนเทพยุทธ์ ดินแดนเทพยุทธ์กับดินแดนแรกนภามีการติดต่อกันหรือ”

ไป่หลี่จิงหงส่ายหน้า กดพวงแก้มที่ถูกลมพัดจนเย็นเฉียบของนางเข้าในอ้อมอก แต่แล้วก็ไม่ใคร่พอใจ จึงเปลี่ยนมาโอบนางไว้ก่อนกางเสื้อคลุมห่อนางไว้ทั้งตัว ส่วนตนเองก็ยืนตรงช่องลม บังลมให้นางแล้วถึงค่อยๆ กล่าวว่า “ดินแดนเทพยุทธ์กับดินแดนแรกนภาหาได้มีการติดต่อกันไม่ ก่อนมารดาข้าจะมาถึง ในบันทึกสาแหรกสกุลไป่หลี่มีบันทึกไว้ว่าสกุลไป่หลี่แห่งเกาะหุนเป็นสาขาหนึ่งของสายตรงของตระกูล ภายหลังบนดินแดนเกิดอุบัติภัยใหญ่หลวง ด้วยเหตุนี้จึงขาดการติดต่อกับคนในตระกูลคนอื่นไป และเป็นเช่นนี้สืบต่อมาเป็นพันๆ ปี จนกระทั่งมาถึงรุ่นของบิดาข้า

มารดาข้าจู่ๆ ก็มาท้าสู้กับบิดาข้า ทั้งยังเอาชนะบิดาข้าได้ด้วย เงื่อนไขของนางในยามนั้นก็คือต้องการแต่งงานกับบิดาข้า

พอแต่งงานกันแล้ว นางถึงได้เปิดเผยฐานะ แม้ว่านางจะมีแซ่ว่าไป่หลี่ แต่อันที่จริงเป็นบุตรสาวบุญธรรมของตระกูล หาใช่คนในสกุลไป่หลี่อย่างแท้จริงไม่ หลังได้รับมอบแซ่ไป่หลี่ ถึงได้กลายเป็นคุณหนูของตระกูล

เวลานั้นนางมีพลังแก่นแท้แข็งแกร่งยิ่ง และยังมีนิสัยชอบวางอำนาจ หลังแต่งงานกับบิดาข้าได้หนึ่งปีและให้กำเนิดข้าออกมา ในวันที่ข้าอายุครบเดือน นางก็จากไป

หลังจากนั้นก็มาปรากฏตัวอีกครั้งตอนที่ข้าทำการวัดระดับพรสวรรค์ขณะอายุห้าขวบ เมื่อพบว่าพรสวรรค์ของข้าดียิ่งก็ตัดสินใจจะพาตัวข้าไปทันที

บิดาข้าไม่ตกลง สู้กับนางไปอีกยกหนึ่ง คราวนี้คนทั้งสองเสมอกัน มารดาข้าไม่อาจใช้พลังแก่นแท้ข่มคนได้ถึงได้จากไปด้วยความเดือดดาล จวบจนบัดนี้ถึงกลับมาอีกครั้งอย่างกะทันหัน”

“ดังนั้น…ระหว่างบิดาและมารดาท่าน ไม่มีความรักความผูกพันอะไรเลย?” โม่อีเหรินฟังจนเซ่อซ่า

“ไม่มี”

“เช่นนั้นท่าน…ท่านเกลียดมารดาท่านหรือไม่”

“คนแปลกหน้า”

“…” ทว่าดูจากท่าทีของเขา ท่าทางไม่เหมือนไม่มีความรักความผูกพันโดยสิ้นเชิง มิเช่นนั้นมีหรือจะมายืนตากลมราตรีอยู่ตรงนี้

ความคิดของโม่อีเหรินเขียนอยู่บนใบหน้าหมดแล้ว ไป่หลี่จิงหงจึงยิ้มและเป็นฝ่ายอธิบายต่อ

“ข้ามาอยู่ตรงนี้เพื่อรอรายงานจากเฮยเหยา แล้วก็เพื่อพิจารณาดูว่าจะกลับเกาะหุนดีหรือไม่”

“ท่านจะกลับไป?!”

“ถ้านางมาด้วยเจตนาไม่ดี”

ถ้อยคำกระชับยิ่ง แต่โม่อีเหรินกลับฟังเข้าใจ

“จิงหง…” โม่อีเหรินไม่รู้ว่าควรพูดอะไร

แม้ไป่หลี่จิงหงจะไม่ได้เล่าอย่างละเอียด แต่มารดาของเขาน่าจะให้กำเนิดเขาด้วยมีจุดประสงค์ เรื่องพรรค์นี้ไม่ว่าเกิดขึ้นกับผู้ใด ในใจล้วนไม่มีทางรู้สึกดีไปได้

หากแต่ไป่หลี่จิงหงกลับไม่มีแม้แต่อารมณ์หวั่นไหว ประหนึ่งว่านั่นเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับเขาโดยสิ้นเชิงกระนั้น

หากจะกล่าวว่ามีอารมณ์อะไร นั่นก็คือโทสะ ความเย็นชา และความรำคาญ เนื่องจากการมาถึงของซย่าอวี่ผู้นั้นก็คือความยุ่งยาก

และยามไป่หลี่จิงหงเผชิญความยุ่งยากก็จะลงมือ จัดการจบเรื่อง

ทว่าทำเช่นนี้มิใช่ความสัมพันธ์ปกติระหว่างแม่ลูก…

“ไม่เป็นอะไร” กับมารดาไป่หลี่จิงหงไม่เคยใส่ใจ ไม่ว่านางอยากทำอะไร เขาล้วนไม่สนใจจะเข้าร่วม

หากแต่ความเป็นห่วงของโม่อีเหรินทำให้แววเย็นชาบนใบหน้าเขาลดลงไปมากในทันที

“ข้ารู้สึกว่าเป็น” โม่อีเหรินพึมพำ

“หืม?”

“เรื่องผิดปกติจะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล นางปรากฏตัวกะทันหัน จะต้องมีสาเหตุ หากนางไม่ได้มาเพื่ออยู่กับบิดาท่าน เช่นนั้นก็จะต้องมาเพราะท่าน”

อีกทั้งฟังจากที่ไป่หลี่จิงหงพูด โม่อีเหรินรู้สึกว่าความเป็นไปได้ที่นางมาเพื่อไป่หลี่จิงหงนั้นมีสูงกว่า

ทว่าจะเป็นเรื่องอะไรกันหนอ…จิงหงเป็นผู้ใหญ่แล้ว หรือว่า…มาเพื่อเรื่องแต่งงานของจิงหง!

เอ่อ…จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนถูกสาดน้ำใส่ ความเป็นจริงคงไม่ย่ำแย่ถึงเพียงนั้นกระมัง

“โม่อีเหริน?” ไป่หลี่จิงหงมองนางด้วยความแปลกใจ นางกำลังคิดอะไร คิดจนหัวคิ้วมุ่นเป็นปมแล้ว ซ้ำยังหน้าดำทะมึนอีกด้วย

“ไม่มีอะไร” โม่อีเหรินโกหกเอาตัวรอด สลัดความคิดเหลวไหลในหัวทิ้งไป แล้วเปลี่ยนมาเอ่ยถามเรื่องเป็นการเป็นงาน “จิงหง ท่านบอกว่าดินแดนทั้งสองไม่ได้มีการติดต่อกัน แล้วอย่างนั้นมารดาท่านมาได้อย่างไร”

“มาได้อย่างไรข้าก็ไม่รู้ นางเองก็ไม่มีทางบอก เรื่องที่ข้าแน่ใจได้คือทุกครั้งที่มา จะมีคนมามากที่สุดแค่สามคน”

“สามคน?” โม่อีเหรินข้องใจยิ่ง ทันใดนั้นก็ค้นพบว่าโลกนี้ยังมีเรื่องอีกมากมายที่นางไม่เข้าใจ

ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านตาจะรู้หรือไม่…

นางเพิ่งจะคิดถึงตรงนี้ เสียงของท่านก็ดังขึ้น

“บนร่างของคนที่มาใช่พกเครื่องรางหยกหรือป้ายหยกที่วาดรูปทรงกลมที่ดูแปลกจำเพาะไว้ด้วยหรือไม่”

ไป่หลี่จิงหงกับโม่อีเหรินหมุนตัวไปพร้อมกัน มองเห็นท่านตาเดินอย่างแช่มช้าออกมาจากในประทุนเรือ

ไป่หลี่จิงหงย้อนนึกถึงสิ่งที่ได้เห็นตอนห้าขวบ… “มี”

ขณะมารดาของเขาจะจากไปในตอนนั้นได้ไปอยู่เบื้องหน้าเขตลี้ลับของเกาะหุน เวลานั้นบนมือนางถือป้ายหยกไว้ป้ายหนึ่งจริงๆ บนนั้นสลักอักขระยันต์ที่ดูแปลกจำเพาะไว้ ขณะนางถ่ายพลังใส่เข้าไป อักขระยันต์ก็พลันเปล่งแสงขึ้นมาตอบรับกับโพ้นนภา แล้วหลังจากนั้นนางก็หายตัวไปตามอักขระยันต์ที่จางหาย

คำตอบของไป่หลี่จิงหงทำให้โม่ซั่งเฉินมีสีหน้าชะงักค้าง

“ท่านตา มันคืออะไรหรือเจ้าคะ” โม่อีเหรินเพิ่งเคยเห็นสีหน้าของท่านตาปรากฏ ‘แววเคร่งเครียด’ ออกมาเป็นครั้งแรก ดูแปลกประหลาดยิ่งนัก

“ทุกครั้งที่มามีคนมากที่สุดเพียงสามคน?” โม่ซั่งเฉินถามต่อ

“ขอรับ ตอนกลับก็กลับไปสามคนเช่นกัน” ไป่หลี่จิงหงเอ่ยตอบ

“แต่ละครั้งมาห่างกันนานเท่าไร”

“ครั้งล่าสุดคือราวสิบห้าปีก่อน ก่อนหน้านั้นก็ห้าปี” ไป่หลี่จิงหงตอบอย่างละเอียด

โม่ซั่งเฉินได้ยินแล้ว สีหน้าเคร่งเครียดคลายลงเล็กน้อย “ปล่อยให้คนไปมาเกาะหุนตามสะดวก ไป่หลี่จิ้งหย่วนไม่มีความเห็นใดๆ?”

