“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” โม่อีเหรินเหงื่อตก พอท่านตาคิดบัญชีขึ้นมาก็เก็บเรียบทุกเม็ดจริงๆ นางมีฝีมือไม่พออย่างที่คิดไว้ ยังจำต้องเรียนรู้ให้ดีอีกมาก
“ฝีมือใคร?!” ชายฉกรรจ์ถามเสียงพิโรธ
คนในประทุนเรือกลับไม่สนใจเขา มีเพียงพลังปราณขนาดมหึมายิ่งกว่าลอดออกมาจากในประทุนเรือ
ชายฉกรรจ์หน้าเปลี่ยนสี แบกไป่หลี่เยียนและซย่าอวี่ขึ้นแล้วกระโดดออกจากดาดฟ้าเรือก่อนพลังปราณจะมาถึง ล่าถอยไปอยู่บนเรือที่หรูหรางดงามลำนั้น
โม่อีเหรินจับไป่หลี่จิงหงไว้ ก่อนใช้บาทาเงามายาเคลื่อนที่หลบในพริบตา ขณะกลับมาอีกครั้งพลังปราณก็ผ่านไปแล้ว หากแต่พลังปราณสายนี้กลับซัดออกนอกดาดฟ้าเรือไปปะทะกับแม่น้ำอิ้งชวน
เรือหรูลำนั้นลอยถอยหลังไปหนึ่งจั้ง* อย่างหลุดการควบคุมในทันทีเนื่องจากได้รับแรงสะเทือน ส่วนชายฉกรรจ์ที่แบกคนไว้สองคนและคำนวณระยะห่างที่จะตกลงบนเรือไว้เรียบร้อยแล้วกลับหน้าเปลี่ยนสี
ระยะห่างหนึ่งจั้ง แม้จะใกล้มากสำหรับเขา หากแต่ภายใต้สภาพการณ์เยี่ยงนี้กลับไกลยิ่งนัก!
เพื่อที่จะไม่ตกลงน้ำ ชายฉกรรจ์จึงฝืนฮึดรวบรวมแรงกลางอากาศแล้วทะยานตัวขึ้นอีก จนนับว่าตะกายขึ้นเรือมาได้ในที่สุด เขาวางคนทั้งสองลง แต่เนื่องจากเมื่อครู่สูดหายใจรุนแรง ลมปราณในกายชายฉกรรจ์จึงเดือดพล่าน หวิดจะทำให้ตนเองบาดเจ็บภายใน ต้องฝืนกำลังปรับลมหายใจให้ราบรื่น ถึงนับว่าไม่ได้กระอักเลือดออกมา
ผลคือมีคำพูดอีกประโยคดังออกมาจากในประทุนเรือ…
“แค่กระบวนท่าเดียวยังต้านไม่อยู่ เจ้ามีสิทธิ์ถามว่าข้าเป็นใครด้วยหรือ”
“พรูด…” ชายฉกรรจ์กระอักเลือดออกมาในที่สุด
“ท่านอาจ้ง…” ไป่หลี่เยียนตกใจจนสะดุ้ง แม้นางจะยังขยับร่างกายไม่ได้ แต่กลับพูดได้แล้ว สติก็แจ่มชัดแล้วเช่นกัน
พลังวัตรของท่านอาจ้งอีกก้าวเดียวก็จะบรรลุขั้นสูงสุดแล้ว ถึงกับมาเจออุปสรรคขัดขวางในดินแดนเทพยุทธ์ที่มีไอวิเศษน้อยนิดนี้ ซ้ำยังกระอักเลือดด้วย…
หรือว่าที่นี่มีคนที่ร้ายกาจยิ่งกว่าท่านอาจ้ง
ไม่…นางเบิกตาโพลง นี่เป็นไปไม่ได้
ชายฉกรรจ์ยกมือเช็ดเลือดตรงมุมปากก่อนลุกขึ้นยืน สายตาวาววับเพ่งมองประทุนเรือประหนึ่งว่าต้องการมองให้ทะลุ
“คิดไม่ถึงว่าในดินแดนเทพยุทธ์จะยังสามารถมีคนที่ฝึกบำเพ็ญได้ถึงระดับนี้ด้วย ข้ายอมรับว่าท่านมีพลังแก่นแท้ หากแต่ท่านก็ควรจะดีใจที่บัดนี้ท่านอยู่ในดินแดนเทพยุทธ์” หากมิใช่พอมาถึงที่นี่ พลังยุทธ์ถูกกดเอาไว้ ชายฉกรรจ์คิดว่าตนเองไม่มีทางพ่ายแพ้แน่นอน
“ผู้แพ้คนหนึ่ง ให้การยอมรับโดยไม่เต็มใจ มีค่าด้วยหรือไร” เสียงนี้เยียบเย็นโดยตลอด แม้แต่ตอนที่ลงมือ กลิ่นอายก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสักกระผีก
มีเพียงโม่อีเหรินที่เข้าใจท่านตาดีถึงรู้ว่าท่านตาไม่เห็นท่านอาของท่านป้าผู้นี้อยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง
หรือพูดอีกอย่างคือถึงจะสำแดงฝีมือ ในสายตาของท่านตาก็มีเพียงคำว่า ‘ยุทธ์’ คำเดียว คู่ต่อสู้ไม่ได้อยู่ในสายตาเขาแม้แต่น้อย
“ท่าน!” ชายฉกรรจ์ถูกตอกกลับจนพูดไม่ออก “ท่านเป็นใครกันแน่ ต้องการสอดมือยุ่งเรื่องของสกุลไป่หลี่ของพวกข้าหรือ”
ทว่าท่านตาไม่คิดจะเสวนาเรื่องเหลวไหลพรรค์นี้