ไป๋เหยารับหน้าที่บอกทางโดยให้พี่น้องสกุลฉู่ผลัดกันนำทาง รวมกับพวกโม่อีเหรินทั้งสี่ หลังจากดำลงใต้ทะเลนอกเกาะหุนก็ต้องผ่านถ้ำที่วกไปวนมาแล้วว่ายขึ้นด้านบน สุดท้ายก็มาโผล่ในทะเลสาบเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตาแห่งหนึ่งบริเวณชายฝั่งทิศใต้ของเกาะ
ไป๋เหยาได้เข้าใจเป็นครั้งแรกว่าน้ำวิเศษที่หลอมกลั่นจากไข่มุกมีประโยชน์มากเพียงไร นี่เป็นยาดีที่ต้องมีเวลาดำน้ำนานๆ
โม่อีเหรินเห็นไป๋เหยาดวงตาแวววาว จึงให้เขาไปขวดหนึ่ง “ให้เจ้า ทว่านี่เป็นส่วนของจิงหง”
ไป๋เหยาเดิมทีดีใจยิ่ง แต่ครั้นได้ยินวาจานี้ มือที่จับขวดหยกก็แข็งค้างทันควัน นึกถึงใบหน้าภูเขาน้ำแข็งของประมุขน้อย…
ฮูหยินน้อย ท่านประทุษร้ายต่อข้ากระมัง ท่านประทุษร้ายต่อข้าแล้ว ฮือ…
“เอาล่ะ เก็บเอาไว้ พวกเราไปกันเถอะ ไป๋เหยา นำทางต่อ”
“ขอรับฮูหยินน้อย” ไป๋เหยาเดินนำหน้าสุด
ทะเลสาบเล็กอยู่ในป่าทึบแห่งหนึ่งทางทิศใต้สุด ปกติแทบไม่มีร่องรอยผู้คน ขณะเดินออกจากป่ามาถึงบ้านเรือนของคนบนเกาะ คนทั้งสี่ก็ล้วนหยุดฝีเท้า
บนเกาะหุนมีสภาพราวกับสนามรบหลังสงคราม เงียบสงบ วังเวง และมีกลิ่นคาวเลือดลอยมาตามลม
ถึงจะอยู่ห่างจากใจกลางเกาะมากถึงเพียงนี้ ก็ยังคงได้รับผลกระทบเหล่านี้
การต่อสู้ของยอดราชันยุทธ์หาได้ไม่เป็นที่สะดุดตาเหมือนอย่างการต่อสู้ของโม่อีเหรินกับมนุษย์ถ่านร่างสูงบนทะเลไม่
ขณะศึกใหญ่ที่เมืองฝูเฉิง ฝ่ามือเดียวของนักยุทธ์ขั้นฟ้าผู้หนึ่งก็ทำลายห้องโถงใหญ่ห้องหนึ่งได้แล้ว หากสู้กันดุเดือดขึ้นหน่อย ทำให้อาคารบ้านเรือนถล่มลงมาก็มิใช่เรื่องแปลก
การโจมตีของราชันยุทธ์เทียบกับการโจมตีของนักยุทธ์ขั้นฟ้าก็ต่างกันราวฟ้ากับดิน ไม่ว่าพลานุภาพหรือพลังทำลายล้างที่สำแดงออกมา ทุกระดับที่ห่างกันก็หมายถึงความแตกต่างเป็นเท่าตัวขึ้นไป
ยิ่งเดินไปใกล้ใจกลางเกาะ อาคารและบ้านเรือนก็ยิ่งหนาแน่น กลิ่นคาวเลือดก็ยิ่งคละคลุ้ง
มองเห็นคนเจ็บ คนตาย และคนขอความช่วยเหลือตลอดทางที่เดินผ่าน ล้วนมิได้ทำให้พวกเขาหยุดฝีเท้าลง
คนตายถูกหามไปยังลานกว้าง ส่วนคนเจ็บก็ถูกจัดให้อยู่บริเวณใกล้ๆ พยายามให้การรักษาอย่างดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
สีหน้าของไป๋เหยายิ่งเครียดขมึง
ใจกลางเกาะเดิมทีเป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุด ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด และยิ่งใหญ่ที่สุดของทั้งเกาะหุน ทว่าบัดนี้มองไม่เห็นแท่นประลองยุทธ์ที่เดิมทีเป็นแท่นสูงขนาดมโหฬารและเป็นสัญลักษณ์ชี้นำทางจิตใจในการฝึกบำเพ็ญของชาวเกาะหุนแล้ว และก็มองไม่เห็นลานกว้างที่เดิมทีก่อขึ้นจากศิลาและมีขนาดเพียงพอจะรองรับคนได้เป็นหมื่นคนแล้วเช่นกัน
ทอดสายตามองไปล้วนเห็นเพียงซากปรักหักพัง
แม้พี่น้องสกุลฉู่จะเพิ่งเคยมาเกาะหุนเป็นหนแรก แต่ล้วนเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเกาะหุนมาไม่มากก็น้อย
ในข่าวเหล่านั้นต่างลือกันว่าเกาะหุนอุดมบริบูรณ์ เจริญรุ่งเรือง พึ่งพาตนเองได้ ชาวเกาะหุนไม่ว่าคนใด มายังดินแดนเทพยุทธ์แล้วล้วนเป็นยอดฝีมือที่หาได้ยากทั้งสิ้น แม้จะไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจ แต่บุคลิกและความรู้ความสามารถก็เหนือผู้อื่นโดยธรรมชาติ
ทว่าเกาะหุนในยามนี้กลับดูราวกับเป็นเขตประสบภัยหลังมหันตภัย
ไม่ต้องกล่าวถึงความอุดมบริบูรณ์และความเจริญรุ่งเรือง เกรงว่าแม้แต่ความสงบร่มเย็นและความอบอุ่นอิ่มท้องก็ยังหาได้ยากยิ่ง
ไป๋เหยามีสีหน้าเคร่งเครียดโดยตลอด มุมปากเม้มแน่น ดวงตากวาดค้นหาไปรอบๆ ไม่หยุด ในที่สุดก็มองเห็นเงาร่างที่คุ้นตาสายหนึ่ง “ชื่อเหยา!”
ชื่อเหยาที่กำลังจัดการช่วยเหลือคนเจ็บหันหลังกลับมาทันที
“ไป๋เหยา ฮูหยินน้อย…” ชื่อเหยาเบ้าตาเรื่อแดง ท่าน…มาช้าไปแล้ว
“จิงหงเล่า”
“ประมุขน้อย…ถูกไป่หลี่เยียนจับตัวไป หายตัวไปในค่ายกลส่งตัวแล้วขอรับ”
นึกถึงภาพเหตุการณ์นั้น ชื่อเหยาก็แค้นใจในความไม่ได้เรื่องของตนเองยิ่งนัก แต่เรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าในยามนี้คือ… “ฮูหยินน้อย ขอท่านโปรดช่วยท่านประมุขด้วยขอรับ!”
“เจ้านำทางไป” โม่อีเหรินพยักหน้า