“ยี่สิบกว่าปีก่อนบิดาก็เคยเป็นกังวล ทว่าหลังจากการพบหน้าเมื่อสิบห้าปีก่อน บิดาก็มิได้เป็นกังวลอีก” ไป่หลี่จิงหงรู้ความหมายของคำถามของเขา

เนื่องจากความจริงได้พิสูจน์แล้วว่ามารดามิได้มีความสามารถเอาชนะบิดาได้อีกต่อไป

และเนื่องจากระหว่างการต่อสู้ทั้งสองครั้งที่ห่างกันหลายปี บิดาได้ค้นพบว่าพลังแก่นแท้ของมารดามิได้พัฒนาขึ้นโดยสิ้นเชิง ดังนั้นเรื่องที่โม่ซั่งเฉินเป็นกังวลย่อมไม่มีทางเกิดขึ้น

โม่อีเหรินมองดูท่านตาที่มีสีหน้าครุ่นคิดพลางกระตุกไป่หลี่จิงหงเบาๆ เป็นการบอกให้เขาปล่อยตนเอง

แม้ไป่หลี่จิงหงจะไม่อยากปล่อยเสียเท่าไร แต่ก็ยังคงคลายอ้อมแขนออกเล็กน้อย

“ท่านตา ท่านกำลังคิดอะไรเจ้าคะ” โม่อีเหรินผละออกจากขอบเขตโอบล้อมของเสื้อคลุม พุ่งตัวไปเบื้องหน้าท่านตา

โม่ซั่งเฉินได้สติกลับมา มองนางปราดหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “คิดว่าเหตุใดป่านนี้เจ้ายังไม่กลับห้อง แอบมาคุยกับคนอื่นอยู่ตรงนี้”

“มิได้แอบเจ้าค่ะ คุยกันเปิดเผยเลย” นางกับไป่หลี่จิงหงไม่ได้หลบๆ ซ่อนๆ เสียหน่อยจึงมิใช่การแอบ

“ไม่ได้บอกข้าก่อนก็คือการแอบ” หลบๆ ซ่อนๆ หรือไม่มิใช่จุดสำคัญ

“แต่ท่านตาก็มิได้บอกว่าตอนกลางคืนห้ามออกจากห้อง ดังนั้นจึงมิใช่การแอบ”

“ตอนนี้บอกแล้ว”

“แต่ว่าทิวทัศน์ยามราตรีก็งดงามยิ่งนะเจ้าคะ พลาดไปเสียดายแย่ ท่านตามาชมดูด้วยกันเถอะ” โม่อีเหรินกอดแขนข้างหนึ่งของโม่ซั่งเฉินพลางดึงเขามาดูท้องฟ้าด้วยกัน

ครั้นผู้คนเข้าออกร้านค้าและเสียงร้องขายของตามหาบเร่แผงลอยหายไป ทั้งเมืองอิ้งสุ่ยก็เงียบสงบลง

ไม่เพียงเสียงผู้คนจะเงียบสงัด แม้แต่ดวงไฟก็ยังเห็นได้น้อยลง

บรรยากาศราตรีที่มืดสลัวยิ่งขับเน้นให้ดวงดาวไม่กี่ดวงบนท้องฟ้าสว่างไสวเป็นพิเศษ

พอมองดูดวงดาวแล้ว โม่อีเหรินพลันถอนหายใจ

โม่ซั่งเฉินเก็บสายตาที่ทอดมองไปไกลกลับมา ก้มหน้ามองหลานสาวของตนเอง “อยู่ดีๆ เหตุใดถึงถอนหายใจ”

“ท่านตา ข้ามองเห็นบนฟ้ามีดวงดาว รู้ว่านั่นคือดวงดาว แต่กลับไม่รู้ว่าดาวดวงนั้นคืออะไรกันแน่”

โม่ซั่งเฉินได้ฟังก็เก็บความเป็นห่วงกลับ “อยากถามอะไร”

ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นเด็กน้อยที่เขาอบรมเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ นางสื่อเป็นนัยอ้อมๆ ถึงอะไร โม่ซั่งเฉินแค่ฟังก็เข้าใจแล้ว ย่อมจะรู้ด้วยเช่นกันว่าเสียงถอนหายใจนั้นโม่อีเหรินทำเพื่อดึงดูดความสนใจของเขาโดยเฉพาะ

“ท่านตา ท่านยังไม่ได้บอกข้าเลยนะเจ้าคะว่าโลกนี้ยังมีดินแดนแห่งอื่นอีกหรือไม่” โม่อีเหรินพูดอย่างตัดพ้อ

“ถึงเวลาที่สมควรรู้ก็จะได้รู้เอง” ท่านตาจงใจหยุดเล็กน้อย “ตอนนี้เจ้ามิใช่รู้แล้วหรือไร”

“…” ท่านตารังแกคน ใครที่ใดพูดกันอย่างนี้

ท่านตามองนางด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ทว่าน้ำเสียงอ่อนโยนเป็นพิเศษ ไม่ได้เย็นชาแม้แต่น้อย “เรื่องมากมาย เจ้าค่อยรู้เมื่อมีพลังแก่นแท้เพียงพอและถึงเวลาที่สมควรได้รู้ จะเป็นการดีต่อเจ้าและไม่ทำให้เจ้าตกใจ”

“ข้าไม่ถูกทำให้ตกใจหรอกเจ้าคะ” โม่อีเหรินเน้นย้ำ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ขายหน้าท่านตาเกินไปแล้ว

“หากแต่การรู้เร็วไปจะทำให้ความคิดความอ่านของเจ้าสับสนได้ง่าย ไม่อาจสงบใจ ไม่มีผลดีต่อการฝึกบำเพ็ญ” โม่ซั่งเฉินอธิบายอย่างมีน้ำอดน้ำทนถึงเพียงนี้ต่อโม่อีเหรินเพียงผู้เดียว

ท่าทีนี้ทำให้เฟิงเหยี่ยนที่มองดูอยู่ด้านหลังคับแค้นใจนัก หัวใจของเฉินเอียงกระเท่เร่แล้วจริงๆ

กับหลานชายสองคนเพียงพูดกระชับได้ใจความ ในหนึ่งประโยคกระชับได้เท่าไรก็กระชับเท่านั้น หากสามารถพูดหมดได้ในคำเดียวก็จะไม่เอ่ยคำที่สองออกมาอย่างเด็ดขาด ทว่ากับอีเหรินน้อยกลับอธิบายดีๆ จนรู้เรื่องอย่างมีน้ำอดน้ำทน

ครั้นพอนึกถึงตนเอง ตนก็อยู่ในพวกที่ได้รับ ‘ถ้อยคำกระชับได้ใจความ’ นั้นเช่นกัน

“เช่นนั้นท่านตา บัดนี้ข้ารู้เรื่องแล้ว ท่านก็เล่าเรื่องของทางนั้นให้ข้าฟังสิเจ้าคะ” โม่อีเหรินจึงเอ่ยถามต่อตรงๆ

“เรื่องที่ข้ารู้ก็มีไม่มาก”

เขารู้แค่ว่านอกดินแดนเทพยุทธ์ยังมีดินแดนที่กว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่า มีไอวิเศษล้นเหลือยิ่งกว่า และเหมาะกับการฝึกบำเพ็ญยิ่งกว่าดำรงอยู่อีก

หากแต่ดินแดนเทพยุทธ์กลับเหมือนเป็นสถานที่ปิดตาย คนในที่แห่งนี้ไม่อาจจากไป ต่อให้ฝึกบำเพ็ญจนถึงขั้นสุดยอดแล้ว หากไม่อาจไปยังดินแดนอื่นได้ ก็จะสิ้นอายุขัยไปเนื่องจากไม่อาจบรรลุขั้นที่สูงกว่าได้

เรื่องเกี่ยวกับดินแดนอื่นนั้น แม้ในตระกูลเฟิ่งจะมีบันทึกไว้เช่นกัน แต่ก็มีไม่มาก บางทีในเขตลี้ลับอาจจะมีคำอธิบายอยู่มากกว่า

“ดังนั้นเขตลี้ลับแห่งนั้น ข้ายังคงไปเยือนจะดีกว่า…” โม่อีเหรินพูดพึมพำ

เดิมทีเรื่องจะไปหรือไม่ไปนั้น นางเชื่อฟังท่านตาโดยมิได้มีความเห็นมากนัก ทว่าดูจากยามนี้ นางพลันรู้สึกว่ามีความจำเป็นจะต้องไปเยือนเขตลี้ลับสักหน่อย

หากดินแดนเทพยุทธ์ส่งผลต่อการทำให้พลังยุทธ์ถูกจำกัดอย่างมาก เช่นนั้นในอนาคตการไปจากที่นี่ก็เป็นทางเลือกที่ต้องเลือกแล้ว

“ไปหรือไม่ไป เจ้าตัดสินใจเองได้เลย ทว่าการกลับไปตระกูลเฟิ่งสักเที่ยวเป็นเรื่องจำเป็น” ถ้าไม่กลับไป เฟิ่งเชียนลั่งจะต้องไล่ตามมาไม่เลิกราแน่นอน

มิหนำซ้ำหลานสาวของเขา ญาติที่เขาให้การยอมรับก็ย่อมจะเป็นคนตระกูลเฟิ่ง กลับถิ่นตระกูลไปให้ทุกคนได้รู้จักหน้าค่าตาเสียหน่อยก็เป็นเรื่องจำเป็น

“อ้อ” โม่อีเหรินพยักหน้า นางเชื่อฟังคำท่านตา “จริงสิ ท่านตา ที่ท่านถามเมื่อครู่นี้ ป้ายหยกหรือรูปทรงกลมแปลกจำเพาะคืออะไรเจ้าคะ”

“หากข้าเดามิผิด นั่นน่าจะเป็น…ยันต์ส่งตัวผ่านมิติ”

“ยันต์ส่งตัว?”

โม่อีเหรินกับไป่หลี่จิงหงต่างมีสีหน้าสนเท่ห์

โม่ซั่งเฉินอธิบาย “รูปทรงกลมที่แปลกจำเพาะน่าจะเป็นอักขระยันต์ชนิดหนึ่ง ใช้วิธีการพิเศษทำออกมา สามารถแหวกมิติแล้วส่งคนหรือสิ่งของผ่านไปได้ ทว่านี่ยังต้องมีจุดส่งตัวที่สอดรับกันด้วย สกุลไป่หลี่น่าจะมีเขตลี้ลับพิเศษสอดรับกับยันต์ส่งตัวอยู่ ดังนั้นอีกฝ่ายถึงสามารถอาศัยยันต์ส่งตัวเดินทางมาและสามารถใช้ยันต์ส่งตัวเดินทางกลับไปได้”

ทว่ายันต์ส่งตัวพรรค์นี้ หนึ่งอันใช้ได้เพียงหนึ่งครั้ง มิหนำซ้ำน่าจะทำขึ้นมาได้ไม่ง่ายด้วย ผู้ที่มีพลังยุทธ์ไม่เพียงพอก็ไม่อาจใช้งานมันได้ มีข้อจำกัดมากยิ่ง

“ท่านตาทำเป็นหรือไม่เจ้าคะ” โม่อีเหรินสายตาแวววาว รู้สึกว่าของสิ่งนี้น่าสนุกยิ่ง

โม่ซั่งเฉินส่ายหน้า “มีอักขระยันต์ แต่ไม่มีวัตถุดิบ หรือต่อให้มี บนดินแดนเทพยุทธ์ก็ไม่มีใครทำออกมาได้”

“เพราะเหตุใดเล่าเจ้าคะ”

“พลังยุทธ์ไม่พอ”

ผ่านมิติก็คือการแหวกมิติ การจะทำยันต์ส่งตัวผ่านมิติ ตัวผู้ทำอย่างน้อยต้องมีพลังแก่นแท้ระดับที่สามารถแหวกมิติได้ ดินแดนเทพยุทธ์มีไอวิเศษจำกัด ไม่มีคนที่ทำได้โดยสิ้นเชิง

“ทำไม่ได้อย่างนั้นหรือ…” โม่อีเหรินผิดหวังยิ่งนัก นางอยากจะทำมาเล่นดูเสียหน่อย

ทว่าบัดนี้ทำไม่ได้ มิได้หมายความว่าภายหน้าก็จะทำไม่ได้นี่นา

โม่อีเหรินคึกคักขึ้นมาแล้ว “ท่านตา ข้าอยากดูอักขระยันต์เจ้าค่ะ”

ท่านตาหยิบม้วนไผ่หยกม้วนหนึ่งออกมาจากในแหวนงำของของตนเองอย่างไม่อิดออด

“กลับห้องไปค่อยๆ ดู” โม่ซั่งเฉินไล่คนแล้ว

“เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านตา” โม่อีเหรินตอบอย่างว่าง่าย แล้วแอบบอกลาไป่หลี่จิงหง จากนั้นถึงกลับเข้าห้องในประทุนเรือไป

ครั้นแล้วโม่ซั่งเฉินก็หันมาหาไป่หลี่จิงหง สีหน้ามิได้เป็นมิตรเหมือนเมื่อครู่นี้แล้ว

ไป่หลี่จิงหงก็เงียบขรึมเช่นกัน

ภูเขาน้ำแข็งที่เงียบขรึมทั้งสองลูกมาเจอกันก็มีแต่ความเงียบและก็ความเงียบ

เงียบจนทำให้เฟิงเหยี่ยนอยากหาวออกมาแล้ว

“เฉิน ควรพักผ่อนแล้ว” หากปล่อยให้พวกเขามองกันอย่างเงียบๆ ต่อไป ฟ้าคงได้สางพอดี

“หลานสาวของข้า ใครก็ห้ามทำให้นางได้รับความไม่เป็นธรรม” โม่ซั่งเฉินนับว่าเอ่ยปากในที่สุด

“ภรรยาของข้า ใครก็ห้ามรังแกขอรับ” ไป่หลี่จิงหงตอบกลับ

“เจ้าในตอนนี้ยังไม่มีพลังแก่นแท้เพียงพอที่จะพูดคำนี้” โม่ซั่งเฉินหมุนตัวกลับเข้าประทุนเรือ

นี่คือพูดจบแล้ว? เช่นนี้ก็นับเป็นการคุยกันด้วย?!

เฟิงเหยี่ยนตะลึงลาน เขาได้ยินแต่ไม่เข้าใจโดยสิ้นเชิง

เฉิน อธิบายหน่อยสิ

บทที่ 4

คืนแรกที่มาถึงเมืองอิ้งสุ่ย ทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับห้องไปนอนอย่างสันติยิ่ง

จากนั้นก็เป็นคืนที่สอง คืนที่สาม คืนที่สี่…

แม้ไม่กี่เดือนมานี้จะเที่ยวเล่นอยู่ข้างนอก ทว่าพร้อมกับที่เที่ยวเล่นต่างก็ยังไม่ลืมหาเวลามาฝึกบำเพ็ญ ทุกคนเองก็ล้วนชินแล้ว จึงไม่ไปเอะอะรบกวนคนที่ยังไม่เปิดประตูห้อง

หากแต่คราวนี้…ยามเช้าของทุกวัน ทุกคนกลับมาชุมนุมกันอยู่หน้าประตูห้องบางห้องโดยมิได้นัดหมาย

ครั้นถึงยามเฉิน* ฉู่เซวียนอั๋งจะเอ่ยปากขึ้นก่อนตามปกติ

“ท่านตา กินมื้อเช้าก่อนเถิดขอรับ”

“อืม” โม่ซั่งเฉินพยักหน้า ก่อนเดินนำไปทางห้องกินข้าว

จากนั้นทุกคนก็เดินตามไป

“เซวียนฉี วันนี้เจ้าจงเจียดเวลาไปหาคนเรือ เช่าเรือต่ออีกสองวัน” โม่ซั่งเฉินกล่าว

ตอนที่เช่าเรือได้จ่ายเงินไปเป็นจำนวนเพียงห้าวัน วันนี้ถึงกำหนดแล้ว ทว่าดูจากยามนี้…ให้เรือวนอีกสองวันแล้วกัน

“ขอรับท่านตา” ฉู่เซวียนฉีกล่าวตอบ ในใจเป็นกังวลอยู่เล็กน้อย ไม่รู้ว่าโม่อีเหรินกำลังฝึกอะไรถึงไม่ได้ออกจากห้องมาสี่วันเต็มๆ แล้ว

พอโม่อีเหรินไม่ปรากฏตัว คนทั้งหมดตลอดจนสัตว์ทั้งหมดก็ล้วนไม่มีแก่ใจจะเล่นสนุกแล้ว ทุกวันตื่นเช้ามาก็จะไปดูว่าโม่อีเหรินออกมาหรือยัง จากนั้นหลังกินมื้อเช้าเสร็จก็แยกย้ายกันไปฆ่าเวลา แล้วก็ไปดูอีกว่าห้องของโม่อีเหรินเปิดออกหรือยัง ต่อจากนั้นก็ถึงมื้อเที่ยง…มื้อเย็น…วนซ้ำเช่นนี้ทุกวัน

ไม่มีใครลงจากเรือ และก็ไม่มีใครอยากไปเที่ยวเล่นเช่นกัน ต่างรอเงียบๆ กินข้าวเงียบๆ รอเงียบๆ กินข้าวเงียบๆ…

เสียงกึกกักดังขึ้นเบาๆ คนทั้งหมดวางชามในมือลงแล้วเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน

เสียงฝีเท้าเชื่องช้าแผ่วเบาค่อยๆ ใกล้เข้ามา จนมาถึงทางเข้าห้องกินข้าว ใบหน้าเล็กที่ไม่ได้เห็นมาสี่วันก็โผล่ออกมา

“ข้าออกมาแล้ว!” โม่อีเหรินยิ้มตาหยี

อารมณ์ของทุกคนทั้งยินดี ทั้งโมโห ทั้งหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอยู่เล็กๆ พวกเขารอไปกังวลไป ผลคือนาง…ยิ้มแฉ่งตาหยี

“มากินข้าวเช้าก่อน” โม่ซั่งเฉินกล่าว

“เจ้าค่ะ” นางยิ้มตาเป็นรูปโค้ง นั่งตรงกลางระหว่างพี่ชายทั้งสอง

ทุกคนกินมื้อเช้าเสร็จอย่างรวดเร็ว ก่อนย้ายไปยังห้องชมทิวทัศน์

กลางวันของเมืองอิ้งสุ่ยไม่ได้แตกต่างจากเมืองอื่นๆ มากนัก เอกลักษณ์ข้อใหญ่ที่สุดที่มีเพียงข้อเดียวยังคงเป็นแม่น้ำอิ้งชวนที่ล้อมรอบเมือง

ความรู้สึกทำนองนี้…ก็เหมือนกับเวลานั่งเรือยอชต์เที่ยวเกาะในชาติก่อน เพียงแต่สิ่งที่มองเห็นในยามนี้มิใช่สิ่งปลูกสร้างทันสมัยในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด แต่เป็นสิ่งปลูกสร้างทำจากหินและไม้ที่ดูโบราณ

เรือล่องด้วยความเร็วที่ช้ายิ่ง และไม่ได้มีเสียงเครื่องยนต์ดังหึ่ง เสียงที่ได้ยินมีเพียงเสียงคลื่นน้ำดังเอื่อยยามเรือแล่นผ่านผิวน้ำ

“ท่านตา ดูนี่สิเจ้าคะ” โม่อีเหรินนั่งลงข้างท่านตา หยิบผลงานที่ลำบากทำมาตลอดไม่กี่วันนี้ออกมา

เป็นของบางๆ ลักษณะเหมือนแผ่นหยก อีกทั้งเหมือนกระดาษชิ้นหนึ่ง ถือไว้ในมือมิได้รู้สึกแข็งอย่างหยก และก็ไม่ได้รู้สึกอ่อนอย่างกระดาษ

“ท่านตา ท่านถ่ายพลังวิเศษเข้าไปนิดๆ นิดเดียวก็พอนะเจ้าคะ”

โม่ซั่งเฉินถ่ายพลังวิเศษเข้าไปตามคำบอก พริบตาเดียวแสงสายหนึ่งก็แผ่พุ่งออกมาจากบนแผ่นยันต์ ทั้งแผ่นหยกส่องภาพอักขระทรงกลมที่แปลกจำเพาะออกมาเป็นแสงวูบวาบ

แต่ครั้นหยุดถ่ายพลังวิเศษ รัศมีแสงก็มืดลงทันที ยันต์ทั้งแผ่นกลับมามีลักษณะธรรมดาสามัญ อักขระทรงกลมก็เลือนหายไปสิ้น

โม่ซั่งเฉินที่ถือยันต์อยู่สามารถรู้สึกได้ว่าอักขระทรงกลมมีพลังพิเศษแฝงอยู่

“นี่คือยันต์ส่งตัว แค่ถ่ายพลังวิเศษเข้าไปจำนวนหนึ่งให้ยันต์ทั้งแผ่นสว่างขึ้นมาก็ใช้ได้แล้ว ทว่าประสิทธิภาพมิได้ร้ายกาจขนาดแหวกมิติได้ เพียงส่งตัวได้เป็นระยะทางใกล้ๆ โดยที่ทิศทางไม่แน่นอน ระยะทางคร่าวๆ…หนึ่งร้อยลี้”

โม่อีเหรินพูดจบ ในที่นี้ก็เงียบกริบ

ยันต์ส่งตัว?

ส่งตัวได้โดยทิศทางไม่แน่นอน?

แค่ถ่ายพลังวิเศษเข้าไปก็ใช้ได้?

มิหนำซ้ำยังตั้ง…หนึ่งร้อยลี้?!

เหล่าบุรุษในที่นี้ต่างตะลึงงันกันหมด

“มีประโยชน์ยิ่งเวลาหนีเอาชีวิตรอด” โม่อีเหรินเสริมปิดท้ายอีกประโยค

“พรืด…” ความตื่นตะลึงและความอึ้งงันทั้งหมดแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะพรืด

สองคนที่ไม่ได้หัวเราะก็คือภูเขาน้ำแข็งสองลูกนั้น ทว่าในดวงตาของทั้งสองกลับปรากฏรอยยิ้มออกมาพร้อมกัน

“โม่อีเหริน เจ้ากักตัวสี่วันเต็มๆ ก็เพื่อศึกษาสิ่งนี้หรือ” เฟิงเหยี่ยนแย่งแผ่นหยกมาดู มองจากรูปลักษณ์ภายนอก นี่ก็คือแผ่นบางๆ ที่ไม่มีความพิเศษใดๆ

นี่คือยันต์ส่งตัวจริงๆ หรือ

เฟิงเหยี่ยนเผลอมือไวกว่าความคิด พลังวิเศษถูกถ่ายเข้าในยันต์ รัศมีแสงอักขระทรงกลมวาบขึ้นในพริบตา

ยันต์หายไปแล้ว เฟิงเหยี่ยน…ก็หายไปแล้วเช่นกัน

“เอ่อ…” คราวนี้แม้แต่โม่อีเหรินก็ยังอึ้งงันไป

“อาจารย์?” ฉู่เซวียนฉีเอ่ย

โม่ซั่งเฉิน ไป่หลี่จิงหง ฉู่เซวียนอั๋งมองโม่อีเหรินเป็นสายตาเดียว

“เอ่อ…ท่านตาเหยี่ยนคงจะต้องกลับมาเอง อย่างเร็วน่าจะกลับมาได้ภายในหนึ่งชั่วยาม”

บุรุษทั้งสี่พูดไม่ออก “…”

“ยังมีอีกหรือไม่” โม่ซั่งเฉินถามขึ้นในที่สุด

“มีเจ้าค่ะ” โม่อีเหรินนึกคิด บนมือก็ปรากฏยันต์ส่งตัวปึกหนึ่ง ทุกคนได้รับคนละสองใบ

“พวกนี้เหมือนกับใบเมื่อครู่ ส่งตัวโดยไม่กำหนดทิศทาง ขอบเขตหนึ่งร้อยลี้ นอกจากนี้ยังมีสองร้อย ห้าร้อย และหนึ่งพันลี้อยู่อีก” แต่ละคนได้รับอีกคนละหลายใบ “ที่ข้าทำเสร็จในไม่กี่วันมานี้ ระยะทางที่ไกลที่สุดคือสองพันลี้ และก็มีอันที่ส่งตัวโดยกำหนดทิศทางได้อยู่ด้วย ทว่าระยะทางของแบบกำหนดทิศทางจะสั้นกว่า”

พอนางแจกเสร็จ บนมือแต่ละคนก็มียันต์ส่งตัวกันคนละหลายใบ

โม่ซั่งเฉินพินิจดูยันต์ส่งตัวในมือ แม้ผิวเผินจะดูทึมๆ ไม่มีลวดลายใดๆ แต่กลับมีการกระเพื่อมของพลังวิเศษอยู่รำไร เขาเอ่ยออกมาสองพยางค์นิ่งๆ “ค่ายกล”

ไป่หลี่จิงหงพยักหน้า

ฉู่เซวียนอั๋งกับฉู่เซวียนฉีงุนงง

“อื้ม!” โม่อีเหรินพุ่งตัวมาเบื้องหน้าท่านตา กล่าวอย่างเบิกบานใจว่า “ม้วนไผ่หยกที่ท่านตาให้ข้า ข้าศึกษาอย่างละเอียดแล้ว ไม่เพียงลวดลายซับซ้อน ยังต้องสิ้นเปลืองพลังปฐมและพลังใจอย่างมากถึงจะวาดออกมาได้ ข้าหาม้วนไผ่หยกอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่งมาดู ก็พบว่าอันที่จริงลวดลายแปลกจำเพาะนี้คือการฝังค่ายกลประเภทหนึ่ง”

ในแหวนพู่สวรรค์มีบันทึกค่ายกลที่สมบูรณ์อยู่ นางเกือบจะลืมไปแล้ว ทั้งยังรื้อม้วนไผ่หยกจำนวนมาก ออกมาพิจารณาเทียบดู จากนั้นถึงได้พบว่า…อันที่จริงในบันทึกค่ายกลมีบันทึกอยู่นานแล้ว เพียงแต่นางยังไม่ทันดูให้ละเอียดจนเห็นตรงส่วนนั้น ขณะอยู่ที่เกาะโม่เสวียนก่อนหน้านี้ล้วนง่วนกับการศึกษาวิธีติดตั้ง วิธีแก้ และวิธีดัดแปลงค่ายกลธรรมชาติประเภทต่างๆ ภายหลังมาถึงแผ่นดินใหญ่ก็ยุ่งเกินไป จึงมิได้ศึกษาต่อ

ไม่กี่วันนี้นางเอามาอ่านดีๆ อีกรอบ จากนั้นก็เริ่มลองทำยันต์ส่งตัว

“…ท่านตา ข้ารู้สึกว่าค่ายกลมิใช่เรื่องยากนัก แต่การจะฝังมันเป็นยันต์เล็กๆ นั้นยากลำบากยิ่ง ข้าลองอยู่ตั้งนาน…”

ล้มเหลวไปหลายครั้ง

“ข้าเรียบเรียงค่ายกลสองสามชนิดสำหรับยันต์ส่งตัวออกมาแล้วเจ้าค่ะ” โม่อีเหรินพูดพลางหยิบม้วนไผ่หยกไม่กี่ม้วนออกมาส่งให้แต่ละคน คนละม้วน และยังเก็บม้วนหนึ่งไว้รอมอบให้ท่านตาเหยี่ยนตอนที่เขากลับมา

จากนั้นนางก็บอกเล่าถึงจุดสำคัญสองสามข้อที่ต้องระวังในการทำยันต์

“…สิ่งที่ต้องระวังเป็นพิเศษคือหากรู้สึกเหนื่อยแล้วจะต้องหยุดพัก มิเช่นนั้นญาณวิเศษใช้งานหนักเกินไปก็จะดูแลให้กลับมาได้ยาก…”

ครั้นโม่อีเหรินกล่าวจบในที่สุด ที่นอกเรือก็มีเสียงร้องคับแค้นใจลอยมา

“อีเหรินน้อย…”

“เอ่อ…” โม่อีเหรินหันหน้าไปก็มองเห็นเฟิงเหยี่ยนมีสีหน้าคับแค้นใจ ลอยเข้ามาเหมือนวิญญาณ

“ท่านตาเหยี่ยน กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” โม่อีเหรินยิ้มได้ดูหน้าตาใสซื่อบริสุทธิ์

“อี…เหริน…น้อย…” น้ำเสียงของเฟิงเหยี่ยนยิ่งเหมือนวิญญาณมากกว่าเดิม

“ท่านตาเหยี่ยน ข้าบอกไปแล้วว่าพอถ่ายพลังวิเศษเข้าไปก็จะบังเกิดผล ข้าเตือนไปแล้วนะเจ้าคะ” เพราะฉะนั้นนี่มิใช่ความผิดของนาง

สีหน้าเฟิงเหยี่ยนชะงักไป จากนั้นอารมณ์แค้นเคืองก็แผ่ไปทั่วทั้งเรืออีกในทันที

“เพื่อที่จะกลับมา ข้าต้องวิ่งอยู่นานยิ่ง…”

ด้วยพลังแก่นแท้ของราชาสัตว์วิเศษอย่างเฟิงเหยี่ยน เขาไม่เคยรู้สึกว่าระยะทางร้อยลี้นั้นไกลสักเท่าไร แต่วันนี้เขาถูกส่งตัวออกไปอย่างกะทันหัน ชั่วพริบตาก่อนยังนั่งทอดหุ่ยดื่มชาอยู่ในเรือ ชั่วพริบตาถัดมากลับโผล่ไปอยู่ในป่าเขาลึกที่ซอกมุมใดก็ไม่รู้ ไม่เพียงตัวจะติดอยู่บนต้นไม้ ที่ล่างต้นไม้ก็ยังมีกวางภูเขาฝูงหนึ่งจ้องมองเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น ขบคิดว่าเขาโผล่ออกมาจากที่ใด

เฟิงเหยี่ยนหน้าดำทะมึน

ครั้นเขาตะเกียกตะกายออกมาจากฝูงกวางภูเขาได้ด้วยความยากลำบาก ก็มาถูกแพะภูเขาไล่ต้อน ทั้งยังหวิดจะไปแหย่ต่อหัวเสือเข้าอีก…ไม่ง่ายเลยกว่าจะลงจากเขาจนมาเจอนายพรานใจดีผู้หนึ่งได้ในที่สุด คราวนี้ถึงได้รู้ทิศทางแล้วรุดกลับมาถูก

บนแผ่นดินใหญ่นี้ยังมีราชาสัตว์วิเศษคนใดเคยประสบวิบากกรรมอย่างเขาบ้าง

เฟิงเหยี่ยนอยากจะตัดพ้อต่อว่าสักหน่อย ผลคือโม่อีเหรินเอ่ยข้อสงสัยออกมา

“ท่านตาเหยี่ยน ท่านไม่ได้เรียกให้เขียวครามแบกท่านวิ่งมาหรือเจ้าคะ”

“…” เขาลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท

มีฐานะเป็นผู้วิเศษ ขอเพียงมีการสื่อสนองจากพันธสัญญา เขาก็สามารถเรียกตัวเขียวครามได้ทุกเมื่อ ไม่จำเป็นต้องวิ่งเองให้น่าสงสารถึงเพียงนี้

มิหนำซ้ำมีเขียวครามอยู่ พลังกดดันตามฉบับสัตว์วิเศษของมันก็เพียงพอจะทำให้สัตว์ภูเขาเหล่านั้นไม่กล้าเข้าใกล้เขาแล้ว เขาไม่ต้องวิ่งเองให้หอบและสิ้นเปลืองพลังวิเศษใดๆ เลยด้วยซ้ำ

ข้ามันโง่…

เฟิงเหยี่ยนรู้สึกว่าตนเองอายุปูนนี้ไม่มีหน้าไปพบใครแล้ว โม่อีเหรินตบปลอบเขาอย่างเข้าใจยิ่ง

“ท่านตาเหยี่ยน ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ที่นี่มีแต่คนกันเอง ขายหน้าสักหน่อยก็ไม่เป็นไร”

“…” วาจานี้กำลังปลอบใจเขาอยู่แน่หรือ ขายหน้าสักหน่อยก็ไม่เป็นไร…นั่นก็ยังขายหน้าอยู่ดี!

“อาจารย์ ไม่เป็นไรหรอกขอรับ” ฉู่เซวียนฉีเองก็ร่วมขบวนปลอบด้วย

เฟิงเหยี่ยนหมดคำพูด “…”

“ท่านตาเหยี่ยน ของเหล่านี้มอบให้ท่านเจ้าค่ะ” โม่อีเหรินยัดยันต์ส่งตัวและม้วนไผ่หยกให้เขาทั้งหมด

“อาจารย์…” ฉู่เซวียนฉีอธิบายสิ่งของเหล่านี้ตามหลัง ซ้ำยังบรรยายจุดสำคัญในการทำยันต์ที่โม่อีเหรินบอกเมื่อครู่นี้ออกมาอย่างละเอียดรอบหนึ่ง

“อีเหรินน้อย เจ้า…เจ้า…” เฟิงเหยี่ยนโยนความคับข้องใจทิ้งไปในทันที มองโม่อีเหรินด้วยสีหน้าตกตะลึง

นางแค่กักตัวไม่กี่วันก็ทำของเช่นนี้ออกมาได้แล้ว?

ค่ายกล ของมหัศจรรย์ที่ไม่มีบนแผ่นดินใหญ่พรรค์นี้ ไฉนอยู่ในมือโม่อีเหรินกลับดูเหมือนเปลี่ยนเป็นอะไรที่ง่ายดายยิ่ง

เฟิงเหยี่ยนเลื่อนสายตาไปยังโม่ซั่งเฉิน จากนั้นก็เก็บความตกตะลึงลงอย่างเงียบๆ

มีท่านตาที่เป็นอัจฉริยะจอมพิลึกเหมือนปีศาจอยู่ การที่โม่อีเหรินกลายเป็นอัจฉริยะจอมพิลึกน้อยอีกคนก็ดูเหมือนจะมิใช่เรื่องที่น่าแปลกใจจนอยากด่าคนถึงเพียงนั้น

หากแต่เฟิงเหยี่ยนก็รู้สึกว่าตนเองคับอกคับใจยิ่ง…

“ท่านตาเหยี่ยน ดื่มชาเจ้าค่ะ” โม่อีเหรินยื่นชาถ้วยหนึ่งให้เขา

เฟิงเหยี่ยนรับไป

โม่อีเหรินคิดในใจว่าวิ่งมาร้อยลี้ ท่านตาเหยี่ยนลำบากแย่แล้ว

“ท่านตาเหยี่ยน กินขนมเจ้าค่ะ” ผลไม้แห้งจานหนึ่งบนโต๊ะถูกวางลงตรงหน้าเฟิงเหยี่ยน

เฟิงเหยี่ยนตระหนกตกใจอยู่เล็กน้อย จู่ๆ อีเหรินน้อย ‘กตัญญู’ ต่อเขาถึงเพียงนี้ ในใจเขาให้รู้สึกขนลุก

มิผิดจากที่คิด โม่อีเหรินยังพูดต่ออีกว่า “ท่านตาเหยี่ยนกินให้มากหน่อยนะเจ้าคะ ท่านวิ่งมาเป็นร้อยลี้ ของที่กินไปตอนเช้าจะต้องย่อยหมดแล้วเป็นแน่ ยามนี้กินเข้าไปเติม ท้องจะได้ไม่หิว”

“…” เขารู้อยู่แล้วว่าไม่อาจด่วนดีใจเร็วเกินไปได้ นี่อีเหรินน้อยกำลังกตัญญูต่อเขาหรือกำลังเหน็บแนมเขากันแน่

เนื่องจากกลัวเขาจะหิว จึงบอกให้เขากินเยอะๆ นี่ดูเหมือนไม่มีอะไรไม่ถูกต้อง แต่เหตุใดฟังแล้วกลับรู้สึกทะแม่งๆ เล่า

“ท่านตาเหยี่ยน ยังมีระยะหนึ่งพันลี้ด้วย อีกประเดี๋ยวท่านลองเล่นดูอีกรอบดีหรือไม่เจ้าคะ”

“…” เฟิงเหยี่ยนมั่นใจแล้วว่าอีเหรินน้อยกำลังเยาะเย้ยเขา

ขณะเฟิงเหยี่ยนตั้งใจจะฟ้องเฉินเพื่อขอคำปลอบใจอยู่นี้เอง บนแม่น้ำอิ้งชวนก็พลันมีกลิ่นอายเย็นยะเยือกลอยมาปะทะดาดฟ้าเรือ ก่อนพัดเข้ามาในประทุนเรือ

“หืม?” โม่ซั่งเฉินสัมผัสได้เป็นคนแรก

ไป่หลี่จิงหงผลุบกายมายืนอยู่เบื้องหน้าโม่อีเหรินในทันใด ปกป้องนางไว้ข้างหลังตนเอง

ฉู่เซวียนอั๋งกับฉู่เซวียนฉีต่างประกบโม่อีเหรินซ้ายขวา

ส่วนเฟิงเหยี่ยนก็ไปยืนอยู่ข้างโม่ซั่งเฉิน

เขี้ยวเงิน เซิ่น เปลวอัคคี และเขียวคราม สัตว์วิเศษทั้งสี่แยกไปอยู่ข้างกายเจ้านายของตนพร้อมกัน สีหน้าตื่นตัวระแวงระวัง ตั้งท่าเตรียมพร้อม

เงาร่างสายหนึ่งลอยพลิ้วมาหยุดบนดาดฟ้าเรือที่ว่างเปล่า ก่อนค้อมตัวคำนับมาทางประทุนเรือ

“บ่าวซย่าอวี่ขอพบคุณชายเจ้าค่ะ”

มาหาไป่หลี่จิงหงหรือ

แต่ละคนภายในประทุนเรือมีสีหน้าต่างกันไป

ไป่หลี่จิงหงก้าวเท้าทำท่าจะเดินออกไปข้างนอก แต่กลับถูกรั้งเอาไว้ เขาจึงหันหน้ากลับไปมอง

“ข้าจะไปกับท่านด้วย” โม่อีเหรินบอกกับเขา ก่อนจะหันไปหาท่านตา “ท่านตา ได้หรือไม่เจ้าคะ”

“อืม” โม่ซั่งเฉินพยักหน้าเบาๆ ยกชาขึ้นดื่มไปอึกหนึ่ง

เฟิงเหยี่ยนเองก็นั่งลงตาม เฉินไม่ขยับ เขาก็ไม่ขยับ

“พวกเจ้าสองคน นั่งลง” สองคนที่ว่าย่อมหมายถึงฉู่เซวียนอั๋งและฉู่เซวียนฉี

เดิมทีพวกเขาอยากจะตามออกไปด้วยกันกับน้องสาว แต่ท่านตามีคำสั่งมา…ก็ต้องเชื่อฟัง คนทั้งสองจึงได้แต่นั่งลง

หากแต่มีสัตว์อยู่สองตัวที่ไม่เจียมตัว

เขี้ยวเงินกระโดดขึ้นบ่าโม่อีเหริน ส่วนเซิ่นก็กระโดดขึ้นอีกด้าน…เนื่องจากขนาดตัวไม่ได้เล็กเหมือนเขี้ยวเงิน ตัวกลมเกินไปจึงหวิดจะลื่นไถลลงมา โม่อีเหรินเอื้อมแขนไปอุ้มมันไว้เสียเลย

“โฮก…” เซิ่นพอใจยิ่ง

สองคนสองสัตว์เดินออกมาจากประทุนเรือ มองเห็นซย่าอวี่ที่ไม่กี่วันก่อนเพิ่งมาปรากฏตัวแล้วถูกไป่หลี่จิงหงฟาดฝ่ามือใส่จนบาดเจ็บ บัดนี้นางยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือด้วยสภาพสมบูรณ์ดี ไม่มีท่าทางได้รับบาดเจ็บภายในแม้แต่น้อย

ซย่าอวี่สวมชุดกระโปรงรัดอกพื้นขาว ชั้นนอกคลุมด้วยเสื้อทำจากผ้าโปร่งสีแดงส้ม บั้นเอวรัดสายคาดเอวสีเดียวกัน แม้จะไม่ได้ดูหรูหราราคาแพง แต่โม่อีเหรินที่ชำนาญการหลอมประดิษฐ์เห็นแวบเดียวก็มองออกถึงความพิเศษ

เสื้อผ้าชุดนี้มิใช่เสื้อผ้าธรรมดา แต่เป็น…ชุดเวท แม้จะเทียบกับชุดปีกสวรรค์บนตัวนางไม่ได้ แต่ก็มีพลังป้องกันระดับหนึ่ง

หากนางประเมินไม่ผิด เสื้อผ้าที่ดูธรรมดาชุดนี้สามารถต้านทานการโจมตีจากยอดฝีมือขั้นฟ้าได้

พอซย่าอวี่เห็นไป่หลี่จิงหงก็ยอบตัวคารวะอย่างเคารพนบนอบ แตกต่างจากท่าทีแฝงการพินิจพิเคราะห์และประเมินค่าอย่างเมื่อคราวก่อนโดยสิ้นเชิง

“คุณชาย ฮูหยินอยู่บนเรือทางด้านหน้า เชิญคุณชายข้ามไปพบด้วยเจ้าค่ะ”

ไป่หลี่จิงหงมีเพียงคำพูดสองคำให้นาง “ไม่พบ”

“คุณชาย ฮูหยินดั้นด้นมาไกลเป็นพันลี้ คุณชายเป็นบุตรชาย กลับหลบลี้หนีหน้า…ฮูหยินเสียใจมากนะเจ้าคะ” ซย่าอวี่กล่าวเสียงอ่อน

“ไสหัวไป” ไป่หลี่จิงหงสีหน้าเรียบเฉย แววตากลับเยียบเย็น

พร้อมกับที่เสียงพูดจบลง ร่างไป่หลี่จิงหงมิได้ขยับ แต่พลังสายหนึ่งกลับปะทุออกมาจากทั่วร่าง ก่อนซัดไปทางซย่าอวี่

ซย่าอวี่หน้าเปลี่ยนสี แต่กลับไม่ลนลาน พลิกมือโคจรพลังปะทะกับพลังสายนั้นซึ่งหน้า

ในเวลาเดียวกันนี้ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าเขี้ยวเงินที่อยู่บนบ่าโม่อีเหรินได้เป่าลมออกมาอย่างเงียบเชียบ โจมตีไปที่ซย่าอวี่พร้อมกับพลังที่ไป่หลี่จิงหงส่งออกไป

โครม!

ซย่าอวี่ถอยกรูดไปหลายก้าวถึงสามารถทรงตัวยืนได้มั่นคง หากแต่ยังนับว่าไม่ได้รับบาดเจ็บซ้ำและก็ไม่ได้ถูกซัดกระเด็น

“คุณชาย…บ่าวรับคำสั่งมาจากฮูหยิน เชิญคุณชาย…ข้ามไปพบเจ้าค่ะ” ซย่าอวี่ก้มหน้าน้อยๆ เอ่ยปากอ้ำอึ้ง

พลังแก่นแท้ของคุณชายแข็งแกร่งอย่างที่คิดจริงๆ ฮูหยิน…พอใจหรือไม่

โม่อีเหรินอาศัยจังหวะนี้มองไปยังเรือลำที่อยู่ทางด้านหน้าปราดหนึ่ง

ตัวเรือทำจากไม้มีลายสีเข้ม ประดับด้วยม่านมุ้งสีอ่อน หัวเรือและหางเรือล้วนแขวนด้วยโคมแก้วสี ดูหรูหรางดงามไร้ใดเทียมอย่างแท้จริง

ไป่หลี่จิงหงสีหน้าไม่หวั่นไหว กลิ่นอายทั่วร่างเยียบเย็นลงอีกครั้ง พลังสายที่สองกำลังจะส่งออกไป…แขนเสื้อกลับถูกดึงไว้

ไป่หลี่จิงหงก้มหน้ามองมือของโม่อีเหริน พลังปราณสลายไปอย่างไร้ร่องรอยทันที

เกิดเสียงดังตึงขึ้น

ไป่หลี่จิงหงมองไป สตรีบางคนที่เอาแต่อ้างถึงฮูหยินหมอบอยู่กับพื้นลุกไม่ขึ้นแล้ว

“อืม ดูเหมือนยาจะออกฤทธิ์ช้าไปหน่อย” โม่อีเหรินรำพึงกับตนเอง

เมื่อก่อนเวลาใช้ก็ออกฤทธิ์เร็วดี บัดนี้ออกฤทธิ์ช้ากว่าเพราะคนผู้นี้มีพลังวัตรค่อนข้างสูงกระนั้นหรือ

อืม ว่างๆ จะต้องหลอมที่มีฤทธิ์แรงกว่านี้ออกมาอีก

“ยาสลบ?”

“ไม่ใช่ เป็นผงแข็งทื่อน่ะ”

“ผง…แข็งทื่อ?” ฟังดู…เหมือนไม่ใช่ของดีอะไร

“ท่านดูสิ ดวงตานางยังขยับอยู่ ไม่ได้สลบไป เพียงแต่ร่างกายแข็งทื่อ ไม่มีแรงจะขยับส่งเดชเท่านั้นเอง” โม่อีเหรินชี้แจง

“…”

“จิงหง ท่านอยากเอาไว้ใช้สักหน่อยหรือไม่” โม่อีเหรินล้วงขวดยาขวดหนึ่งออกมา ก่อนพูดอย่างลื่นไหลยิ่ง “นี่มีประสิทธิภาพมากกว่ารุ่นก่อน ไม่เพียงทำให้ร่างกายแข็งทื่อ ยังจะทำให้ทั้งตัวไร้เรี่ยวแรง ไม่อาจขยับเขยื้อนได้ด้วย ยาเป็นรูปแบบผง ใช้ร่วมกับลมสามารถกลายเป็นเครื่องสังหารขนาดใหญ่ได้ ดังนั้นเวลาใช้จะต้องระวังเป็นพิเศษไม่ให้พลอยทำอันตรายต่อคนไม่รู้อีโหน่อีเหน่ไปด้วย”

โม่อีเหรินพูดจบก็รู้สึกเก้อเอง ไฉนจึงฟังเหมือนเป็น ‘คำโฆษณาชวนเชื่อ’ ถึงเพียงนี้นะ

“…” ไป่หลี่จิงหงเหลือบมองซย่าอวี่ปราดหนึ่งเพื่อดูสภาพของผู้ที่ถูกวางยา จากนั้นก็รับไว้อย่างเงียบๆ

“จะไปที่เรือลำข้างหน้าหรือไม่” จัดการคนที่มาเรียบร้อยแล้ว โม่อีเหรินถึงค่อยหันมาถาม

“ไม่จำเป็น” ไป่หลี่จิงหงจูงมือนาง หมุนตัวทำท่าจะกลับเข้าประทุนเรือ ทันใดนั้นเรือลำข้างหน้ากลับแผ่พลังสายหนึ่งออกมา กระทบผิวแม่น้ำอิ้งชวนจนเกิดคลื่นลูกใหญ่ซัดออกไปรอบทั้งสี่ด้าน

“บังคับหางเสือให้มั่น!”

“เกิดอะไรขึ้น”

“นี่มันเรื่องอะไร!”

รอบลำเรือทั้งซ้ายขวาหน้าหลังล้วนเกิดอาการโคลงเคลง เสียงแตกตื่นตกใจดังขึ้นเป็นระลอก คนบนเรือต่างวิ่งตึงตังออกจากประทุนเรือมายังดาดฟ้าเรือ ชะเง้อชะแง้มองด้วยความตื่นตระหนก

ไป่หลี่จิงหงรวบรวมปราณ ส่งพลังปราณออกไปทำให้คลื่นลูกใหญ่บนแม่น้ำอิ้งชวนสลายกำลัง รักษาความนิ่งของตัวเรือเอาไว้

เสียงตวาดแฝงความเยียบเย็นเสียงหนึ่งเอ่ยถามมายังไป่หลี่จิงหงพร้อมกัน…

“การหลบลี้หนีหน้าก็คือท่าทีที่เจ้าปฏิบัติต่อมารดาของตนเองอย่างนั้นหรือ”

คำถามแฝงโทสะดังก้องไปทั่วทุกด้าน ทำให้คนบนเรือโดยรอบต่างฉงนสนเท่ห์ มีเพียงไป่หลี่จิงหงกับโม่อีเหรินที่คนหนึ่งยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย อีกคนเลิกคิ้วยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ

คนอื่นๆ บนเรือมองดูบุรุษและสตรีที่ยืนเคียงกันคู่นี้

บุรุษดูหนุ่มแน่นยิ่ง เหมือนว่าเพิ่งเป็นผู้ใหญ่ หากแต่บุคลิกเย็นยะเยือกนั้นชัดเจนเกินไป ข่มขวัญให้คนไม่กล้ามองนาน

ส่วนสตรี…สมควรเรียกว่าสาวน้อย บนดวงหน้าที่งดงามไม่ว่ายามยิ้มแย้มหรือโกรธขึ้งไม่มีแววหวาดหวั่นลนลานแม้แต่กระผีกเดียว แววตาที่ทั้งดำทั้งเจิดจ้าดูมีชีวิตชีวาไร้ใดเทียม มองดูรอบด้านอย่างคล้ายว่าสงสัยใคร่รู้ อีกทั้งคล้ายว่าไม่พอใจ นางเผลอหลุดรอยยิ้มที่ริมฝีปากออกมา ก่อนจะรีบกลั้นไว้

แม่น้ำอิ้งชวนที่ได้รับผลกระทบจากพลังเวลานี้ค่อยๆ สงบลงแล้ว…รอบด้านเงียบกริบ ประหนึ่งกำลังรอว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

ทว่าสิ่งที่ปรากฏขึ้นมาก่อนกลับเป็นคำถามเสียงเบา

“จิงหง ท่านรู้หรือไม่ว่าคนเช่นไรที่กล้าเพียงแอบส่งเสียงอยู่ลับหลัง แต่มีอะไรกลับไม่กล้าปรากฏตัวออกมาพูดตรงๆ ชอบวางมาด ทั้งยังชอบยกฐานะมาข่มผู้อื่น”

เสียงของโม่อีเหรินไม่ดัง แต่ทุกคนได้ยินกันทั่ว

เสียงนางใสแจ๋ว น้ำเสียงใสซื่อ เมื่อประกบคู่กับสีหน้าข้องใจที่ดูไร้เดียงสาปานเด็กน้อยน่ารักก็ทำให้คนเห็นแล้วอยากจะทำตัวเป็นอาจารย์ตอบคำถามศิษย์ เอ่ยตอบคำถามนี้เสียเองยิ่งนัก

“คนเช่นไรหรือ” เสียงพูดเยียบเย็นย้อนถาม

“คนที่ไม่มีความสามารถอย่างไรเล่า” นางพ่นคำตอบออกมาด้วยท่าทางจริงจังเคร่งขรึม

“…” คนทั้งหลายได้ยินก็ปากอ้าตาค้างไป

นี่…นี่จะตรงเกินไปแล้วหรือไม่

นี่…นี่จะท้าทายกันเกินไปแล้วหรือไม่!

ไป่หลี่จิงหงใช้สายตาแสดงความสงสัยว่าเหตุใดถึงเป็นคนที่ไม่มีความสามารถ

“เพราะว่าคนพรรค์นี้มีจุดเด่นอยู่ข้อหนึ่ง ก็คือชอบพูดจิกกัด” โม่อีเหรินถอนหายใจ ประหนึ่งว่านางรู้สึกเสียดายเหลือเกิน

คนทั้งหลายหมดคำพูด

เสียดายอะไรกัน! เห็นชัดว่าเจ้าทั้งวิจารณ์ผู้อื่นอย่างโจ่งแจ้ง เหน็บแนมผู้อื่นอย่างลับๆ แล้วจะมาทำท่าทางว่าข้าจิตใจดี ข้าเศร้าใจ ข้าเสียดาย ข้าจนใจได้อย่างไร

นี่ต้องการเล่นละครฉากใดกันแน่!

“ระวังคำพูดของเจ้าหน่อย” เสียงที่กล่าววาจาเมื่อครู่นี้ดังมาอีกครั้ง เมื่อครู่เป็นการถาม ยามนี้เป็นการเตือน

โม่อีเหรินได้ยินแล้วกลับเบิกตาโต แววตาสว่างวาบ “จิงหง นางกำลังขู่ข้ากระมัง”

“ใช่”

“เช่นนั้นข้าขู่กลับไปได้หรือไม่” แววตาโม่อีเหรินเบิกกว้างยิ่งกว่าเดิม

“ได้” ไป่หลี่จิงหงพยักหน้า

เขาตรงไปตรงมาถึงเพียงนี้ นางกลับยุ่งยากใจ

“แต่ว่า…จะพูดเหน็บแนมอะไรก็เป็นการหยาบคาย จะขู่อะไรก็เป็นการวู่วาม ข้าไม่อาจทำตัวหยาบคายและวู่วามเพราะว่าผู้อื่นทำตัวเช่นนั้นมาก่อนได้ เช่นนี้ไม่สมควรให้ค่าอย่างยิ่ง” นั่นเป็นการทำให้ความเหนื่อยยากลำบากใจของท่านตาที่อบรมสั่งสอนนางมาตั้งแต่เล็กต้องสิ้นเปลืองไปโดยเปล่าประโยชน์

คนทั้งหลายในที่นั้นต่างหมดสิ้นคำพูดใด “…”

นี่คือการลดคุณค่าอีกฝ่ายตรงๆ กระมัง! โหดเหี้ยมยิ่งกว่าการพูดพล่ามและข่มขู่เสียอีก

การตอบสนองเยี่ยงนี้ของสาวน้อยผู้นี้มิใช่เรื่องปกติโดยสิ้นเชิงกระมัง

หรือว่านางจะจงใจ

หากใช่…

คนทั้งหลายรู้ในทันทีว่าสาวน้อยที่ดูน่ารักและงดงามมากผู้นี้ไม่ควรมีเรื่องด้วย ต้องระวังเอาไว้

ทุกคนอดร่ำร้องอยู่ในใจไม่ได้ว่าออกเรือไปอยู่ให้ห่างจากพวกเขา มีเรื่องครึกครื้นให้ดูนั้นดียิ่ง แต่ก็ต้องระวังความปลอดภัยเช่นกัน พวกเขาไม่อยากโดนหางเลขไปด้วย

“เช่นนั้นก็ไม่ต้องสนใจนาง” ไป่หลี่จิงหงบอกกับโม่อีเหรินอย่างสุขุมเยือกเย็นยิ่ง

“ดีเหมือนกัน ถึงอย่างไรข้าก็ไม่มีความสนใจต่อคนที่เอาแต่ซ่อนหัวซ่อนหาง” โม่อีเหรินหันไปทางเรือที่อยู่ทางด้านหน้า “ท่าน…ป้าท่านนี้ เชิญท่านพาตัวสาวใช้ของท่านกลับไปด้วย”

ขณะจะเรียกขาน โม่อีเหรินยังตั้งใจคิดเป็นพิเศษ สุดท้ายก็ตัดสินใจได้ว่าคำว่า ‘ท่านป้า’ นี้เหมาะสมยิ่ง จึงเรียกออกไปเช่นนี้

เรือลำที่อยู่ทางด้านหน้านั้นยังไม่มีการตอบสนอง แต่ดูคล้ายจะเริ่มแผ่ไอเย็นออกมารำไร

“นี่ ท่านป้า ท่านหลับไปแล้วหรือ”

“พรืด…” มีคนหัวเราะออกมา

เฟิงเหยี่ยนที่อยู่ในประทุนเรือยิ่งหัวเราะออกมาดังลั่น บนใบหน้าฉู่เซวียนอั๋งกับฉู่เซวียนฉีสองพี่น้องก็มีแววขบขันเช่นกัน

มีเพียงโม่ซั่งเฉินที่ยังคงนั่งดื่มชาอยู่กับที่อย่างสุขุมเยือกเย็น

ในขณะที่เรือหรูหรางดงามที่อยู่ทางด้านหน้านั้นกลับพลันสั่นสะเทือน ก่อกวนให้แม่น้ำอิ้งชวนค่อยๆ โหมซัดสาดจนเกิดคลื่นกระเพื่อมขึ้นลง เรือที่เดิมทีแล่นอยู่บนแม่น้ำจึงโคลงเคลงตามคลื่นไม่หยุดในทันที

“เกิดเรื่องอะไร!”

“ไม่ต้องถามแล้ว รีบเทียบฝั่งเร็วเข้า!”

คนตะโกนข้ามเรือกัน ผู้ที่ค่อนข้างมีประสบการณ์บังคับหางเสือเอาเรือเทียบฝั่งท่ามกลางการซัดกระเพื่อมของน้ำในแม่น้ำทันที หลังจากนั้นคนก็รีบขึ้นฝั่ง หาสถานที่ที่มีทัศนวิสัยดี เตรียมตัวชมความครึกครื้นต่อ

สามารถทำให้แม่น้ำอิ้งชวนที่สงบนิ่งเกิดคลื่นลูกใหญ่ได้ พลังยุทธ์อย่างน้อยๆ ก็ต้องอยู่ขั้นฟ้าระดับห้าขึ้นไป ทั้งยังต้องเป็นทั้งสองฝ่ายด้วย การต่อสู้กันของยอดฝีมือเช่นนี้มิใช่เรื่องที่จะเห็นได้บ่อยๆ ในเมื่อได้เห็นแล้ว ก็ย่อมไม่อาจปล่อยให้คลาดสายตาได้

แน่นอนว่าสำหรับคนส่วนใหญ่ที่ชั่วชีวิตวนเวียนอยู่ที่ขั้นดิน สถานการณ์ทำนองนี้นับว่าอันตรายมากเช่นกัน เพราะสามารถถูกหางเลขกันได้ง่ายๆ ดังนั้นการเอาตัวออกมาอยู่ไกลขึ้นอีกหน่อยเป็นเรื่องที่จำเป็น

เพียงไม่นานใจกลางแม่น้ำอิ้งชวนก็เหลือเรือเพียงสองลำ ลำหนึ่งหรูหรางดงาม อีกลำเรียบง่าย

ขณะเรือลำที่หรูหรางดงามก่อให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ในแม่น้ำ มีเพียงเรือลำเรียบง่ายนี้ที่เหมือนว่าถูกศิลาก้อนยักษ์ทับเอาไว้ แน่วนิ่งมั่นคงดุจขุนเขา

จวบจนยามนี้ คลื่นลูกใหญ่บนแม่น้ำอิ้งชวนถึงค่อยๆ สงบลง

“ฮึ!” เสียงแค่นเสียงอย่างเยียบเย็นดังมาจากบนเรือลำหรูหรา “เป็นแค่เด็กต่ำต้อยถึงกับกล้าพูดจาสามหาว กบก้นบ่อ* ไม่รู้จักโลกกว้าง ลำพังด้วยวาจาเมื่อครู่นี้ของเจ้า ข้าฆ่าเจ้าก็นับว่าปรานีเจ้าแล้ว”

เสียงพูดเพิ่งขาดคำ รัศมีดาบคมกริบสายหนึ่งก็พุ่งฟันมายังโม่อีเหรินในทันใด

โม่อีเหรินยังไม่ทันได้เคลื่อนไหว แขนเสื้อของไป่หลี่จิงหงก็ขยับแล้ว

ดาบหุนสีม่วงโผล่ออกมา รัศมีดาบถูกทำลายลงทันที ขณะเดียวกันไป่หลี่จิงหงก็เอาตัวบังปกป้องโม่อีเหรินไว้ด้านหลัง

เขี้ยวเงินและเซิ่นที่เดิมทีเกาะอยู่บนตัวโม่อีเหรินอย่างเกียจคร้านต่างตื่นตัวขึ้นมาเนื่องจากรัศมีดาบนี้

นัยน์ตาสัตว์อันแหลมคมจ้องมองเรือลำนั้น ทั้งดาบวายุของเขี้ยวเงิน เปลวเพลิงของเซิ่นพร้อมฟาดฟันทุกเมื่อ

ถึงกับกล้าลงมือกับโม่อีเหริน ข้าจะจัดการเจ้าให้ตาย!

ครั้นรัศมีดาบถูกทำลายได้อย่างง่ายดาย เพลิงโทสะของทางฝั่งเรือลำหรูก็ดูคล้ายจะเบาลงเล็กน้อย

“ราชันยุทธ์อายุยี่สิบ สมกับที่มีพรสวรรค์ระดับเหนือชั้นจริงๆ!” ความเกรี้ยวกราดในน้ำเสียงไม่เพียงเบาบางลง แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความยิ้มแย้มยินดีเลยทีเดียว

ทางด้านคนที่แอบชมละครอยู่รอบๆ ได้ยินวาจานี้แล้วก็ล้วนสูดหายใจเฮือก

ราชันยุทธ์! ราชันยุทธ์อายุยี่สิบ!

คนชุดม่วงผู้นี้คืออัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ!

ต่างจากทุกคน จุดสำคัญที่โม่อีเหรินให้ความสนใจคือ ‘ระดับเหนือชั้น’

“ระดับเหนือชั้นหรือ”

“เป็นระดับของการทดสอบพรสวรรค์ แบ่งเป็นระดับเหนือชั้น ระดับสูง ระดับกลาง ระดับต่ำ” ไป่หลี่จิงหงตอบสั้นๆ

บนดินแดนเทพยุทธ์ หากต้องการตัดสินว่าพรสวรรค์ของใครสักคนนั้นดีหรือเลว ส่วนมากจะดูกันที่ความเร็วในการฝึกบำเพ็ญเลื่อนขั้นหลังได้เริ่มเรียนรู้

หากแต่เกาะหุน หอซือมิ่ง รวมถึงในตระกูลเฟิ่งกลับมีศิลาวัดระดับอยู่ชนิดหนึ่ง ดูจากลายสลักบนศิลาก็สามารถวินิจฉัยพรสวรรค์ในการฝึกบำเพ็ญของคนผู้นั้นออกมาได้

ตอนที่ไป่หลี่จิงหงทำการทดสอบ สามารถกล่าวได้ว่าเป็นที่ครึกโครมไปทั้งเกาะหุน การฝึกบำเพ็ญเลื่อนขั้นหลังจากนั้นก็สร้างสถิติใหม่อยู่บ่อยครั้งเช่นกัน

และก็โชคดีที่ไป่หลี่จิงหงมีพลังแก่นแท้เป็นที่น่าตกใจ ตอนที่ไป่หลี่จิ้งหย่วนต้องพิษประหลาด เขาถึงสามารถควบคุมเกาะหุนให้อยู่ในความสงบ ทั้งยังสามารถออกจากเกาะไปเสาะหายาถอนพิษได้พร้อมกัน

“หงเอ๋อร์ ตามข้ากลับไป แล้วข้าจะละเว้นนางหนูข้างกายเจ้า”

“พาคนของท่านไปเสีย” ไป่หลี่จิงหงเพียงตอบประโยคนี้ด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น

“นี่เจ้าไม่เชื่อฟังคำข้า ไม่เห็นมารดาอย่างข้าอยู่ในสายตาแล้ว?” เสียงของนางเข้มขึ้น

ไป่หลี่จิงหงไม่พูดอะไร เขาบอกเจตนาของตนออกไปชัดพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดซ้ำอีก

“ดี ดียิ่งนัก” นางเดือดดาลสุดขีดจนกลับกลายเป็นหัวเราะออกมาเบาๆ “เจ้าอย่านึกนะว่าตนเองเป็นราชันยุทธ์แล้ว พลังแก่นแท้ก็จะไร้เทียมทาน เหนือคนยังมีคน เหนือฟ้ายังมีฟ้า เจ้าไม่เชื่อฟังคำพูดแม่ ก็อย่าหาว่าแม่ไม่ให้โอกาสเจ้า เจ้าพ่ายแพ้ขายหน้าสิ้นเมื่อใด อย่ามานึกเสียใจแล้วกัน!”

ไป่หลี่จิงหงไม่มีท่าทีใดๆ ต่อวาจาของนาง สีหน้าเยียบเย็นและเฉยชาโดยตลอด อารมณ์ไม่กระเพื่อมไหวแม้แต่น้อยนิด

“ท่านป้า นี่ท่านจะใช้พลังยุทธ์มาบังคับจับตัวคนแล้วหรือ” ใบหน้าเล็กของโม่อีเหรินโผล่ออกมาจากด้านหลังไป่หลี่จิงหง ก่อนกล่าวไปยังเรือที่อยู่ทางด้านหน้า

“นางเด็กไร้มารยาท! เจ้ายังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอจะมาพูดกับข้า!”

“ข้าก็ไม่อยากพูดกับท่านเหมือนกัน แต่ปัญหาคือบ่าวหญิงของท่านมาโดยไม่ได้รับเชิญ บัดนี้ก็ยังดื้อด้านไม่ยอมจากไป ยึดครองพื้นที่บนเรือของข้า ทำลายทัศนียภาพงดงามที่ข้าชื่นชม ขวางหูขวางตาเหลือเกิน” โม่อีเหรินโคลงศีรษะเอ่ย น้ำเสียงทอดถอนใจยิ่ง “อันที่จริงข้าก็อยากจะมีมารยาทมากเช่นกัน หากแต่ท่านป้าเองก็พึงต้องทราบว่ามารยาทเป็นสิ่งที่มีไว้ใช้กับผู้ที่รู้มารยาท สำหรับผู้ที่ไม่รู้มารยาท ข้าเกรงว่าหากข้ามีมารยาทเกินไป ท่านป้าจะรู้สึกอับอายและน้อยเนื้อต่ำใจ!”

“ไร้มารยาท!”

ไอดาบสายหนึ่งฟันตรงมาอีกครั้ง และก็ถูกไป่หลี่จิงหงขวางไว้ตามเดิม

โม่อีเหรินพูดต่อด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร

“ท่านป้า บุรุษไม่ใช้ความรุนแรง เอ่อ…ก็ได้ ท่านป้าเป็นสตรี ไม่อาจเรียกร้องเช่นนี้ได้ หากแต่ท่านป้า ท่านพึงต้องทราบว่ากาลเวลาเป็นดาบฆ่าคน คนที่โมโหบ่อยจะแก่ชราได้ง่าย ท่านป้าอายุมากแล้ว ก็ต้องบ่มเพาะร่างกายและจิตใจให้ดี มิเช่นนั้นจะทำร้าย ‘ใบหน้า’ ท่านอย่างมาก”

นี่คือโหมโรงการเอาคืนตามฉบับของโม่อีเหรินอย่างแท้จริง

นางพูดออกมาชัดๆ ว่า ‘ท่านป้าไม่ได้รับการบ่มเพาะ ท่านป้าไม่มีคุณลักษณะอันดี’

เป็นอย่างไรเล่า!

ท่านป้าอยากทำให้จิงหงพ่ายแพ้ ขายหน้าต่อหน้าผู้อื่น เช่นนั้นข้าก็จะใช้นิสัยเสียๆ ของท่านป้ามาเสียดสีท่านป้าว่าความแก่ชิงนำหน้าอายุ!

นางให้ความเคารพผู้อาวุโส แต่หากคนผู้หนึ่งจิตใจไม่ดี ไม่ว่าจะงดงามหรืออัปลักษณ์ ไม่ว่านางจะเป็นผู้ใด ก็ล้วนน่ารังเกียจไม่ต่างกัน

“อีเหริน…” ไป่หลี่จิงหงไม่ได้หันหน้ากลับมา แต่ก็ยังรู้สึกได้ว่าโม่อีเหรินชักโมโหแล้ว

“ไม่ว่านางเป็นใคร หากนางอยากทำร้ายท่าน ข้าก็ไม่มีทางเกรงใจต่อนาง” โม่อีเหรินแค่นเสียง

ไป่หลี่จิงหงยิ้ม สีหน้าที่ถูกความเย็นชาปกคลุมดูอ่อนลงเล็กน้อยในพริบตา เปล่งเสียงตอบรับเบาๆ “อืม”

“ไป่หลี่จิงหง เจ้าจะมองดูนางเด็กคนนี้พูดจากับข้าเยี่ยงนี้โดยไม่ทำอะไรเลย?!” เสียงของ ‘ท่านป้า’ แหลมยิ่งนัก

“จากไปเสีย ย่อมจะไม่ได้ยินเอง” นี่เป็นนางมาหาถึงที่เอง ถ้านางไม่มาก็จะไม่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ของโม่อีเหริน โม่อีเหรินเองก็จะไม่สนใจนางโดยสิ้นเชิงเช่นกัน

“ไป่หลี่จิงหง ข้าเป็นแม่ของเจ้านะ!” น้ำเสียงของท่านป้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

บุตรชายของนางถึงกับอนุญาตให้นางเด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้าผู้นี้กล่าววาจาส่อเสียดนางถึงเพียงนี้ ซ้ำยังทำท่าเหมือนว่านางรนหาที่เองอีกด้วย

นี่ก็คือบุตรชายของนางหรือ

ไป่หลี่จิ้งหย่วน เขาอบรมสั่งสอนบุตรชายอย่างไรกันแน่ ถึงได้ทำให้บุตรชายไม่ยอมรับมารดาแล้ว

“ดังนั้นยามนี้นางถึงยังมีชีวิตอยู่” เขาชี้ซย่าอวี่ที่ยังนอนอยู่บนดาดฟ้าเรือ “ดังนั้นข้าจึงยังไม่ได้ลงมือกับท่าน”

หากไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดนี้ นางคิดหรือว่านางจะมีโอกาสได้ร้องแรกแหกกระเชอด่าคนอยู่ตรงนั้น

ไป่หลี่จิงหงพูดจากระชับยิ่งเสมอมา แต่หลังจากเข้าใจความหมายแล้ว ท่านป้าก็หวิดจะกระอักเลือดด้วยความโมโห

เจ้า…เจ้าลูกอกตัญญู!

“เจ้า…จะลงมือกับข้า?” ท่านป้ากัดฟันเอ่ย

ไป่หลี่จิงหงเงียบไม่ตอบคำ แต่แววตาเด็ดเดี่ยวแน่วแน่

เขาไม่มีทางเชื่อฟังคำมารดา สตรีตัวน้อยที่ด้านหลังเขา เขาไม่อนุญาตให้ใครหน้าไหนทำร้ายนาง

“ดี! ดีมาก” ท่านป้าหัวเราะด้วยอารามเดือดดาลสุดขีด “ข้าจะดูซิว่าเจ้าจะมีความสามารถปกป้องนางเด็กผู้นี้สักเท่าไร หากไม่มีความสามารถ ข้าก็จะเอาชีวิตของนาง!”

ไป่หลี่จิงหงแผ่กลิ่นอายน่าครั่นคร้าม กล่าวเพียงประโยคเดียวไปทางเรือที่อีกฝ่ายอยู่

“ใครหน้าไหนก็ห้ามทำร้ายนาง!”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 4 .. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 22

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: