X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดสตรีเป็นยากยิ่ง ภาค 2

ทดลองอ่าน ยอดสตรีเป็นยากยิ่ง ภาค 2 บทที่ 9-บทที่ 10

หน้าที่แล้ว1 of 18

บทที่ 9

‘หยุดมือ!’

คนทั้งสองหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง พร้อมใจกันเหินกายมาสกัดพลังฝ่ามืออันรุนแรงของไป่หลี่จิ้งหย่วน

เมื่อได้ประมือถึงค้นพบว่าแรงฝ่ามือนี้ถึงกับมิใช่พวกเขาในยามนี้สามารถต้านทานได้…ทว่าก็ยังต้องต้านทาน!

โครม!

บุรุษทั้งสามถูกแรงฝ่ามือที่ปะทะกันซัดถอยหลัง กระอักเลือดออกมาพร้อมกัน

ทว่าพลานุภาพที่แผ่ออกมาจากร่างไป่หลี่จิ้งหย่วนกลับมิได้ลดน้อยลงแม้แต่นิดเดียว กลับเป็นอีกสองคนที่พลังแก่นแท้ที่สามารถสำแดงออกมาได้ลดลงไปสองส่วนในทันทีเนื่องจากได้รับบาดเจ็บภายใน

นี่ไม่ชอบมาพากล เป็นไปได้อย่างไรที่ยอดราชันยุทธ์อย่างพวกเขาสองคนจะรับมือยอดราชันยุทธ์คนเดียวไม่ไหว คนทั้งสองที่ความรู้สึกช้าคิดได้พร้อมกัน…

‘วิชาลับเฉพาะของสกุลไป่หลี่หรือ!’ สองคนที่รุดกลับมาไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ สายตามองไปยังไป่หลี่เยียนที่ถูกพวกเขาปกป้องไว้ด้านหลังพร้อมกัน

ไป่หลี่เยียนใจหายวาบ นางพยักหน้าอย่างร้อนตัวอยู่เล็กน้อย

สีหน้าของคนทั้งสองดูปั้นยากขึ้นมาในทันใด

พวกเขาได้รับคำสั่งให้มาร่วมมือกับไป่หลี่เยียนพาตัวไป่หลี่จิงหงไปโดยไม่เลือกวิธีการ หากแต่ในความไม่เลือกวิธีการนี้มิได้รวมถึงการทำลายบุตรหลานของเกาะหุน!

‘เหตุใดต้องทำถึงเพียงนี้’

‘ก็เพราะ…เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ผู้อาวุโสทั้งสอง อย่างน้อยพวกเราก็ต้องพาหงเอ๋อร์กลับไปให้ได้ เมื่อไปพบท่านผู้เฒ่าก็ยังสามารถใช้ความดีความชอบหักล้างความผิดได้’ ไป่หลี่เยียนฝืนกัดฟันตอบ

นางเองก็คิดไม่ถึงว่าไป่หลี่จิ้งหย่วนจะสู้สุดชีวิตถึงเพียงนี้

ยิ่งคิดไม่ถึงว่าบุตรชายของนางจะดื่มหยาดน้ำตาเทพยุทธ์ลงไปทั้งขวด ทำให้แผนการทั้งหมดของนางพังครืน ซ้ำเขายังต้องการตัดความสัมพันธ์กับนางอีกด้วย

ยามนี้ไป่หลี่เยียนนึกเสียใจยิ่งว่าเหตุใดไม่พาตัวไป่หลี่จิงหงกลับไปตั้งแต่เขาเพิ่งเกิด เช่นนี้เขาก็จะไม่มีทางไม่เชื่อฟังคำนางแล้ว

ไป่หลี่จิ้งหย่วนไม่ได้ฉวยโอกาสขณะพวกเขาคุยกันชิงโจมตี เนื่องจากเขารู้สึกว่ามีกลิ่นอายสองขุมเคลื่อนเข้ามาใกล้เกาะหุนอย่างรวดเร็ว จึงนึกถึงอีกสองคนที่เหลือที่เมื่อครู่ถูกไป่หลี่จิงหงทำให้หายตัวไปขึ้นได้ทันที

‘เฮยอวี่ ไป๋อวี่ เปิดค่ายกล’ เขาถ่ายทอดเสียงให้ได้ยินกันเพียงไม่กี่คน

‘ขอรับ’

เฮยอวี่และไป๋อวี่สะท้านใจ แต่ยังคงปฏิบัติตามคำสั่งของประมุขเกาะ เร้นกายจากไป มุ่งหน้าสู่ใจกลางเกาะอย่างรวดเร็วทันที

‘ไป่หลี่จิ้งหย่วน พวกข้าเพียงแต่รับคำสั่งจากท่านผู้เฒ่ามาพาตัวคุณชายจิงหงไปเท่านั้น หาได้ต้องการทำร้ายผู้ใดไม่ ท่านผู้เฒ่าเองก็เป็นบรรพบุรุษของเกาะหุน ไม่มีทางมีเจตนาร้ายต่อบุตรหลาน’ ผู้อาวุโสทั้งสองได้ฟังคำพูดของไป่หลี่เยียน ก็รู้ว่าเวลานี้พูดอะไรไปก็ไม่ทันแล้ว แต่อย่างน้อยก็หวังว่าจะทำให้ไป่หลี่จิ้งหย่วนหยุดมือได้

‘นับตั้งแต่พวกท่านมาถึงเกาะหุน ใช้กำลังมาข่มเหง ไป่หลี่เยียนใช้หยาดน้ำตาเทพยุทธ์มาขู่ แล้วจิงหงดื่มมันลงไป ก็ไม่มีอะไรให้พูดกันแล้ว’ ไป่หลี่จิ้งหย่วนสายตาเย็นชา น้ำเสียงเยียบเย็นเฉียบขาด ‘สกุลไป่หลี่แห่งเกาะหุนไม่ยอมรับการขู่บังคับใดๆ แม้จะมาจากบรรพบุรุษก็ตามที!’

‘ไป่หลี่จิ้งหย่วน…’ ผู้อาวุโสทั้งสองยังอยากจะพูดอะไรอีก แต่กลับหน้าเปลี่ยนสีไปอย่างหนักในฉับพลัน

ค่ายกลพิทักษ์เกาะเปิดทำงาน เกาะหุนทั้งเกาะถูกรัศมีแสงสีทองอ่อนปกคลุมในทันที ทำให้เกาะหุนกลายเป็นโลกอันโดดเดี่ยวโดยสมบูรณ์

ขึ้นฟ้าไร้ลู่ ลงดินไร้ทาง คนบนเกาะออกไปไม่ได้ คนนอกเกาะก็เข้ามาไม่ได้ นี่คือ…ค่ายกลกักขังที่ไม่มีหนทางฝ่าทะลวง

ค่ายกลพิทักษ์เกาะเป็นการปกป้องคุ้มครองสุดท้ายที่สกุลไป่หลี่แห่งเกาะหุนทิ้งไว้ให้ชนรุ่นหลังเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว เมื่อเปิดการทำงาน ต่อให้มียันต์ส่งตัวผ่านมิติก็ไม่มีประโยชน์

ตราบใดที่ค่ายกลยังทำงาน ก็ไม่มีใครสามารถจากไปได้ ทำได้เพียงแก่ตายอยู่ที่เกาะหุน

‘ไป่หลี่จิ้งหย่วน ท่านบ้าไปแล้ว!’ ไป่หลี่เยียนตะโกนด้วยโทสะ

แม้นางจะไม่ใช่ทายาทสกุลไป่หลี่อย่างแท้จริง แต่เนื่องจากต้องการมาดินแดนเทพยุทธ์จึงย่อมจะคิดหาทางจนสืบรู้ความลับของเกาะหุนได้จำนวนหนึ่ง

เรื่องค่ายกลถึงจะเป็นที่ดินแดนแรกนภาก็ยังมีคนเข้าใจเพียงไม่กี่คน ดังนั้นคนแทบทั้งหมดจึงล้วนทั้งรักทั้งกลัวมัน

นางรู้ว่ามีค่ายกลพิทักษ์ป้องกันนี้อยู่ แต่กลับไม่รู้ว่าไป่หลี่จิ้งหย่วนจะเปิดการทำงานเป็น เขาคิดจะลากคนทั้งหมดไปตายกับเขาชัดๆ!

ไป่หลี่จิ้งหย่วนกลับยิ้มออกมา ‘นี่มิใช่คำที่เจ้าเพิ่งพูดไปหรือไร ไป่หลี่เยียน บนเกาะหุนไม่รับศพผู้ที่ไม่มีสายเลือดสกุลไป่หลี่ แต่เจ้ากลับได้อาศัยใบบุญของจิงหง ทว่าจิงหงก็ทดแทนบุญคุณที่เจ้าให้กำเนิดไปแล้ว ดังนั้นเจ้าจึงสมควรรู้สึกเป็นเกียรติที่ยังมีที่ให้ฝังร่าง ไม่ต้องตายโดยไม่เหลือซาก’

ถึงบนใบหน้าเขาจะมีรอยยิ้ม แต่แววเยียบเย็นและไร้ไมตรีในน้ำเสียงกลับทำให้หัวใจของไป่หลี่เยียนสั่นสะท้าน

‘ใคร…ใครจะตายอยู่ที่นี่กัน ไป่หลี่จิ้งหย่วน ท่านอย่าคิดจะขู่ข้าเสียให้ยาก ต่อให้ท่านตายแล้ว ข้าก็ไม่…’

‘ไป่หลี่เยียน เงียบปาก!’ ผู้อาวุโสทั้งสองตวาดลั่นพร้อมกัน

ไป่หลี่เยียนได้แต่หุบปาก ก้มหน้าลง แต่สายตากลับกลอกไปมา คิดหาวิธีรักษาชีวิต

เมื่อค่ายกลพิทักษ์เกาะเปิดทำงาน วิธีจากไปเพียงวิธีเดียวคือ…

ทางด้านผู้อาวุโสไม่กี่ท่านได้แลกเปลี่ยนสายตากัน ตรึกตรองเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปากกล่าวว่า ‘ไป่หลี่จิ้งหย่วน หยุดค่ายกลเสีย พวกข้า…ไม่บีบคั้นเจ้าแล้วก็ได้’

‘สายไปแล้ว เลือดแต่ละหยดที่จิงหงเสียไป พวกท่านล้วนต้องชดใช้เป็นเท่าทวี!’ ไป่หลี่จิ้งหย่วนโบกแขนเสื้อ ลงมือไม่ไว้ไมตรีโดยสิ้นเชิง ทุกกระบวนท่าล้วนหมายเอาชีวิต

การต่อสู้เริ่มขึ้นอีกครั้ง ผู้อาวุโสทั้งหกไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงตอบโต้กลับเพื่อรักษาชีวิต ในขณะที่ไป่หลี่เยียนกลับยิ่งสู้ยิ่งถอย ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปทางสระน้ำลับ

 

อีกด้านหนึ่ง สี่เหยาพาไป่หลี่จิงหงมาส่งยังเขตลี้ลับด้วยความเร็วสูงสุด

เขตลี้ลับของเกาะหุน มิใช่สายเลือดของประมุขเกาะมิอาจเข้าไป สี่เหยาอาศัยพันธสัญญาเลือดที่มีกับไป่หลี่จิงหงทำให้สามารถเข้าเขตลี้ลับได้ แต่กลับอยู่ได้ไม่นาน

หลังวางตัวไป่หลี่จิงหงลงในสระน้ำลับแล้ว สี่เหยาก็ถอยออกมาเฝ้าที่ทางเข้าเขตลี้ลับ แต่ละคนมีสีหน้าหนักอึ้ง

ประมุขน้อยกินหยาดน้ำตาเทพยุทธ์ลงไป ซ้ำยังทั้งขวด…

‘น่าจะไม่เป็นอะไร ประมุขน้อยมียาแก้’ ชื่อเหยาพูดขึ้น เขาจำได้ว่าฮูหยินน้อยได้ให้ประมุขน้อยไว้ทั้งขวด

‘แต่ว่าประมุขน้อยดื่มลงไปมากถึงเพียงนั้น ยาแก้จะได้ผลหรือ’ มิใช่ว่าเฮยเหยาสงสัยความสามารถในการหลอมโอสถของฮูหยินน้อย แต่เป็นเพราะ…ได้รับพิษในปริมาณหนึ่งหยด กับดื่มลงไปทั้งขวด แตกต่างกันมากนัก!

‘ไป๋เหยา เจ้าออกจากเกาะหุนบัดเดี๋ยวนี้เลย ใช้ป้ายหยกสื่อสารติดต่อฮูหยินน้อย พาฮูหยินน้อยมาที่นี่’ ชิงเหยากล่าว

‘ใช่แล้ว ฮูหยินน้อยจะต้องมีหนทางช่วยประมุขน้อยได้แน่’ ชื่อเหยาและเฮยเหยาเห็นด้วย

‘ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้’ ไป๋เหยาหมุนตัวทำท่าจะจากไป

‘ประเดี๋ยวก่อน ให้เนตรทองพาเจ้าไป’ ชิงเหยาเรียกเนตรทองออกมา

เหยี่ยวเทพเนตรทอง สัตว์วิเศษที่มีพันธสัญญากับชิงเหยา บินได้เร็วอย่างที่สุด มีมันอยู่ สองชั่วยามก็สามารถไปถึงดินแดนเทพยุทธ์

‘ข้าจะพาฮูหยินน้อยมาให้ได้’ ไป๋เหยากล่าวด้วยท่าทางขึงขัง ขณะกำลังเตรียมตัวจะจากไปกับเนตรทอง รัศมีแสงสีทองอ่อนสายหนึ่งก็โอบล้อมเกาะหุนทั้งเกาะไว้ในทันที

‘นี่คือ…’ สี่เหยาตกใจ

‘ค่ายกลพิทักษ์เกาะ’ ชิงเหยาน้ำเสียงหนักอึ้ง

ท่านประมุขถึงกับเปิดการทำงานค่ายกลพิทักษ์เกาะ เช่นนั้นสถานการณ์ทางด้านท่านประมุข…

‘เมื่อค่ายกลพิทักษ์เกาะถูกเปิดขึ้น ก็ไม่มีใครเข้าออกได้…’ เฮยเหยาเองก็มีสีหน้าหนักอึ้งเช่นกัน เช่นนี้ไป๋เหยาจะไปหาฮูหยินน้อยได้อย่างไร

‘อือ…’ เสียงครวญครางเบาๆ เหมือนกำลังอดทนกับความเจ็บปวดทรมานที่ใหญ่ที่สุด ทั้งๆ ที่เสียงแผ่วเบายิ่ง แต่สี่เหยากลับล้วนได้ยินแล้ว

เป็นประมุขน้อย

ไป๋เหยาผลุบตัวเข้าเขตลี้ลับแล้วออกมาอีกครั้ง

‘ประมุขน้อยเริ่มสูญเสียสติสัมปชัญญะไปบ้างแล้ว’ ถ้ามิใช่สูญเสียสติสัมปชัญญะ ประมุขน้อยไม่มีทางส่งเสียงออกมาแน่นอน

สามเหยาได้ยินแล้วก็ต่างเงียบลง อารมณ์หนักอึ้ง

‘ล้วนต้องโทษไป่หลี่เยียน!’ ชื่อเหยาพูดด้วยความเดือดดาล มีเพลิงโทสะอยู่เต็มท้อง

‘ชื่อเหยา’ ชิงเหยาส่ายหน้า ไม่ว่าอย่างไรไป่หลี่เยียนก็ยังเป็น…ผู้ให้กำเนิดประมุขน้อย ไม่คุ้มที่จะทำให้ประมุขน้อยเสื่อมเสียชื่อเสียงเพราะมารดาเช่นนี้

‘ประมุขน้อยใช้พลังยุทธ์ทั้งร่างทดแทนบุญคุณที่นางให้กำเนิดแล้ว นางไม่ได้มีความสัมพันธ์กับประมุขน้อย ยิ่งกว่านั้นก็เป็นนางทำร้ายประมุขน้อย ผู้ใดทำร้ายประมุขน้อย ผู้นั้นก็คือศัตรูของพวกเรา’ มิใช่เฮยเหยาไม่คำนึงถึงส่วนรวมหรือไม่คำนึงถึงชื่อเสียงของประมุขน้อย แต่เป็นเพราะส่วนรวมใดๆ ชื่อเสียงใดๆ ก็ล้วนเทียบกับความปลอดภัยของประมุขน้อยไม่ได้

‘เจตนาของประมุขน้อยจึงเป็นสิ่งที่พวกเราควรดำเนินตาม’ ชื่อเหยาและไป๋เหยาก็มีความเห็นเหมือนกัน

พวกเขาสี่คนเกิดมาก็ได้รับการอบรมฝึกฝนมาในฐานะองครักษ์แล้ว หลังจากประมุขน้อยถือกำเนิด พวกเขาก็ได้ทำพันธสัญญาเลือดกับประมุขน้อย จะจงรักภักดีชั่วชีวิต ไม่ทรยศเป็นอันขาด และเชื่อฟังประมุขน้อยแต่เพียงผู้เดียว

สำหรับพวกเขาสี่คน มีเพียงประมุขน้อยที่สำคัญที่สุด

‘ตอนนี้ควรทำอย่างไรต่อดี’

สี่เหยามองหน้ากัน เกี่ยวกับค่ายกลพิทักษ์เกาะ พวกเขาล้วนเคยได้ยินถึงอานุภาพ แต่การเปิดการทำงานค่ายกลกลับเป็นครั้งแรกตั้งแต่มีประมุขเกาะมาหลายรุ่น ไม่มีใครรู้ว่าต่อจากนี้จะเกิดเรื่องอะไร

ในที่สุดไป๋เหยาก็ตัดสินใจ ‘ฝ่าค่ายกลแล้วกัน! หากไม่ฝ่า ประมุขน้อย…’

‘แต่ถ้าค่ายกลมีการเปลี่ยนแปลงอะไร ทางด้านท่านประมุข…จะได้รับผลกระทบหรือไม่’ ชิงเหยายังคงพิจารณาไตร่ตรองมากกว่าเล็กน้อย

ในเวลานี้เอง…

ตูม!

โครม!

‘อ๊าก…’

เสียงจากการต่อสู้ต่างๆ นานาพลันดังมา และยังมีเสียงสิ่งปลูกสร้างบนเกาะพังถล่ม กลางอากาศมีประกายดาบเงากระบี่ พลังฝ่ามือปะทะกันไปมา

ยอดราชันยุทธ์ แทบจะเป็นพลังแก่นแท้ที่สูงกว่าพวกเขาหนึ่งขั้นเต็มๆ ไม่ว่าคนใดในสี่เหยาไปสู้ด้วย ล้วนต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย

แม้เกาะหุนจะมีคนมาก แต่พลังแก่นแท้มีไม่พอต่อกร ด้านท่านประมุขได้ใช้วิชาลับยกระดับพลัง การต่อสู้ยืดเยื้อนานเท่าไรก็ไม่เป็นผลดีต่อท่านประมุขมากเท่านั้น ทว่าพวกเขาจำเป็นต้องพิทักษ์ประมุขน้อย…

สี่เหยากำสองหมัด ในดวงตามีแต่แววไม่ยินยอม

นับตั้งแต่รู้ความเป็นต้นมา เป็นครั้งแรกที่พวกเขาตระหนักได้ถึงความต่ำเตี้ยของพลังแก่นแท้ของตนเอง ไม่มีความแข็งแกร่งโดยสิ้นเชิง

ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องเรียกเบาๆ ดังมาจากในสระน้ำลับ

‘สี่เหยา เข้ามา’

‘ประมุขน้อย!’ สี่เหยาวิ่งห้อเข้าไปทันที

ไป่หลี่จิงหงที่แช่อยู่ในสระน้ำลับลืมตาขึ้น ทั้งตัวคนดูอ่อนแรงเหลือประมาณ แต่สีหน้ากลับเย็นยะเยือกเหมือนปกติที่แล้วมา ประหนึ่งว่ามิมีสิ่งใดสามารถสั่นคลอนได้

ไป่หลี่จิงหงมองครอบแสงสีทองอ่อนบนท้องฟ้าเหนือเกาะหุน สีหน้าสงบนิ่ง ไม่มีเศษเสี้ยวของความหนักอึ้ง

‘พวกเจ้าจงฟัง หลังจากค่ายกลเปิดทำงาน…’ ถ้อยความต่อจากนั้นไป่หลี่จิงหงไม่ได้ใช้การพูด แต่เขียนและวาดลงบนผิวน้ำ

วิธีเดียวที่ทำให้สามารถเข้าออกเกาะหุนได้ก็คือต้องเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต สู้อย่างไม่คิดชีวิต

หลังจากนั้นเขาก็พูดโดยไร้เสียง

‘ไป๋เหยาออกจากเกาะบัดเดี๋ยวนี้ จงไปบอกโม่อีเหรินว่านางเป็นภรรยาของข้า ข้าจะแต่งงานกับนางให้ได้แน่นอน’

เมื่อคิดถึงโม่อีเหริน ถึงแม้บัดนี้จะเจ็บปวดไปทั้งตัวและกำลังอยู่ในสถานการณ์คับขัน แววตาของไป่หลี่จิงหงก็ยังคงมีประกายอ่อนโยนปรากฏอยู่เสี้ยวหนึ่ง

‘ขอรับ’ ไป๋เหยาคุกเข่าข้างหนึ่งลง หลังทำความเคารพไป่หลี่จิงหงแล้วก็ลุกขึ้นเดินจากไป

‘เฮยเหยา ตามไปคุ้มกันหลัง’ เฮยเหยาพยักหน้า แล้วหมุนตัวจากไปเช่นกัน

ชิงเหยาและชื่อเหยาไม่ได้จากไปด้วย แต่ต่างเฝ้าอยู่ข้างๆ เป็นห่วงประมุขน้อยที่หลับตาอยู่เหลือประมาณ และก็วิตกกังวลต่อสถานการณ์ของท่านประมุขเกาะเช่นกัน

‘ชิงเหยา ชื่อเหยา จงจำคำพูดหนึ่งไว้ มีชีวิตรอดถึงจะสามารถปกป้องเกาะหุนได้’

เวลานั้นชิงเหยาและชื่อเหยาไม่ได้เข้าใจความหมายของคำพูดประโยคนี้นัก แต่ก็ยังคงขานรับ…

‘ขอรับ’

ทว่าไม่นานหลังจากนั้น พวกเขาก็เข้าใจแล้ว

ไป๋เหยาเล่าถึงแค่ช่วงเวลาที่เขาออกจากเขตลี้ลับ แล้วออกจากเกาะอย่างลับๆ ตามคำสั่งของไป่หลี่จิงหง

แต่เนื่องจากรูปแบบการออกจากเกาะไม่เหมาะกับการใช้เนตรทอง ไป๋เหยาจึงออกมาคนเดียว

“…ฮูหยินน้อย ไป๋เหยาไร้ความสามารถ ไม่อาจปกป้องประมุขน้อย ทำได้เพียงนำเจตนาของประมุขน้อยมาถ่ายทอดต่อท่าน…”

มีฐานะเป็นองครักษ์ แต่กลับจากมาก่อนในขณะที่เจ้านายกำลังคับขัน ไม่ว่าเป็นเพราะสาเหตุใดก็ล้วนเป็นความบกพร่องในหน้าที่ของเขา ไป๋เหยาก้มหน้า ไม่มีหน้าจะเผชิญกับฮูหยินน้อย

โม่อีเหรินฟังจบกลับเอ่ยถามอย่างใจเย็นยิ่ง “ตอนที่เจ้าออกมาจากเกาะหุน จิงหงยังอยู่ที่สระน้ำลับ เหตุใดกลับบอกว่าเขาถูกพาตัวไปแล้ว”

“เพราะว่า…พันธสัญญาเลือดขอรับ” ไป๋เหยาตอบ “พวกข้าสี่คนได้ทำพันธสัญญาเลือดกับประมุขน้อยตั้งแต่เด็ก นายสิ้น บ่าวสิ้น พวกข้าสามารถสื่อสนองต่อความเป็นความตายของเจ้านายได้ ตอนที่ข้าใกล้มาถึงเมืองผิงเจิ้น ข้าก็ไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายของประมุขน้อยแล้ว”

มิใช่สิ้นชีพ แต่เป็นขาดการติดต่อ ความเป็นไปได้ก็มีเพียงอย่างเดียว…นั่นคือประมุขน้อยไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ดังนั้นเขาถึงสัมผัสไม่ได้

“อาการบาดเจ็บบนตัวเจ้าเกิดจากอะไร”

“จาก…ยอดฝีมือสองคนของดินแดนแรกนภาขอรับ” ไป๋เหยาตอบ

ไป่หลี่จิ้งหย่วนเปิดการทำงานค่ายกลพิทักษ์เกาะได้ทันการณ์ ทำให้ยอดฝีมือสองคนที่รีบรุดกลับมาถูกสกัดไว้นอกเกาะ แต่ขณะไป๋เหยาออกมาที่ทะเลกลับถูกคนทั้งสองเพ่งเล็งเข้า

พอเจอหน้าก็ถูกทำร้ายจนเจ็บหนัก ขณะคนทั้งสองกำลังจะจับไป๋เหยาไว้ ไป๋เหยาก็อาศัยพลังวิเศษเฮือกสุดท้ายกระตุ้นยันต์ส่งตัวที่ประมุขน้อยให้ไว้ ทำให้ถูกส่งตัวมาตกในทะเลห่างออกมาร้อยลี้

หลังจากแยกแยะทิศทางได้ ไป๋เหยาก็รวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่เดินทางมาถึงเมืองผิงเจิ้น แล้วส่งข่าวให้โม่อีเหริน

“…ตั้งแต่ผู้น้อยออกจากเกาะหุนมาจวบจนบัดนี้ก็ผ่านมาราวหนึ่งวันแล้ว สถานการณ์ของเกาะหุนในยามนี้เป็นอย่างไร ผู้น้อยเองก็มิทราบ…” ประมุขน้อยไม่อยู่แล้ว ขอให้ฮูหยินน้อยไปที่เกาะหุนในตอนนี้จะยังมีความหมายอีกหรือ ไป๋เหยาลังเลยิ่ง

โม่อีเหรินฟังจบก็หยิบยาลูกกลอนออกมาอีกครั้ง “กินลงไปก่อน”

“ขอรับ” ไป๋เหยากลืนลงไปโดยไม่ลังเล

“ยาเม็ดนี้สามารถเร่งให้บาดแผลภายนอกบนตัวเจ้าหายดีเร็วขึ้น ส่วนอาการบาดเจ็บที่เส้นเอ็น เส้นชีพจร และจุดตันเถียน ข้าก็ได้ใช้ยาทำให้อาการคงตัวแล้ว หลังจากนี้ข้าค่อยช่วยรักษาให้เจ้า”

“ข้าสามารถฟื้นตัวได้อีกหรือขอรับ!” ไป๋เหยารู้อาการบาดเจ็บของตนเองดี เดิมทีก็ไม่หวังอะไรแล้ว หวังเพียงจะสามารถถ่ายทอดคำพูดของประมุขน้อยต่อฮูหยินน้อยได้ หากแต่วาจาในยามนี้ของฮูหยินน้อยทำให้เขาทั้งตกใจ ทั้งอึ้ง ทั้งดีใจ ทั้งไม่อยากจะเชื่ออยู่สักหน่อย

เส้นเอ็น เส้นชีพจรฉีกขาด จุดตันเถียนแตกร้าว เท่ากับว่าถูกทำลายพลังวัตร มิหนำซ้ำยังไม่อาจฝึกบำเพ็ญได้อีกแล้ว อาการบาดเจ็บเช่นนี้ไม่อาจรักษาได้โดยสิ้นเชิง แต่ฮูหยินน้อยถึงกับสามารถให้การรักษา ทำให้เขายังสามารถฟื้นตัวและฝึกบำเพ็ญต่อได้หรือ

“แน่นอน แต่ก่อนจะฟื้นตัว เจ้าห้ามใช้พลังยุทธ์อีก หากไม่เชื่อฟัง ข้าก็จะทำให้เจ้าหลับไป”

“เอ่อ…” นี่คือถูกฮูหยินน้อยขู่อย่างนั้นหรือ ไป๋เหยามีสีหน้ายุ่งยากใจขึ้นมาอย่างห้ามตนเองไม่ได้ในทันที

คำขู่ของฮูหยินน้อยฟังดู…เหมือนกำลังล้อเล่นอยู่สักหน่อย ช่างไม่มี…ความน่ากลัวเอาเสียเลย!

“ข้าจะขอให้หลงจู๊เฉียวเตรียมเสื้อผ้ามาให้เจ้าอีกชุด รอเจ้าผลัดเปลี่ยนเรียบร้อย พวกเราจะออกเดินทางทันที” พูดจบโม่อีเหรินก็หมุนตัวเดินออกจากห้อง

ฉู่เซวียนอั๋งและฉู่เซวียนฉีเองก็เดินตามออกไปด้วย รอน้องสาวสั่งหลงจู๊เฉียวเสร็จแล้ว ฉู่เซวียนอั๋งถึงได้เอ่ยปากขึ้น

“โม่อีเหริน เกาะหุนยามนี้ยังอันตรายมาก” เขาไม่อยากให้น้องสาวไปเสี่ยง

“โม่อีเหริน ข้าจะติดต่ออาจารย์ บอกเรื่องนี้กับอาจารย์ก่อน พวกเรารออาจารย์กับท่านตามาถึงแล้วค่อยว่ากัน” ฉู่เซวียนฉีก็พูดขึ้นเช่นกัน

มีท่านตาอยู่ เชื่อว่าคู่ต่อสู้มีฝีมือสูงส่งเพียงไรก็มิเป็นปัญหา

โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ความแข็งแกร่งของท่านตาก็ได้ทำให้ฉู่เซวียนฉีเห็นเขาเป็นบุคคลต้นแบบแล้ว

“พี่ใหญ่ พี่เล็ก ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ทำเรื่องที่ไม่มีความมั่นใจหรอก” โม่อีเหรินแย้มยิ้มเป็นธรรมชาติ ดูเหมือนไม่ได้รับผลกระทบใดๆ แม้แต่น้อย

หากแต่นี่เป็นเพียงภายนอกเท่านั้น

แม้โม่อีเหรินจะไม่ได้แสดงออกมา แต่หากไม่เป็นห่วงไป่หลี่จิงหง โม่อีเหรินก็คงไม่ออกจากเกาะโม่เสวียนมาทันทีที่ได้รับข่าว

โม่อีเหรินมีสติถึงเพียงนี้ กลับทำให้ฉู่เซวียนอั๋งรู้สึกปวดใจ

กล้าทำให้น้องสาวข้าเป็นห่วงเพียงนี้ ไป่หลี่จิงหง วันหน้าได้พบกัน ไม่ ‘แลกเปลี่ยนฝีมือให้เต็มที่สักยก’ ข้าก็ไม่ได้ชื่อว่าฉู่เซวียนอั๋งแล้ว!

“พี่ใหญ่ อย่าลืมสิเจ้าคะว่านอกจากพลังยุทธ์แล้ว ข้ายังมียาลูกกลอนและยาผงมากมายให้ใช้ได้ พิษที่ร้ายกาจที่สุดมิได้มีเพียงหยาดน้ำตาเทพยุทธ์เสียหน่อย” โม่อีเหรินยิ้มตาหยี หากแต่น้ำเสียงทำให้คนรู้สึกเย็นวาบในใจอย่างอธิบายไม่ได้

“มิหนำซ้ำข้ายังมีผู้ช่วยอยู่ด้วย!” โม่อีเหรินเพิ่งจะพูดคำนี้ก็ได้ยิน…

“วู้!”

“โฮก!”

เขี้ยวเงินกับเซิ่นแย่งกันแสดงเจตนายินดีที่จะเป็นผู้ช่วย

ฉู่เซวียนอั๋งโน้มน้าวน้องสาวไม่สำเร็จ ได้แต่กล่าวว่า “รายงานให้ท่านตาเหยี่ยนทราบก่อน จากนั้นพวกเราก็ไปด้วยกัน”

น้องสาวจะไปเสี่ยงอันตราย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้เป็นพี่ชายจะต้องติดตามน้องสาวอย่างไม่คลาดสายตาแน่นอน

 

แม้จะรู้ว่าฮูหยินน้อยไม่ธรรมดาสามัญ แต่ขณะออกทะเล ไป๋เหยาก็ยังคงถูกพฤติการณ์ของฮูหยินน้อยทำให้สะท้านสะเทือน

“ต้องรบกวนพวกเจ้าอีกแล้ว” หลังหาชายทะเลที่ลับตาคนได้ ฮูหยินน้อยก็ลูบ…หัวฉลามยักษ์สองตัวอย่าง ‘สนิทสนม’

ฉลามยักษ์สองตัวนี้เป็นสัตว์วิเศษระดับแปดแล้วกระมัง!

“อั๋ง” ‘ไม่รบกวนๆ’

โผล่หลังที่กว้างเกินหนึ่งจั้งขึ้นมาให้ โม่อีเหรินกับฉู่เซวียนอั๋งขึ้นหลังตัวหนึ่ง ฉู่เซวียนฉีกับไป๋เหยาขึ้นหลังอีกตัว หลังไป๋เหยาบอกทิศทางจบ ฉลามทั้งสองตัวก็ออกว่ายไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

ย้อนนึกถึงสภาพตนเองที่ทุลักทุเลมีบาดแผลแทบจะทั้งตัวขณะว่ายน้ำมาถึงเมืองผิงเจิ้นด้วยความลำบากแสนเข็ญ เทียบกับสภาพสบายๆ ที่แค่นั่งเฉยๆ ไม่ต้องออกแรงก็สามารถเคลื่อนที่ไปบนทะเลได้อย่างรวดเร็วเช่นยามนี้ ไป๋เหยารู้สึกว่าตนเองไม่มีหน้าพบผู้คนแล้วจริงๆ

“วู้!” เขี้ยวเงินผิดหวังยิ่ง เหตุใดโม่อีเหรินไม่ให้มันพาไป…

“เด็กดี ประเดี๋ยวอาจจะต้องต่อสู้ เจ้าต้องรักษาพลังไว้” โม่อีเหรินปลอบมัน

“วู้…” เขี้ยวเงินได้รับการเยียวยาในพริบตา

“อั๋ง อั๋ง!” ‘พวกข้าก็ช่วยสู้ได้เหมือนกัน’ ฉลามทั้งสองตะโกนอย่างกระตือรือร้น ศัตรูของโม่อีเหรินก็คือศัตรูของพวกข้า พวกมันจะกัดให้ตาย!

“อืม เช่นนั้นอีกประเดี๋ยวพวกเจ้าก็ซุ่มอยู่ในทะเล มีโอกาสก็ลอบโจมตีนะ” โม่อีเหรินบอก

“อา…” ‘ไม่มีปัญหา’

“…” ฝ่ายหนึ่งพูดฝ่ายหนึ่งร้อง เช่นนี้สื่อสารกันเข้าใจจริงๆ หรือ

เห็นสัตว์วิเศษขั้นสูงตัวใหญ่ที่ควรดุร้ายน่ากลัว เวลาอยู่ต่อหน้าฮูหยินน้อยกลับมีท่าทางน่ารักเชื่องเชื่อเหมือนสัตว์เลี้ยงตัวน้อยแม้จะมีขนาดตัวที่ใหญ่ยักษ์จนทับฮูหยินน้อยเป็นสิบๆ คนให้แบนได้ ต่างส่ายหางต่อหน้าฮูหยินน้อย โอ้อวดตนเอง ขอให้ลูบหัว ขอให้ชมเชย ไป๋เหยาก็อยากจะขยี้ตาจริงๆ

สายตาของเขาน่าจะดียิ่ง คราวนี้ดวงตาไม่ได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นน่าจะไม่ได้มองผิดไป

หากแต่ไม่ว่ามองอย่างไร นี่ก็ขัดแย้งกันเกินไปแล้ว!

ไป๋เหยานั่งอยู่บนหลังฉลามด้วยท่าทางที่ดูเหมือนปกติ แต่อันที่จริงภายในใจสับสนยุ่งเหยิงไปหมด รู้สึกว่านี่ไม่ใช่ความจริง

ทว่าก็ต้องขอบคุณฉลามทั้งสองที่ทำท่าทางน่ารักน่าชัง ทำให้อารมณ์เขาไม่ได้หนักอึ้งเท่าเก่า

แม้จะยังเป็นกังวลต่อสถานการณ์ของประมุขน้อยและเกาะหุน แต่เขาก็ใจเย็นลงได้แล้ว

ระยะทางที่ไป๋เหยาต้องใช้เวลาถึงสิบชั่วยาม ฉลามสองตัวนี้ใช้เพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็มาถึงแล้ว

จากไกลๆ สามารถมองเห็นครอบแสงสีทองอ่อนขนาดมหึมา ในครอบแสงเห็นเกาะเกาะหนึ่งอยู่รำไร

ประเมินด้วยสายตา เนื้อที่ของเกาะแห่งนี้กว้างใหญ่กว่าเกาะโม่เสวียนยี่สิบเท่าขึ้นไปเป็นอย่างน้อย

ฉลามทั้งสองลดความเร็วลงภายใต้สัญญาณจากโม่อีเหริน

“ฮูหยินน้อย นั่นก็คือค่ายกลพิทักษ์เกาะ เกาะหุนอยู่ข้างในนั้นขอรับ” ไป๋เหยายืนขึ้นมองไปรอบๆ

ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “เจ้าเด็กนี่กลับมาจริงๆ”

ต่อจากนั้นเงาร่างสองสายก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพวกเขาในพริบตา ยืนอยู่กลางอากาศ หนึ่งสูงหนึ่งเตี้ย ผู้ที่เอ่ยปากเมื่อครู่คือคนที่เตี้ยกว่า

“ซ้ำยังพาเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมาเป็นผู้ช่วยอีกสามคน ฉลามสองตัวนี้…อืม…พอฝืนใจดูได้” คนร่างเตี้ยพูดต่อ

โม่อีเหรินมองพวกเขาปราดหนึ่ง

ชุดตัวยาวสีเทาดำทั้งตัว ตรงเอวมีป้ายหยกสีน้ำเงินห้อยอยู่คนละอัน ด้านบนสลักคำว่า ‘ไป่หลี่’ เอาไว้ กลิ่นอายเก็บงำสงวนท่าที ดวงตาแฝงแววน่าเกรงขาม

เดิมทีพลังยุทธ์ของสองคนนี้น่าจะเหนือกว่าระดับยอดราชันยุทธ์แล้ว เพียงแต่เพราะมาที่นี่ถึงได้ถูกกดพลังแก่นแท้จนเหลือเพียงเท่าระดับยอดราชันยุทธ์

พวกเขาน่าจะดูถูกผู้ฝึกบำเพ็ญของดินแดนเทพยุทธ์มากกระมัง!

“ไป๋เหยา คนที่ทำเจ้าบาดเจ็บก็คือมนุษย์ถ่านสองคนนี้ใช่หรือไม่” โม่อีเหรินแสร้งถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว

มนุษย์ถ่าน?

พรืด…เอ่อ…ดูเหมือนจริงๆ

“ขอรับ” ไป๋เหยาพยักหน้าโดยกลั้นหัวเราะเอาไว้

เขาพลันค้นพบว่าไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์ใด ขอเพียงอยู่กับฮูหยินน้อย ก็ทำตัวเคร่งขรึมเป็นการเป็นงานได้ยากยิ่ง

ประมุขน้อย…จะต้องชอบฮูหยินน้อยที่เป็นเช่นนี้มากกระมัง!

ไป๋เหยาพยายามกลั้นขำอย่างมาก แต่มนุษย์ถ่านทั้งสองที่ด้านบนนั้นกลับมิได้มีสีหน้ากลั้นขำ แต่เป็นกลั้น…โทสะ!

“แม่นางน้อยเป็นคนของเกาะหุนหรือ” มนุษย์ถ่านร่างเตี้ยถาม

โม่อีเหรินไม่ได้สนใจมนุษย์ถ่าน เพียงแต่ถามไป๋เหยาต่อว่า “เจ้าว่าสองคนนี้ถูกจิงหงส่งออกไปไกลเพียงไร”

“เอ่อ…น่าจะร้อยลี้กระมัง!” ไป๋เหยากลั้นขำต่อ

เป็นความจริงที่ถูกส่งตัวออกไปไกลมาก แต่พอถูกพูดออกมาจากปากของโม่อีเหริน ก็ดูเหมือนว่าสองคนนี้มีพลังแก่นแท้แย่เหลือใจ แค่ฝ่ามือเดียวก็ซัดลอยกระเด็น…ไปไกลยิ่ง

มนุษย์ถ่านร่างเตี้ยขมับกระตุก “แม่นางน้อย ข้าเห็นแก่เจ้าอายุยังน้อย ไม่อยากลงมือทำร้ายคน เจ้าอย่าได้ทำตัวไม่รู้ดีรู้ชั่ว!”

“เฮ้อ…” โม่อีเหรินส่ายหน้า ถอนหายใจ ลืมดวงตาทั้งสอง แสร้งทำท่าทางสงสัยและไม่พอใจ มองมนุษย์ถ่านทั้งสองตาไม่กะพริบ มองไปมองมาก็ถอนหายใจอีกคำรบด้วยเสียงดังกว่าเดิม “เฮ้อ…”

มนุษย์ถ่านร่างเตี้ยขมับกระตุกแรงขึ้นอีก “เจ้าถอนหายใจอะไร”

“ไม่มีอะไร ข้าเพียงแต่คิดเรื่องหนึ่งไม่ออกเท่านั้นเอง” โม่อีเหรินทำสีหน้าบริสุทธิ์ไร้ความผิด

ฉู่เซวียนอั๋ง ฉู่เซวียนฉี และไป๋เหยาที่เข้าใจนิสัยของโม่อีเหรินมากแล้วได้เตรียมใจไว้ล่วงหน้าเรียบร้อย ไม่ว่าอีกประเดี๋ยวโม่อีเหรินจะพูดอะไรออกมา พวกเขาก็ล้วนต้องอดทน รักษาความสงบเยือกเย็นไว้ให้ได้

“เรื่องอะไร”

“เหตุใดคนแก่อายุมากล้วนชอบด่าคนกันหนอ เป็นเพราะอายุมากแล้วความจำไม่ดี จึงคิดว่าผู้อื่นก็ทึ่มเหมือนตนเอง ด้วยเหตุนี้จึงชอบพร่ำบ่นใช่หรือไม่ หรือเป็นเพราะว่าคนแก่พออายุมากขึ้นก็จะค่อยๆ ขี้โมโหมากขึ้น จากนั้นไม่ว่าจะถูกจะผิด อีกฝ่ายเป็นผู้ใด ก็จะด่าไม่เลือกหน้า ขอเพียงตนเองยินดีก็พอเช่นนั้นหรือ”

น้ำเสียงของโม่อีเหรินแสดงความสงสัยไม่เข้าใจออกมาเต็มสองร้อยจากร้อยส่วน ทว่าคำพูดที่พูดออกมานั้นราวกับด่ามนุษย์ถ่านไปเต็มสองร้อยหลายประโยคแล้ว

ไป๋เหยามองฮูหยินน้อยอย่างเลื่อมใสอยู่เล็กน้อย

ชอบด่าคน ความจำไม่ดี ชอบบ่น นิสัยใจคอแย่ ไม่รู้ผิดชอบ ไม่แยกแยะถูกผิด ทำอะไรตามใจตนเอง นี่ก็คือคนแก่อายุมากที่ไร้เหตุผล

“นางเด็กหน้าเหม็นนี่พูดอะไร!” มนุษย์ถ่านร่างเตี้ยโมโหจนขมับเต้นตุบๆ คนก็แทบจะเต้นเร่าๆ ขึ้นมาเช่นกัน

“คนแก่อายุมากแล้วก็ควรบ่มเพาะกายใจให้มาก เอะอะก็ออกปากด่าคน พูดคำว่า ‘หน้าเหม็น’ จนติดปาก ไม่ดีต่อสุขภาพเลยจริงๆ” คำพูดของมนุษย์ถ่านร่างเตี้ยถูกโม่อีเหรินขยายความเป็นอีกความหมายแล้ว

มิหนำซ้ำพูดไปๆ โม่อีเหรินก็ถอนหายใจอีกครั้ง มองเขาด้วยท่าทางเห็นใจเหลือเกิน

“คนแก่สุขอนามัยไม่ดี สุขภาพร่างกายก็จะไม่ดี ดูจากแววตาดุร้าย สองแก้มตอบ พูดจาโหดร้ายก็รู้แล้วว่าท่านมิใช่คนดีอะไร จะเป็นคนชั่วทั้งทีดันทำตัวให้ผู้อื่นเห็นหน้าก็รู้ว่าท่านโหดเหี้ยมอำมหิต ใจร้ายใจดำ ชวนให้คนไม่อาจไม่ทอดถอนใจว่าอายุปูนนี้แล้วแค่เป็นคนชั่วยังเป็นได้ไม่ดี ล้มเหลวโดยแท้ ท่านยังจะทำอะไรได้อีก ยังจะมีประโยชน์อะไรอีก”

เฮ้อ…คนที่ไร้ค่าช่างน่าสงสารโดยแท้

มนุษย์ถ่านร่างเตี้ยโมโหจนพูดไม่ออกแล้ว กำลังจะระเบิดโทสะ มนุษย์ถ่านร่างสูงก็กดบ่าเขาเอาไว้

“แม่นางน้อยพูดจาเถรตรงถึงเพียงนี้ มิกลัวจะหาภัยใส่ตัวหรือ”

“ไม่เป็นไร ฟ้าถล่มลงมายังมีคนตัวสูงยันไว้” โม่อีเหรินทำท่าทางไร้เดียงสาไม่รู้ความ “เหมือนท่านปะไร สูงยิ่งนัก”

มนุษย์ถ่านร่างสูงมุมปากกระตุก “เจ้าคงไม่น่าจะคิดว่าข้าจะช่วยยันให้เจ้าหรอกกระมัง”

“แน่นอนว่าไม่ ไม่ใช่ญาติไม่ใช่มิตร ไม่มีสาเหตุ ข้าจะฝากความหวังเรื่องยันท้องฟ้าไว้ที่ท่านซึ่งตัวสูงได้อย่างไร” โม่อีเหรินคิดทึกทักพลางส่ายหน้า จากนั้นก็สำทับอีกประโยค “ทว่าถ้าฟ้าถล่มลงมาแล้วทับร่างท่านที่ตัวสูงกว่าก่อน ก็มิใช่เรื่องที่ข้าสามารถควบคุมได้จริงๆ”

แม่นางน้อยผู้นี้มีฝีมือยั่วโมโหคนเก่งอย่างที่คิดจริงๆ! มนุษย์ถ่านร่างสูงตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมายเพื่อไม่ให้ถูกทำให้โมโหตาย เนื่องจากยังไม่ทันพูดเรื่องเป็นการเป็นงานเลยสักคำ จึงหันไปหาไป๋เหยา

“เจ้าเป็นคนเกาะหุน และก็เป็นคนของสกุลไป่หลี่ ในเมื่อเจ้าออกมาได้ ก็ต้องเข้าไปได้เป็นแน่ ข้ารับรองได้ว่าขอแค่เจ้านำทางเข้าเกาะหุน พวกข้าจะไม่ทำร้ายเจ้าอีก”

ไป๋เหยาหัวเราะออกมาโดยไม่เกรงใจ “ทำร้ายคนจนปางตาย แล้วถึงมารับรองว่าจะไม่ทำร้าย ท่านคิดว่าข้าหลอกง่ายเหมือนเด็กสามขวบหรือไร ไม่ใช่สิ แม้แต่เด็กสามขวบก็ยังไม่มีทางหลอกได้ง่ายถึงเพียงนี้”

“อืม พูดได้ดี!” โม่อีเหรินปรบมือแสดงการชมเชยอย่างให้กำลังใจยิ่ง

“ยังต้องเรียนรู้จากฮูหยินน้อยอีกขอรับ” ไป๋เหยากล่าวตอบอย่างถ่อมตน มิกล้ารับคำชม

เขาตัดสินใจแล้วว่าจะตั้งใจศึกษา ‘คารม’ ของฮูหยินน้อย เริ่มตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

“ฮูหยินน้อย?” มนุษย์ถ่านร่างสูงที่เดิมทีกำลังจะมีโทสะได้ยินคำเรียกขานนี้ก็หันไปหาโม่อีเหรินทันควัน “เจ้าก็คือสตรีที่ยั่วยวนให้คุณชายจิงหงหลงใหลนางนั้นหรือ!”

ก่อนมาที่นี่พวกเขาล้วนเคยได้ยินว่าคุณชายจิงหงแข็งข้อกับคุณหนูเยียนเพราะสตรีนางหนึ่ง มิหนำซ้ำสตรีนางนี้ยังไม่เกรงใจต่อคุณหนูเยียนอย่างยิ่ง แม้แต่นายท่านจ้งก็ยังถูกทำให้โมโหจนหวิดจะเส้นเลือดในสมองแตก

“แน่นอนว่าไม่ใช่” โม่อีเหรินปฏิเสธเสียงแข็ง

ไป๋เหยาพลันตัวอ่อนยวบ ไม่จริงน่า ฮูหยินน้อยถึงกับปฏิเสธความสัมพันธ์กับประมุขน้อย นี่ดูท่าไม่ค่อยจะดีแล้ว…

“จริงหรือ” มนุษย์ถ่านร่างสูงไม่ใคร่เชื่อ

“ไม่จริงเพราะข้าไม่ได้ยั่วยวนจิงหง เป็นจิงหงมาชอบข้า บอกว่าจะแต่งงานกับข้าเอง” ลำดับความสำคัญในความสัมพันธ์นี้จำต้องให้ความกระจ่าง

ส่วนตัวนางคิดว่าตนเองไม่มีความสามารถยั่วยวนผู้อื่น และแน่นอนว่าไม่เคยมีความคิดอยากจะยั่วยวนบุรุษเช่นกัน

“…” มนุษย์ถ่านร่างสูงถูกทำให้สะอึก “หากแต่เจ้าก็ไม่ปฏิเสธว่าเจ้าเป็นสาเหตุที่ทำให้แม่ลูกอย่างคุณหนูเยียนกับคุณชายจิงหงผิดใจกลายเป็นศัตรูกันกระมัง”

“เฮ้อ…” โม่อีเหรินถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนพูดอย่างกลัดกลุ้มและเป็นทุกข์ยิ่ง “ช่วยไม่ได้ ความงามแต่กำเนิดยากสละทิ้ง เสน่ห์หญิงก็แรงเกินต้าน ข้าเองก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องเช่นนี้ ท่านพึงต้องรู้ว่าข้าเป็นคนใจกว้างมาก แม้แต่ท่านป้าถือดาบมาจะฆ่าข้า ข้าก็ยังไม่ได้ถือสาหาความนาง และก็ไม่ได้ถือดาบจะไปฆ่านางกลับเช่นกัน หากแต่จิงหงทนเห็นข้าได้รับความไม่เป็นธรรมไม่ได้ เขาจะโมโห ข้าก็จนปัญญาจะยับยั้ง” สุดท้ายยังทำน้ำเสียงเสียอกเสียใจ แสดงออกมาเต็มที่ว่านางพยายามสุดความสามารถแล้ว

มนุษย์ถ่านทั้งร่างสูงร่างเตี้ยได้ยินแล้วก็ล้วนถูกทำให้โมโหจนหน้าอกพองขึ้นพองลงพร้อมกัน

ด้านบุรุษสามคนบนฉลามเองก็มุมปากกระตุก หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

วาจานี้ฟังดูเหมือนกลัดกลุ้มทุกข์ใจหรือไร

ยังไม่หมด อาการเสียดายนั่นคืออะไร

“เจ้า…เจ้ามันตัวหายนะแท้ๆ เชียว!” มนุษย์ถ่านร่างเตี้ยบริภาษลั่น

“สามารถเป็นตัวหายนะได้ก็นับเป็นความสามารถ คนที่ไม่มีความสามารถเยี่ยงนี้เหมือนอย่างคนแก่อย่างท่าน อยากจะเป็นตัวหายนะก็ยังเป็นไม่ได้ ไม่ต้องเลื่อมใสข้าเกินไป และก็ไม่ต้องอิจฉาริษยาชิงชังข้าเกินไป” โม่อีเหรินโบกมือด้วยท่าทางถ่อมตนยิ่ง

“ใครจะไปเลื่อมใสใครจะไปอิจฉาริษยาเจ้า!” มนุษย์ถ่านร่างเตี้ยพูดลอดไรฟันออกมาทีละคำ แววตาที่มองโม่อีเหรินคล้ายว่าอยากจะตบตีนางให้ตายในฝ่ามือเดียว

“ท่านอย่างไรเล่า” โม่อีเหรินตอบอย่างฉะฉาน

มนุษย์ถ่านร่างเตี้ยถลึงมองนาง

“ดูแววตาในยามนี้ของท่านสิ มิใช่อิจฉาริษยาชิงชังเต็มแก่หรือไร ท่านพึงต้องรู้ว่ามิใช่ทุกคนจะสามารถมีหน้าตาน่ารักน่าชังจนชวนให้คนรักและมีบุคลิกนิสัยดีจนชวนให้คนเอ็นดูได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าข้าออกจะจิตใจดีถึงเพียงนี้ อ่อนโยนถึงเพียงนี้ นิสัยใจคอดีถึงเพียงนี้ ไม่เคยทำตัวดุร้ายใส่ใคร ส่วนพวกท่านนั้นหน้าตาดุร้ายมิใช่ความผิดของพวกท่าน นิสัยใจคอไม่ดีสามารถปรับปรุงกันได้ หากแต่การลงมือโหดเหี้ยม ใจดำอำมหิตคือความผิดของพวกท่าน รูปลักษณ์ภูมิฐาน แสร้งวางตัวดีมีคุณธรรม คือความจอมปลอมของพวกท่าน ถ้าแค่นี้ยังพอว่า ทว่าแม้แต่มารยาทผิวเผินพวกท่านกลับยังทำได้ไม่ดี บนใบหน้าเขียนคำว่า ‘ข้าไม่ใช่คนดี’ เอาไว้ นี่ช่าง…เฮ้อ…ทำให้คนอยากช่วยแก้ไขก็ยังหมดปัญญาโดยแท้”

“…” มนุษย์ถ่านร่างสูงร่างเตี้ยทั้งสองโมโหจนหมดแรงแล้ว

“พรืด…” บุรุษทั้งสามก็กลั้นขำจนปากกระตุกอยู่หน่อยๆ

โม่อีเหรินพูดต่ออีกว่า “ทว่าการที่สามารถบอกผู้อื่นอย่างชัดแจ้งได้ว่าพวกท่านสองคนเป็นคนชั่ว ก็นับว่าพวกท่านจริงใจมากพอ ดังนั้นข้าที่มีจิตใจดีจึงยังคงช่วยพวกท่านคิดหาวิธีมาทำให้พวกท่านมีโอกาสถูกคนอิจฉาริษยาชิงชังและเห็นเป็นตัวหายนะได้เช่นเดียวกัน”

มนุษย์ถ่านร่างสูงเอ่ย “ใครอยากเป็นตัวหายนะ!”

มนุษย์ถ่านร่างเตี้ยพูดขึ้นพร้อมกัน “วิธีอะไร”

“พรืด…” บุรุษทั้งสามกุมท้อง หมดคำพูดโดยสิ้นเชิงแล้ว

โม่อีเหรินยิ้มหวานให้มนุษย์ถ่านทั้งสอง รอยยิ้มงามเจิดจ้าจนหวิดจะทำให้คนทั้งสองตาบอด จากนั้นก็กล่าวอย่างแช่มช้า

“ก็คือ…ไปเกิดใหม่”

บทที่ 10

บรรยากาศเปลี่ยนแปลงในบัดดล

มนุษย์ถ่านร่างสูงร่างเตี้ยทั้งสองใจหายวาบในทันใด

โม่อีเหรินส่งสัญญาณบอกให้เหล่าพี่ชายไม่ต้องทำอะไร นางจะลงมือเอง

“เขี้ยวเงิน เซิ่น ตาแก่คนเตี้ยมอบให้พวกเจ้า จะทำให้เขาเจ็บปวดอย่างไรก็ทำ ย่ำยีได้ตามสบาย!” นางพูดจบ หนึ่งคนสองสัตว์ก็ทะยานตัวขึ้นกลางอากาศพร้อมกัน

“วู้…”

“โฮก…”

สัตว์ทั้งสองตัวใหญ่ขึ้น อีกทั้งส่งดาบวายุและลูกไฟไปทักทายโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

“นี่มัน…” มนุษย์ถ่านร่างเตี้ยอึ้งงัน ก่อนจะหลบฉากในทันที หากแต่เขี้ยวเงินกับเซิ่นไล่ตามติดเขาไม่ปล่อย ดาบวายุและลูกไฟซัดตรงใส่เขาอย่างไม่ขาดสาย ทำให้มนุษย์ถ่านร่างเตี้ยไม่มีแม้แต่โอกาสจะโต้กลับ ทำได้เพียงง่วนกับการหนีเอาชีวิตรอด

โม่อีเหรินปรากฏตัวเบื้องหน้ามนุษย์ถ่านร่างสูง หิมะแดงมาอยู่ในมือนาง คมกระบี่ชี้ไปที่มนุษย์ถ่านร่างสูงผู้นั้น

“เจ้าสามารถสั่งสัตว์วิเศษพวกนี้ได้หรือ” แม้มนุษย์ถ่านร่างสูงจะถูกทำให้โมโหจนเส้นเลือดในสมองเกือบจะแตก แต่ยังคงสังเกตเห็นเรื่องนี้

“ได้แล้วอย่างไร ไม่ได้แล้วอย่างไร ท่านจะอิจฉาริษยาชิงชังอีกหรือ”

คำตอบของโม่อีเหรินทำให้บุรุษทั้งสามที่ด้านล่างหวิดจะลื่นล้ม ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเยี่ยงนี้ โม่อีเหรินยังกล่าววาจาเช่นนี้ออกมาได้อีกอย่างไร

ช่าง…ไม่รู้ว่าจะสรรหาคำใดมาบรรยายแล้ว

“เจ้า…” มนุษย์ถ่านร่างสูงพยายามเตือนตนเองให้ใจเย็น ไม่อาจถูกเด็กสาวนางหนึ่งทำให้โมโหจนสูญเสียสติสัมปชัญญะ “ได้ หรือว่าไม่ได้”

“ได้หรือไม่ได้ท่านก็เห็นอยู่แล้ว ข้ายังจะพูดอะไรได้อีก” โม่อีเหรินตอบอย่างบริสุทธิ์ไร้ความผิด

“…” หากยังพูดต่อไป ไม่ต้องถูกใครอัดจนต้องไปเกิดใหม่ เขาก็สามารถโมโหจนไปเกิดใหม่ได้เองแล้ว…

โม่อีเหรินยกมุมปากขึ้น ยิ้มพลางย่างก้าวออกไป จากนั้นคนก็…หายตัวไป!

มนุษย์ถ่านร่างสูงตกใจ เพิ่มความตื่นตัวในทันใด

ด้านหลังมีคลื่นพลัง มนุษย์ถ่านร่างสูงใจหายวาบ ผลักฝ่ามือไปด้านหลังพร้อมกับหมุนตัวไปทันที

แต่กลับมองเห็นเพียงชายเสื้อปัดผ่าน คนก็หายไป

คลื่นพลังอยู่ด้านขวา มนุษย์ถ่านร่างสูงโจมตีอีกครั้ง แต่ก็พลาดเป้าอีกครั้ง

คลื่นพลังอยู่ข้างหลังทางซ้าย ทว่าโจมตีเจอเพียงอากาศ

ข้างหน้าทางซ้าย…

การตอบสนองและการโจมตีสิบกว่าครั้งติดต่อกัน แต่ละครั้งล้วนเจอเพียงความว่างเปล่า อารมณ์ของมนุษย์ถ่านร่างสูงตึงเครียดถึงขีดสุด ลมหายใจถี่กระชั้น

คนทั้งสามที่ด้านล่างซึ่งกำลังมองดูอยู่ก็กลั้นหายใจ ไม่กล้ากะพริบตาเช่นกัน

หากมิใช่น้องสาวส่งสัญญาณบอกพวกเขาว่าอย่าลงมือ พวกเขาคงเข้าไปสู้นานแล้ว

ทว่าฉลามทั้งสองตัวกลับเล็งโอกาส พร้อมกับที่มนุษย์ถ่านร่างสูงโจมตีอีกครั้ง พวกมันก็อ้าปากพ่นศรน้ำแข็งนับไม่ถ้วนขึ้นไป

มนุษย์ถ่านร่างสูงสังเกตเห็นในทันใด หากแต่เขากำลังออกฝ่ามือจึงหมดหนทางจะหลบได้ทันเวลา

เสียงฟึ่บๆ ดังขึ้นหลายเสียง

“พวกเจ้าถึงกับลอบโจมตี…อั้ก!”

หน้าท้องเจ็บปวดปานถูกไฟเผา ในขณะที่บนตัวก็ถูกศรน้ำแข็งยิงถูกหลายดอก เลือดสดๆ ไหลพราก เขาก้มหน้าลงอย่างช้าๆ มองเห็นว่าบริเวณจุดตันเถียนถูกกระบี่เล่มหนึ่งแทง บนกระบี่มีเปลวเพลิงร้อนระอุลุกอยู่รำไร

แม้จะถูกลอบโจมตี หากแต่เขากลับไม่ได้รู้สึกเลยว่านางเข้ามาใกล้ นางมาถึงข้างกายเขาตั้งแต่เมื่อไรกันแน่ มิหนำซ้ำยังเป็นตรงหน้าเสียด้วย!

เขาเงยหน้าขึ้นมาอย่างเชื่องช้าอีกครั้ง

“เงามายาแผดเผา” โม่อีเหรินยืนอยู่เบื้องหน้าเขา ท่องกระบวนท่ากระบี่ของนางเบาๆ

นี่เป็นครั้งแรกที่นางสำแดงฝีมือหลังจากเลื่อนขั้น แม้จะไม่มีพลังแก่นแท้ที่มุทะลุดุดัน แต่อาศัยแค่กระบวนท่า สำหรับนางแล้วการรับมือยอดราชันยุทธ์หาได้มีความกดดันไม่

วิชายุทธ์ของท่านตาแข็งแกร่งที่สุดอย่างที่คิดจริงๆ

หลังจากนั้นโม่อีเหรินก็ชักหิมะแดงออกมาก่อนผลุบตัวผ่าน กระเป๋าวิเศษบนตัวมนุษย์ถ่านร่างสูงก็เข้ามาอยู่ในมือ นางโยนมันลงไปให้ฉู่เซวียนอั๋ง

“อ๊าก…” มนุษย์ถ่านร่างสูงกดบาดแผลบนจุดตันเถียนไว้ ความเจ็บปวดจากการถูกไฟเผาพลันแผ่ไปทั่วร่างกาย เจ็บจนเขาต้องร้องลั่นออกมาอย่างสุดกลั้น

เพลิงโชติช่วงเริ่มเผาลามจากจุดตันเถียนของเขาไปทั่วทั้งตัวเขาอย่างรวดเร็ว เจ็บจนเขาสีหน้าบิดเบี้ยว แต่กลับหยุดยั้งเพลิงโชติช่วงที่เผาร่างไม่ได้

กลับกันการแผดเผาของเปลวเพลิงกลับเร็วเป็นที่สุด ชั่วสองพริบตามนุษย์ถ่านร่างสูงก็ถูกเผาจนไม่เหลือแม้แต่เถ้ากระดูกแล้ว

“ลูกพี่!” บนตัวมนุษย์ถ่านร่างเตี้ยก็มีบาดแผลเต็มไปหมดเช่นกัน เขามองภาพเหตุการณ์นี้อย่างตาแทบถลน

เขี้ยวเงินกลับเคลื่อนไหวร่างฉับพลันในเสี้ยวพริบตาที่เขาเสียสมาธิ ทำให้เกิดพายุหอบม้วนมนุษย์ถ่านร่างเตี้ยไว้

“อ๊าก…” ในพายุเต็มไปด้วยดาบวายุ บาดผิวมนุษย์ถ่านร่างเตี้ยจนเลือดพุ่ง

“โฮก!” ‘เลือดจะทำให้ขนข้าสกปรก!’

เซิ่นพ่นลูกไฟขนาดใหญ่ลูกหนึ่งเข้าไปในพายุหอบนั้นด้วยความไม่พอใจ ลูกไฟถูกลมพัดกระจาย เผาร่างมนุษย์ถ่านร่างเตี้ยตามดาบวายุ

“ไม่นะ! อ๊าก…”

ทั้งเจ็บทั้งแสบ ทุกแผลล้วนถูกไฟเผาซ้ำแล้วซ้ำเล่า มนุษย์ถ่านร่างเตี้ยร้องโหยหวน จากนั้นเซิ่นก็พ่นลูกไฟไปอีกลูก เกิดเสียงดังตูม มนุษย์ถ่านร่างเตี้ยถูกเผาจนไม่เหลือแม้แต่เถ้าในพริบตาเดียวดุจเดียวกับมนุษย์ถ่านร่างสูง

กระเป๋าวิเศษใบหนึ่งตกลงมาพร้อมเถ้าเกรอะกรัง เขี้ยวเงินสะบัดเท้าทีหนึ่ง เตะมันไปให้ฉู่เซวียนฉี

ฉู่เซวียนฉีรับไว้อย่างอึ้งงัน

เขี้ยวเงินกับเซิ่นหดร่างลงอีกครั้ง ก่อนจะเกาะบนบ่าโม่อีเหรินพลางออดอ้อนพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย แสดงท่าทีว่าพวกมันตั้งใจสู้ยิ่ง รวมทั้งปาดาบวายุและลูกไฟอย่างไรให้เกิดความเจ็บปวด ไล่ล่าให้เขาหนีทุลักทุเลมากกว่าเดิมอย่างไร ทำให้มนุษย์ถ่านร่างเตี้ยเจ็บปวดเข็ดหลาบยากจะลืมเลือนในชาติหน้าอย่างไร

แม้ต่อมามนุษย์ถ่านร่างเตี้ยจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับความเข็ดหลาบยิ่งกว่าเดิมก็ตามที

“ทำได้ดีมาก” โม่อีเหรินพอใจอย่างยิ่ง นางค่อยๆ ก้าวกลับลงมาบนหลังฉลามอย่างแช่มช้า

ฉลามทั้งสองก็แย่งกันส่งเสียงทันที

“อั๋ง อั๋งๆ” ‘พวกข้าก็ลอบโจมตีได้ดีกระมัง’

“อืม ยอดเยี่ยมมาก” โม่อีเหรินชมพวกมันเป็นการใหญ่ พร้อมทั้งป้อนโอสถวิเศษให้พวกมันกิน ฉลามทั้งสองดีใจจนแทบจะสะบัดหางบินขึ้นฟ้า แน่นอนว่านางมิได้ลืมสองตัวที่อยู่บนไหล่ ป้อนให้เพิ่มสองสามเม็ด

เขี้ยวเงินกับเซิ่นแสดงท่าทางว่าพอใจมาก

“โม่อีเหริน ทำเช่นนี้จะดีหรือ”

อันที่ฉู่เซวียนอั๋งกับฉู่เซวียนฉีรู้สึกยุ่งยากใจยิ่ง

น้องสาวของพวกเขา สาวน้อยโฉมงามผู้น่ารักบอบบาง ยามอารมณ์ไม่ดีสามารถพูดให้คนโมโหจนกระอักเลือดตายทั้งเป็นได้ ยามวิวาทสามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียหน้าไปสิ้น หากแต่พอลงมือก็เอาถึงตาย…

บนโลกนี้แบ่งแยกแข็งแกร่งและอ่อนแอชัดเจน มีเพียงผู้แข็งแกร่งที่สามารถได้รับความเคารพยกย่อง พวกเขาเข้าใจ หากแต่ได้เห็นน้องสาวสังหารคนในเวลาเพียงประเดี๋ยวเดียวเช่นนี้…ก็ยังคงทำให้พวกเขาสับสนอยู่สักหน่อย อารมณ์จึงว้าวุ่นถึงขีดสุด

อนึ่ง สองคนนี้มาจากดินแดนแรกนภา สภาพการณ์ที่นั่นเป็นอย่างไร พวกเขาไม่เข้าใจโดยสิ้นเชิง นางสังหารคนโดยพลการ จะเสี่ยงไปหน่อยหรือไม่

แม้ว่าความจริงสิ่งที่พวกเขาอยากพูดที่สุดก็คือพวกเขาสังหารเอง ไม่ต้องรบกวนให้น้องสาวต้องลำบาก

“ผู้อื่นถีบประตูบ้านเราพังแล้ว และยังปล้นทรัพย์สินสิ่งของไปนับไม่ถ้วน ข้ายังต้องห่วงว่าประตูบ้านเขาจะต้านทานการเตะกลับสองทีของข้าไหวหรือไม่อีกหรือ”

“…” น้องสาวผู้นุ่มนิ่มน่ารักใคร่ไปอยู่ที่ใดแล้ว

“ฮูหยินน้อยองอาจผึ่งผายอย่างมากขอรับ” ไป๋เหยาแสดงความเทิดทูนด้วยสีหน้าจริงจัง

“…” สองพี่น้องหมดคำพูดแล้ว

“ท่านพี่ กันไว้ดีกว่าแก้นะเจ้าคะ!” โม่อีเหรินยิ้มหวานยิ่ง แต่ความหมายในวาจากลับโหดร้ายทารุณ

จัดการหอซือมิ่งไปแล้วมิได้หมายความว่าใต้หล้าจะสงบสุข ต่อให้ใต้หล้าสงบสุขก็มิได้หมายความว่าโลกนี้จะไม่มีคนฟั่นเฟือนและไม่รู้กาลเทศะแล้ว

“พึงต้องรู้ว่าไม่ว่าอยู่ที่ใด สิ่งที่ไม่ขาดแคลนที่สุดก็คือคนที่คิดว่าตนเองแน่ และคนที่โอหังฟั่นเฟือนชอบหาเรื่องผู้อื่น สำหรับคนพรรค์นี้ การยอมอ่อนข้อให้เป็นเรื่องเกินจำเป็น กำปั้นแข็งๆ ถึงจะดีที่สุด!”

“…” สองพี่น้องหมดคำพูดอีกครั้ง ท่านตาสอนน้องสาวได้…ห้าวหาญเกินไปแล้ว!

โม่อีเหรินลอบหัวเราะ อันที่จริงเหตุผลเหล่านี้พวกพี่ชายล้วนเข้าใจ เพียงแต่พวกเขาชินกับการปกป้องนางเกินไป ถึงได้ไม่แสดงด้านเช่นนี้ออกมาต่อหน้านางโดยไม่รู้ตัว

ความจริงนางก็ไม่ได้ชอบวิธีการทำนองนี้นัก แต่ออกมาแล้วก็ไม่อาจทำให้ท่านตาขายหน้า ยิ่งไม่อาจยอมให้ผู้อื่นมาเหยียบย่ำตนเองตามอำเภอใจได้

ดังนั้นบัดนี้ก็นับว่าเป็นการทำให้พวกพี่ชายเคยชินสักหน่อย หากจำเป็น นางก็ไม่ถือสาที่จะเปลี่ยนร่างจากแมวบ้านเป็นพยัคฆ์จอมอันธพาล

เดิมทีด้วยรูปแบบของนาง ไม่มีทางสังหารคนตั้งแต่มาถึง ทว่าพอเห็นมนุษย์ถ่านสองคนนั้นนางก็คล้ายจะรู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือด อีกทั้งดูจากพฤติการณ์ของพวกเขาก็เดาได้ไม่ยากว่าถ้าวันนี้พวกนางมีพลังแก่นแท้ไม่ได้เรื่อง จุดจบย่อมจะไม่ได้ดีไปกว่าไป๋เหยาที่ถูกทำลายพลังวัตรเสียเท่าไร

อย่านึกว่านางจะไม่สังเกตเห็นว่าทั้งสอง ‘ตาเป็นประกาย’ ขณะมองเห็นฉลาม

มิหนำซ้ำที่สำคัญที่สุดคือตอนนี้นางอารมณ์ไม่ดีอย่างยิ่ง

แม้จะยังไม่ได้แต่งงานกัน แต่ไป่หลี่จิงหงเป็นบุรุษของนาง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่นางยอมรับ บ้านของบุรุษของตนถูกคนทำลายแล้ว ยังให้นางก้าวไปประจบเอาใจอีกหรือ ฝันไปเถอะ!

นางมีแต่จะอัดพวกเขาให้แบนก่อนแล้วค่อยมาว่ากันต่างหาก

“ไป๋เหยา ตอนนี้พวกเราควรเข้าไปจากที่ใด” เกาะทั้งเกาะถูกครอบพิทักษ์ครอบเอาไว้หมดแล้ว

“จากใต้ทะเล…”

ใต้ทะเล?!

ดียิ่ง เคล็ดวิชาเคลื่อนที่ใต้น้ำและน้ำวิเศษที่หลอมกลั่นจากไข่มุกได้เวลาออกโรง

ไป๋เหยารับหน้าที่บอกทางโดยให้พี่น้องสกุลฉู่ผลัดกันนำทาง รวมกับพวกโม่อีเหรินทั้งสี่ หลังจากดำลงใต้ทะเลนอกเกาะหุนก็ต้องผ่านถ้ำที่วกไปวนมาแล้วว่ายขึ้นด้านบน สุดท้ายก็มาโผล่ในทะเลสาบเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตาแห่งหนึ่งบริเวณชายฝั่งทิศใต้ของเกาะ

ไป๋เหยาได้เข้าใจเป็นครั้งแรกว่าน้ำวิเศษที่หลอมกลั่นจากไข่มุกมีประโยชน์มากเพียงไร นี่เป็นยาดีที่ต้องมีเวลาดำน้ำนานๆ

โม่อีเหรินเห็นไป๋เหยาดวงตาแวววาว จึงให้เขาไปขวดหนึ่ง “ให้เจ้า ทว่านี่เป็นส่วนของจิงหง”

ไป๋เหยาเดิมทีดีใจยิ่ง แต่ครั้นได้ยินวาจานี้ มือที่จับขวดหยกก็แข็งค้างทันควัน นึกถึงใบหน้าภูเขาน้ำแข็งของประมุขน้อย…

ฮูหยินน้อย ท่านประทุษร้ายต่อข้ากระมัง ท่านประทุษร้ายต่อข้าแล้ว ฮือ…

“เอาล่ะ เก็บเอาไว้ พวกเราไปกันเถอะ ไป๋เหยา นำทางต่อ”

“ขอรับฮูหยินน้อย” ไป๋เหยาเดินนำหน้าสุด

ทะเลสาบเล็กอยู่ในป่าทึบแห่งหนึ่งทางทิศใต้สุด ปกติแทบไม่มีร่องรอยผู้คน ขณะเดินออกจากป่ามาถึงบ้านเรือนของคนบนเกาะ คนทั้งสี่ก็ล้วนหยุดฝีเท้า

บนเกาะหุนมีสภาพราวกับสนามรบหลังสงคราม เงียบสงบ วังเวง และมีกลิ่นคาวเลือดลอยมาตามลม

ถึงจะอยู่ห่างจากใจกลางเกาะมากถึงเพียงนี้ ก็ยังคงได้รับผลกระทบเหล่านี้

การต่อสู้ของยอดราชันยุทธ์หาได้ไม่เป็นที่สะดุดตาเหมือนอย่างการต่อสู้ของโม่อีเหรินกับมนุษย์ถ่านร่างสูงบนทะเลไม่

ขณะศึกใหญ่ที่เมืองฝูเฉิง ฝ่ามือเดียวของนักยุทธ์ขั้นฟ้าผู้หนึ่งก็ทำลายห้องโถงใหญ่ห้องหนึ่งได้แล้ว หากสู้กันดุเดือดขึ้นหน่อย ทำให้อาคารบ้านเรือนถล่มลงมาก็มิใช่เรื่องแปลก

การโจมตีของราชันยุทธ์เทียบกับการโจมตีของนักยุทธ์ขั้นฟ้าก็ต่างกันราวฟ้ากับดิน ไม่ว่าพลานุภาพหรือพลังทำลายล้างที่สำแดงออกมา ทุกระดับที่ห่างกันก็หมายถึงความแตกต่างเป็นเท่าตัวขึ้นไป

ยิ่งเดินไปใกล้ใจกลางเกาะ อาคารและบ้านเรือนก็ยิ่งหนาแน่น กลิ่นคาวเลือดก็ยิ่งคละคลุ้ง

มองเห็นคนเจ็บ คนตาย และคนขอความช่วยเหลือตลอดทางที่เดินผ่าน ล้วนมิได้ทำให้พวกเขาหยุดฝีเท้าลง

คนตายถูกหามไปยังลานกว้าง ส่วนคนเจ็บก็ถูกจัดให้อยู่บริเวณใกล้ๆ พยายามให้การรักษาอย่างดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

สีหน้าของไป๋เหยายิ่งเครียดขมึง

ใจกลางเกาะเดิมทีเป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุด ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด และยิ่งใหญ่ที่สุดของทั้งเกาะหุน ทว่าบัดนี้มองไม่เห็นแท่นประลองยุทธ์ที่เดิมทีเป็นแท่นสูงขนาดมโหฬารและเป็นสัญลักษณ์ชี้นำทางจิตใจในการฝึกบำเพ็ญของชาวเกาะหุนแล้ว และก็มองไม่เห็นลานกว้างที่เดิมทีก่อขึ้นจากศิลาและมีขนาดเพียงพอจะรองรับคนได้เป็นหมื่นคนแล้วเช่นกัน

ทอดสายตามองไปล้วนเห็นเพียงซากปรักหักพัง

แม้พี่น้องสกุลฉู่จะเพิ่งเคยมาเกาะหุนเป็นหนแรก แต่ล้วนเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเกาะหุนมาไม่มากก็น้อย

ในข่าวเหล่านั้นต่างลือกันว่าเกาะหุนอุดมบริบูรณ์ เจริญรุ่งเรือง พึ่งพาตนเองได้ ชาวเกาะหุนไม่ว่าคนใด มายังดินแดนเทพยุทธ์แล้วล้วนเป็นยอดฝีมือที่หาได้ยากทั้งสิ้น แม้จะไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจ แต่บุคลิกและความรู้ความสามารถก็เหนือผู้อื่นโดยธรรมชาติ

ทว่าเกาะหุนในยามนี้กลับดูราวกับเป็นเขตประสบภัยหลังมหันตภัย

ไม่ต้องกล่าวถึงความอุดมบริบูรณ์และความเจริญรุ่งเรือง เกรงว่าแม้แต่ความสงบร่มเย็นและความอบอุ่นอิ่มท้องก็ยังหาได้ยากยิ่ง

ไป๋เหยามีสีหน้าเคร่งเครียดโดยตลอด มุมปากเม้มแน่น ดวงตากวาดค้นหาไปรอบๆ ไม่หยุด ในที่สุดก็มองเห็นเงาร่างที่คุ้นตาสายหนึ่ง “ชื่อเหยา!”

ชื่อเหยาที่กำลังจัดการช่วยเหลือคนเจ็บหันหลังกลับมาทันที

“ไป๋เหยา ฮูหยินน้อย…” ชื่อเหยาเบ้าตาเรื่อแดง ท่าน…มาช้าไปแล้ว

“จิงหงเล่า”

“ประมุขน้อย…ถูกไป่หลี่เยียนจับตัวไป หายตัวไปในค่ายกลส่งตัวแล้วขอรับ”

นึกถึงภาพเหตุการณ์นั้น ชื่อเหยาก็แค้นใจในความไม่ได้เรื่องของตนเองยิ่งนัก แต่เรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าในยามนี้คือ… “ฮูหยินน้อย ขอท่านโปรดช่วยท่านประมุขด้วยขอรับ!”

“เจ้านำทางไป” โม่อีเหรินพยักหน้า

ชื่อเหยาพาพวกนางมาถึงหุบเขาอันเป็นที่พำนักของประมุขเกาะ

เกาะหุนมีเนื้อที่มาก มีผู้อยู่อาศัยนับแสน ที่ราบกินพื้นที่ครึ่งหนึ่ง อีกสามส่วนเป็นป่าเขา และสองส่วนที่เหลือเป็นภูเขาไฟและหนองน้ำ

ประมุขเกาะหุนทุกรุ่นล้วนพำนักในหุบเขาแห่งหนึ่งใจกลางเกาะเยื้องไปทางด้านขวา นอกจากเรือนพำนักที่มองเห็นแล้ว ยังมีเขตลี้ลับที่ถูกซ่อนเอาไว้อีกด้วย

“…วันนั้นข้ากับชิงเหยาเฝ้าพิทักษ์เขตลี้ลับอยู่ ไป่หลี่เยียนพายอดฝีมือระดับยอดราชันยุทธ์สองคนบุกเข้ามา พวกข้าสองคนกับเฮยเหยาที่รุดกลับมาพยายามต้านทานอย่างสุดกำลัง แต่ยังคงปกป้องประมุขน้อยให้ดีไม่ได้…”

ความสามารถของพวกเขาสามคนรวมกันยังคงรั้งยอดราชันยุทธ์ได้คนหนึ่ง ส่วนยอดราชันยุทธ์อีกคนถูกประมุขน้อย…วางยาพิษฆ่าตายขณะหมายใจจะจับตัวประมุขน้อยไป

แม้แต่ไป่หลี่เยียนก็ถูกประมุขน้อยฟาดไปหนึ่งฝ่ามือเช่นกัน เพียงแต่อาการพิษที่ประมุขน้อยระงับให้คงที่ได้ด้วยความยากลำบากกลับกำเริบขึ้นมาเพราะฝ่ามือนี้ ประมุขน้อยจึงได้หมดกำลังจะต่อต้าน ถูกไป่หลี่เยียนพาตัวไป แล้วยังถูกใช้เลือดเปิดกลไกลับ

ต่อมาพวกเขาถึงได้รู้ว่าในกลไกนั้นซ่อนค่ายกลส่งตัวเอาไว้

ครั้นท่านประมุขไล่ตามมาถึง ไป่หลี่เยียนก็ได้เปิดการทำงานค่ายกลส่งตัวแล้ว พวกเขามองเห็นเพียงภาพประมุขน้อยหายตัวไปต่อหน้าต่อตา

ท่านประมุขกระอักเลือดออกมาตรงนั้น อาการจากการใช้วิชาลับกำเริบในทันที ผมหงอกและใบหน้าแก่ชราลงในชั่วพริบตา

พวกเขากับพวกสี่อวี่ซึ่งเป็นองครักษ์ของท่านประมุขได้พบกันจึงได้รู้ว่าท่านประมุขถึงกับสังหารยอดราชันยุทธ์ไปห้าคนติดต่อกันด้วยตัวคนเดียว รวมถึงคนที่ถูกพวกเขาเหนี่ยวรั้งตัวไว้ด้วย

ประมุขน้อยหายตัวไป แม้วิกฤตภายในเกาะจะถูกคลี่คลายแล้ว แต่เกาะหุนเกิดการบาดเจ็บล้มตายมหาศาล ท่านประมุขก็บาดเจ็บสาหัส ซ้ำนอกเกาะยังมียอดราชันยุทธ์จ้องตะครุบเหยื่ออยู่อีกสองคน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าปิดการทำงานค่ายกลพิทักษ์เกาะ

อาการบาดเจ็บของท่านประมุข พวกเขาเองก็ไม่มีปัญญาจะรักษา ได้เพียงทำตามคำสั่งของท่านประมุข รักษาคนเจ็บ สะสางทุกอย่างบนเกาะหุน และฝังศพคนตายก่อน

“ชื่อเหยา มนุษย์ถ่านสองคนที่ข้างนอกพวกเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลแล้ว ก่อนที่พวกข้าจะกลับมาถึง ฮูหยินน้อยได้…จัดการไปเรียบร้อยแล้ว” นึกถึงแววตาไม่อยากเชื่อของมนุษย์ถ่านร่างสูงก่อนตาย ไป๋เหยาทางหนึ่งรู้สึกสะใจ แต่พร้อมกันนั้นก็ยุ่งยากใจยิ่งเช่นกัน

ทั้งๆ ที่มีฐานะเป็นองครักษ์ แต่คราวนี้พวกเขาสี่คนสอบไม่ผ่านจริงๆ เรื่องนี้ทำให้ไป๋เหยายึดเป็นบทเรียน ทำให้หลังจากนี้เขามุมานะฝึกบำเพ็ญยิ่งกว่าใคร จนเลื่อนขั้นเร็วกว่าอีกสามคน

“จัดการเรียบร้อยแล้ว?!” ชื่อเหยาตกใจลืมตาโพลง จากนั้นก็มองไปยังฮูหยินน้อยอย่างรวดเร็ว

ฮูหยินน้อยดูไม่ได้อ่อนแรงหรือมีท่าทางเหมือนเพิ่งผ่านศึกใหญ่มาแม้แต่น้อย นั่นก็หมายความว่าฮูหยินน้อยจัดการคลี่คลายได้อย่างง่ายดายสบายแรง

ยอดราชันยุทธ์จัดการได้ง่ายนักหรือ ชื่อเหยาสับสนอยู่เล็กน้อย…

ทว่าต่อให้ในสมองสับสนยิ่ง ชื่อเหยาก็มิได้ลืมความเร็วฝีเท้า นำพาพวกโม่อีเหรินมาถึงหน้าเรือนไผ่หลังหนึ่งในหุบเขา

สิ่งที่มองเห็นในแวบแรกมิใช่เรือนไผ่สร้างได้ดูบริสุทธิ์เหนือโลกีย์มากเพียงไร แต่เป็นเฮยอวี่ ไป๋อวี่ ชิงอวี่ ชื่ออวี่ ทั้งสี่อวี่ที่ยืนเป็นทวารบาลเฝ้าประตูอยู่

นี่คือองครักษ์ประจำตัวของไป่หลี่จิ้งหย่วน

โม่อีเหรินเคยพบเฮยอวี่ แต่ไม่เคยพบคนที่เหลือ

ด้านสี่อวี่พอเห็นคนแปลกหน้าก็แสดงแววตาระแวดระวังออกมาทันที ต่อให้เป็นคนที่ชื่อเหยาพามาก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะวางใจโดยสิ้นเชิง

“ท่านนี้…ก็คือคู่หมั้นของประมุขน้อย คุณหนูโม่อีเหริน” ชื่อเหยากล่าวแนะนำ

ที่ปกติสี่เหยาเรียกนางว่า ‘ฮูหยินน้อย’ นั่นเป็นเพราะประมุขน้อยให้การยอมรับ ทว่าก่อนจะได้แต่งงานกันอย่างแท้จริง อยู่ต่อหน้าผู้อื่นจึงยังคงใช้คำว่า ‘คู่หมั้น’

สี่อวี่สบตากันก่อนเฮยอวี่จะเอ่ยปากถาม

“เหตุใดคุณหนูโม่ถึงมาที่นี่” น้ำเสียงไม่สนิทชิดเชื้อ แต่ก็ไม่ไร้มารยาท

“ประมุขน้อยสั่งให้ข้าพาคุณหนูมา” ไป๋เหยาตอบ

สี่อวี่เงียบไป ประมุขน้อยไม่อยู่แล้ว พานางมา…จะมีประโยชน์อะไร

ยามนี้เองในเรือนไผ่กลับมีเสียงหนึ่งดังออกมา

“ไป๋เหยา เชิญคุณหนูโม่เข้ามา”

“ขอรับ ท่านประมุข” ไป๋เหยาผลักประตูเปิด แล้วเชิญโม่อีเหรินเข้าไป

“สี่อวี่ พวกเจ้าไปจัดการงานบนเกาะ ให้ชื่อเหยาเฝ้าประตูไว้ก็พอแล้ว” ไป่หลี่จิ้งหย่วนสั่ง

“ขอรับท่านประมุข” สี่อวี่จากไปตามคำสั่ง

“ท่านพี่ พวกท่านรอข้าตรงนี้นะเจ้าคะ” โม่อีเหรินเองก็กล่าว

“ระวังตัวด้วย” สองพี่น้องพยักหน้า เฝ้าประตูกับชื่อเหยา เพียงแต่ตำแหน่งที่ยืนกระเถิบไปเล็กน้อย ไม่ให้คนเห็นแวบแรกนึกว่าเป็นคนเฝ้าประตู

ครั้นโม่อีเหรินเข้าเรือนมา สิ่งที่มองเห็นคือโต๊ะเก้าอี้และของประดับตกแต่งอันเรียบง่าย ไม่มีการประดับประดาที่เกินจำเป็น หลังตามไป๋เหยาเข้ามาในห้องส่วนในถึงได้มองเห็นบุรุษผมขาว เครื่องหน้าละม้ายคล้ายไป่หลี่จิงหง แต่หน้าตากลับดูมีอายุราวห้าหกสิบปีที่เอนตัวพิงหัวเตียงอยู่

พลังชีวิตถดถอย ระดับขั้นยุทธ์ก็เสื่อมถอย ใบหน้าปรากฏลักษณะชราภาพ มีเพียงแววตาที่เย็นชาหนักแน่น ยากจะสั่นคลอน

นี่คือบิดาของไป่หลี่จิงหง บุรุษผู้แข็งกร้าวเป็นเอกเทศและไม่เกรงกลัวฟ้าดินที่อบรมสั่งสอนไป่หลี่จิงหงจนกลายเป็นมีนิสัยเหมือนภูเขาน้ำแข็งและมีพลังแก่นแท้ยากจะประเมิน

เพื่อบุตรชายเพียงคนเดียว เขาไม่เสียดายที่จะเอาชีวิตเข้าสู้ ถึงตนเองจะกลายมามีสภาพเยี่ยงปัจจุบัน ก็มิได้นึกเสียใจภายหลัง

พร้อมกับที่โม่อีเหรินมองไป่หลี่จิ้งหย่วน ไป่หลี่จิ้งหย่วนเองก็มองนางเช่นกัน

สาวน้อยตรงหน้าดูมีอายุราวสิบห้าสิบหก มีเรือนผมสีดำขลับยาวกรอมข้อเท้า ถักเป็นเปียยาวสองแถว แววตาสุกใส ขาวดำแยกชัด ผิวพรรณขาวผ่อง เครื่องหน้าประณีตบรรจง ในสีหน้าอันงดงามนุ่มนวลแฝงด้วยความน่ารักใสซื่อบริสุทธิ์จริงใจ แม้ว่าอายุจะทำให้นางยังดูมีบุคลิกฉอเลาะของเด็กสาวที่ยังโตไม่เต็มวัย แต่รูปลักษณ์ภายนอกเช่นนี้ก็เพียงพอจะทำให้คนตกตะลึงในความงามแล้ว

และแววตาสุกใสไร้ความกลัวของนางก็ได้แสดงออกมารางๆ แล้วว่าในอุปนิสัยนางมีด้านที่แข็งกร้าวอยู่ ทว่าบุคลิกลักษณะที่นางแสดงออกมากลับเป็นความสงวนท่าที ความสุขุมหนักแน่น ความบริสุทธิ์เรียบง่าย และความปราศจากภัยคุกคาม ไม่มีทางทำให้คนระแวดระวังนางตั้งแต่แรกเห็น กลับจะตัดสินว่านางเป็นสาวน้อยที่อยู่ด้วยได้ง่าย พูดด้วยได้ง่าย และหลอกได้ง่ายเนื่องจากลักษณะภายนอกที่ดูน่ารักนุ่มนิ่มของนาง

ทว่าพิจารณาจากคำพูดเล็กๆ น้อยๆ ที่ไป่หลี่จิงหงเคยบอกเขา ไป่หลี่จิ้งหย่วนไม่กล้าดูถูกสาวน้อยที่ดูไร้พิษสงผู้นี้เป็นอันขาด

พอคิดถึงว่านางมีท่านตาผู้มีนามอุโฆษอยู่ผู้หนึ่ง อายุยังน้อยก็สามารถหลอมยาแก้พิษที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสามสุดยอดพิษไร้ทางแก้แห่งดินแดนเทพยุทธ์ออกมาได้ อีกทั้งนึกถึงเรื่องที่นางทำออกมาในเวลาเพียงหนึ่งเดือนระหว่างออกท่องดินแดนเทพยุทธ์…

สาวน้อยผู้นี้ต่อให้ลักษณะภายนอกดูไร้พิษสงเพียงไร ก็ไม่อาจดูถูกได้

“คุณหนูโม่ เชิญนั่ง” เพราะมีฐานะเป็นเจ้าบ้าน ไป่หลี่จิ้งหย่วนจึงเอ่ยปากก่อน

“ขอบคุณเจ้าค่ะ” โม่อีเหรินนั่งลงด้วยท่าทางภูมิฐาน

“เดิมทีควรให้จิงหงพาเจ้ามา บัดนี้กลับกลายเป็นเยี่ยงนี้เสียแล้ว ข้าเองก็หมดปัญญาจะต้อนรับเจ้าด้วยตนเอง มีจุดใดให้การรับรองไม่ถี่ถ้วน ขอเจ้าอย่าได้ตำหนิกัน” พบหน้าครั้งแรกย่อมจำเป็นต้องแสดงมารยาทและความเกรงใจ กล่าววาจาตามมารยาทมากสักหน่อยก็เป็นเรื่องปกติ

ทว่าโม่อีเหรินกลับส่ายหน้า “หากจะตำหนิเพราะเรื่องพรรค์นี้ ข้าก็คงไม่มาแล้ว”

“…” แม่นางน้อยตรงไปตรงมาโดยแท้ มิหนำซ้ำยังไม่เกรงอกเกรงใจโดยแท้ ทว่าก็แปลกที่จิงหงรู้สึกว่านิสัยใจคอเช่นนี้ เขากลับชื่นชมมากกว่า

“ท่านประมุขไป่หลี่ บัดนี้เป็นเวลาไม่ปกติ พวกเราอย่ามาเสียเวลากล่าววาจาเกรงอกเกรงใจกันเลย คุยธุระกันตรงๆ เลยดีหรือไม่เจ้าคะ” โม่อีเหรินกล่าวด้วยท่าทางจริงจังยิ่ง

“ดี” ไป่หลี่จิ้งหย่วนในดวงตาปรากฏรอยยิ้มอย่างอดไม่อยู่

“จิงหงไปดินแดนแรกนภาแล้วหรือเจ้าคะ”

ไป่หลี่จิ้งหย่วนหุบยิ้ม “น่าจะใช่”

“เกาะหุนมีค่ายกลส่งตัวที่เชื่อมต่อกับดินแดนแรกนภาหรือ”

ไป่หลี่จิ้งหย่วนเงียบไปชั่วครู่ “พวกสี่เหยาเป็นคนบอกเจ้า?”

“เจ้าค่ะ” โม่อีเหรินพยักหน้า

“จิงหงได้มอบสิ่งใดให้เจ้าหรือไม่” ไป่หลี่จิ้งหย่วนถามอีก

โม่อีเหรินงันไปเล็กน้อย แล้วถึงดึงจี้ห้อยคอเส้นหนึ่งที่ห้อยติดตัวไว้ออกมาจากในคอเสื้อ

“ท่านหมายถึงสิ่งนี้หรือ”

“จี้กิเลน บุตรชายของข้าจับจองเจ้าไว้แล้ว” ไป่หลี่จิ้งหย่วนเห็นแล้ว บนใบหน้าก็มีรอยยิ้มบางๆ

“ข้าเองก็จับจองเขาไว้แล้วเช่นกัน เขามิได้ขาดทุนเสียหน่อย” โม่อีเหรินพึมพำ

คราวนี้ไป่หลี่จิ้งหย่วนทนไม่ไหว หัวเราะออกมาแล้ว

“เจ้าทำให้จิงหงจนใจเป็นประจำใช่หรือไม่” บุตรชายภูเขาน้ำแข็งผู้นั้น อยากจะทำให้เขาแสดงอารมณ์ออกมาสักหน่อยยังเป็นเรื่องยากลำบากยิ่ง หากแต่นาง…

ไป่หลี่จิ้งหย่วนมีลางสังหรณ์ว่าบุตรชายของตนจะต้องจนใจต่อการตอบสนองของนางเป็นประจำเป็นแน่แท้ แต่ก็ทำใจโมโหและแก้นิสัยนางไม่ลง ทำได้เพียงปล่อยให้นางกระทำตามใจ

“ไม่ใช่อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” โม่อีเหรินปฏิเสธอย่างขึงขัง

ไป่หลี่จิ้งหย่วนหัวเราะอีกครั้ง

“จี้นี้ประมุขเกาะทุกรุ่นจะมีคนละหนึ่งคู่ กิเลนตัวผู้หนึ่งกิเลนตัวเมียหนึ่ง หยดเลือดหัวใจของตนใส่เข้าไป เมื่อได้พบสตรีที่รักก็จะมอบจี้กิเลนตัวเมียให้อีกฝ่าย นี่คือของแทนใจ และเป็นสิ่งยืนยันฐานะสำหรับการก้าวมาเหยียบเกาะหุนของสตรีผู้นั้น” ไป่หลี่จิ้งหย่วนกล่าว ในใจนึกค่อนแคะเงียบๆ ว่าเขาไม่รู้เลยว่าบุตรชายของเขาจะรวดเร็วปานนี้ ของแทนใจปกติจะมอบเป็นส่วนหนึ่งของพิธีขณะแต่งงาน ผลคือบุตรชายเขาชิงมอบไปล่วงหน้านานแล้ว

นี่คือคิดจะผูกมัดคนเอาไว้แต่เนิ่นๆ ใช่หรือไม่

หรือยังกลัวว่าโม่อีเหรินจะหนีไป?!

แม้ไป่หลี่จิงหงจะเป็นบุตรชายของเขา แต่การจะให้คิดภาพว่าอีกฝ่ายมีอาการกังวลและประหม่า…ไป่หลี่จิ้งหย่วนคิดภาพไม่ออกจริงๆ

“มันเป็นเพียงของขวัญที่จิงหงมอบให้ข้าเท่านั้นเจ้าค่ะ” สิ่งยืนยันฐานะอะไร โม่อีเหรินหาได้ใส่ใจไม่ “ท่านประมุขไป่หลี่ ท่านยังไม่ได้ตอบคำถามเมื่อครู่นี้ของข้าเลย ค่ายกลส่งตัว ตกลงว่ามีหรือไม่เจ้าคะ”

ไป่หลี่จิ้งหย่วนพยักหน้า “มี แม้จะเพียงไปได้แต่กลับไม่ได้ ทว่าบรรพบุรุษสกุลไป่หลี่ได้ทิ้งค่ายกลส่งตัวเช่นนี้เอาไว้จริงๆ”

เดิมทีเป็นความลับที่สกุลไป่หลี่แอบซ่อนไว้และมีเพียงคนจำนวนน้อยที่รู้ ทว่าสำหรับ…ว่าที่สะใภ้ กอปรกับสถานการณ์ในยามนี้ของไป่หลี่จิงหง เขาจึงไม่มีความจำเป็นจะต้องปิดบังแล้ว

“ดังนั้นจิงหงขณะนี้อยู่ที่ดินแดนแรกนภาจริงๆ?” โม่อีเหรินถามยืนยันอีกครั้ง

“ใช่” ไป่หลี่จิ้งหย่วนพยักหน้า ก่อนย้อนถาม “จิงหงถูกพิษ เจ้าน่าจะรู้กระมัง”

“ทราบเจ้าค่ะ ทว่าในตัวจิงหงมียาแก้อยู่ขวดหนึ่ง น่าจะแก้พิษหยาดน้ำตาเทพยุทธ์ได้ เพียงแต่อาจจะต้องใช้เวลาฟื้นตัวนานสักหน่อย” เคราะห์ดีที่ก่อนหน้านี้นางได้มอบยาลูกกลอนให้ไป่หลี่จิงหงไปเป็นกระบุง ทว่าโม่อีเหรินก็คิดอีกเล็กน้อย “ท่านทราบหรือไม่เจ้าคะว่าเหตุใดท่านป้าผู้นั้นจะต้องพาตัวจิงหงไปให้ได้ด้วย”

“ดินแดนแรกนภามีไอวิเศษเข้มข้นกว่า ระดับขั้นการฝึกบำเพ็ญสูงกว่า เหมาะแก่การฝึกบำเพ็ญมากกว่าดินแดนเทพยุทธ์ ขณะเดียวกันผู้ฝึกบำเพ็ญที่นั่นก็มากกว่าเช่นกัน คุณสมบัติอย่างจิงหง อย่าว่าแต่ดินแดนเทพยุทธ์เลย แม้แต่ดินแดนแรกนภาก็ยังมีอยู่น้อยมาก คุณสมบัติดี พลังแก่นแท้แข็งแกร่ง สายเลือดบริสุทธิ์ ไป่หลี่เยียนพาตัวจิงหงไปก็เพราะต้องการให้จิงหงไปช่วงชิงตำแหน่งประมุขสกุลไป่หลี่แห่งดินแดนแรกนภา” ไป่หลี่จิ้งหย่วนแค่นเสียงเย็น “เพื่อทำให้จิงหงมีโอกาสชนะเพิ่มขึ้น นางได้ช่วยหาคู่สมรสเชื่อมสัมพันธ์ที่ดีให้จิงหงแล้ว”

“…” เป็นท่านป้าที่กระตือรือร้นเสียเหลือเกิน

“เจ้าไม่กังวลหรือ” หลังเขาเอ่ยคำว่า ‘สมรสเชื่อมสัมพันธ์’ ไป่หลี่จิ้งหย่วนค้นพบว่าสีหน้าของนางมิได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย

“กังวลว่าจิงหงจะเปลี่ยนใจหรือเจ้าคะ เขาไม่มีทางเปลี่ยนใจหรอก” โม่อีเหรินไม่กังวลเรื่องนี้เลยสักนิด “จิงหงไม่มีทางเป็นชายทรยศแน่นอนเจ้าค่ะ”

“ถ้าเกิดเป็นขึ้นมาเล่า” ใดๆ ในโลกล้วนเป็นอนิจจัง ไป่หลี่จิ้งหย่วนอยากรู้ยิ่งว่าถ้าเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น แม่นางน้อยผู้น่ารักผู้นี้จะมีการตอบสนองเยี่ยงไร

“อืม…” โม่อีเหรินคิด “หากยังไม่ได้แต่งงาน อย่างนั้นก็ชิงตัวเจ้าบ่าว ชิงตัวจิงหงกลับมา หากจิงหงสมัครใจเองหรือว่าแต่งงานไปแล้ว อย่างนั้นข้าก็จะไปอัดจิงหงหนึ่งยก แล้วอัดสตรีของจิงหงหนึ่งยก ต่อด้วยอัดท่านป้าอีกหนึ่งยก”

หากเท่านี้รู้สึกหายแค้นแล้วก็ถือว่าจบกันไป แต่หากยังไม่หายแค้น วิธีเล่นงานคนมีอยู่ถมเถ ข้าคิดวิธีได้ก็แกล้งไปทีละวิธีจนกว่าตนเองจะหายแค้น

สรุปว่าผู้ใดทำให้นางเสียใจ นางก็จะทำให้ผู้นั้นเสียใจยิ่งกว่า ผู้ใดทำให้นางคับข้องใจ นางก็จะทำให้ผู้นั้นคับข้องใจยิ่งกว่า

มิหนำซ้ำโม่อีเหรินไม่ถือสาแม้แต่น้อยที่จะเล่นงานคนที่เกี่ยวข้องไปด้วยกัน

“ถ้าเกิดพลังแก่นแท้ของเจ้าสู้อีกฝ่ายไม่ได้เล่า”

โม่อีเหรินพลันยิ้มหวาน “ข้าเป็นหมอโอสถเจ้าค่ะ มิหนำซ้ำยังเป็นหมอโอสถที่หลอมโอสถได้เก่งมาก”

“อืม แล้วอย่างไร”

“ดังนั้นข้าก็ไม่ถือสาที่จะใช้ยาลูกกลอนเป็นรางวัล ขอให้คนช่วยระบายแค้นและเล่นงานผู้อื่นแทนข้า!” นางยิ้มหวานขึ้นเป็นเท่าตัว

ในเรือนไผ่พลันคล้ายมีลมเย็นพัดมา

“…” ห้าวหาญยิ่งนัก!

บุตรชายของเขารู้หรือไม่ว่าสาวน้อยที่ตนเองพึงใจอันที่จริงมิใช่แมวบ้าน แต่เป็นเสือดาวน้อยที่มีกรงเล็บแหลมคม

“ท่านประมุขไป่หลี่…”

“เรียกข้าว่าลุงก็พอ” ไป่หลี่จิ้งหย่วนกล่าว

“ท่านลุง” โม่อีเหรินเปลี่ยนคำเรียกตามคำแนะนำ “ค่ายกลส่งตัวยังใช้ได้อยู่หรือไม่เจ้าคะ”

“เจ้าอยากไปดินแดนแรกนภาหรือ”

“เจ้าค่ะ”

“หลังค่ายกลส่งตัวถูกเปิดหนึ่งครั้ง ต้องรออีกสิบปีถึงจะเปิดได้อีกครั้ง…” สิบปี นางรอไหวหรือ

“ไม่มีวิธีอื่นที่สามารถไปดินแดนแรกนภาได้แล้วหรือเจ้าคะ”

ไป่หลี่จิ้งหย่วนส่ายหน้า “ไม่มี”

โม่อีเหรินผิดหวังเล็กน้อย แต่นางไม่มีทางล้มเลิกความตั้งใจ ที่นี่ไม่มีวิธี มิได้หมายความว่าที่อื่นจะไม่มี นางจะต้องกลับไปถามท่านตาก่อน

“ท่านลุง ท่านเห็นด้วยกับการที่จิงหงไปช่วงชิงตำแหน่งประมุขตระกูลหรือไม่เจ้าคะ” ก่อนไป โม่อีเหรินเอ่ยถามด้วยความอยากรู้

“จิงหงอยากช่วงชิง ข้าก็สนับสนุน จิงหงไม่อยากช่วงชิง ข้าก็สนับสนุน” ไป่หลี่จิ้งหย่วนไม่มีทางบีบบังคับให้บุตรชายของตนทำเรื่องใดๆ

มีบุตรชายที่เก่งกาจ ต่อให้การเกิดของอีกฝ่ายมิได้อยู่ในความคาดหวังของเขา เขาก็ยังรักดุจเดียวกัน

ซ้ำบุตรชายผู้นี้ก็ยังยอมเสียเวลาหลายปีเพื่อค้นหายาแก้พิษและค้นหาสมุนไพรวิเศษที่สามารถบรรเทาอาการให้บิดาที่ถูกพิษอย่างเขา เขาซาบซึ้งใจ แต่ก็ละอายใจเช่นกัน

เวลาที่เขาอบรมสั่งสอนบุตรชายมีน้อยเหลือเกิน แต่ภาระหน้าที่ที่บุตรชายแบกรับเพื่อเขากลับมีมากเหลือเกิน

“ดังนั้นเนื่องจากจิงหงไม่อยากไป ท่านถึงได้ยอมสละพลังชีวิตของท่านเอง ยอมฝืนเพิ่มพูนพลังยุทธ์ก็เพื่อปกป้องจิงหงอย่างนั้นหรือเจ้าคะ” โม่อีเหรินมองใบหน้าแก่ชราของเขาพลางเอ่ยถามเสียงเบา

“บุตรชายของข้า การปกป้องเขาเป็นเรื่องที่สมควรกระทำ” ไป่หลี่จิ้งหย่วนแย้มยิ้มเอ่ย ต่อให้อายุขัยต้องสั้นลงเพราะเหตุนี้ เขาก็ไม่ใส่ใจ

ความรักของบิดาไร้ซึ่งขอบเขตเช่นนี้ ทำให้โม่อีเหรินประทับใจมาก

ชาติก่อนนางเป็นเด็กกำพร้า ชาตินี้นางมีบิดามารดาก็เหมือนไม่มี ชาติก่อนและชาตินี้นางไม่เคยสัมผัสมาก่อนว่าสิ่งใดเรียกว่า ‘ความรักของบิดา’

ทว่านางมีท่านตา มีพวกพี่ชาย จึงไม่มีอะไรให้เสียดาย

หากแต่ไป่หลี่จิ้งหย่วนเป็นบิดาของไป่หลี่จิงหง เป็นญาติเพียงคนเดียวที่ไป่หลี่จิงหงใส่ใจ หากเขาเป็นอะไรไป ไป่หลี่จิงหงจะต้องเสียใจมาก…

“ท่านลุง ขอให้ข้าดูอาการบาดเจ็บของท่านสักหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ”

ไป่หลี่จิ้งหย่วนอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะยิ้มพลางยื่นมือออกมา “ได้สิ”

โม่อีเหรินถ่ายพลังปฐมสายเล็กๆ เข้าไปตรวจดูผ่านชีพจรข้อมือ เพียงครู่เดียวก็มีสีหน้าเคร่งเครียด

อาการของเขาสาหัสกว่าที่นางสังเกตดูเมื่อครู่

พลังชีวิตสูญเสีย ชีพจรอ่อนแรง สภาพเยี่ยงนี้หนักหนาสาหัสยิ่งกว่าไป๋เหยาที่ถูกทำลายพลังวัตรเสียอีก

พลังชีวิตสูญเสียไปก็เท่ากับอายุขัยลดน้อยลง และเพื่อรับมือกับยอดราชันยุทธ์หลายคน ไป่หลี่จิ้งหย่วนยังได้ฝืนร่างกายของตนเองจนถึงขีดสุด ยิ่งถึงขีดสุดนานเท่าไร อายุขัยที่สูญเสียไปก็ยิ่งมากเท่านั้น

ผมดำกลายเป็นผมขาวและมีสภาพแก่ชราล้วนเป็นเค้าลางที่เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกบำเพ็ญกำลังมุ่งหน้าสู่ความตาย

“ไม่ต้องห่วงข้า” ไป่หลี่จิ้งหย่วนมีสีหน้าปลงตก ไม่หวังเพ้อพก เพียงแต่ไม่อยากปฏิเสธความเป็นห่วงเป็นใยจากนางจึงได้ให้ความร่วมมือในทีแรก

“หากท่านเป็นอะไรไป จิงหงจะเสียใจ” โม่อีเหรินพูดอย่างจริงจังยิ่ง

“บุตรชายของข้าจะต้องเข้มแข็งแน่นอน” ต่อให้เสียใจก็ทำให้บุตรชายของเขาล้มลงไม่ได้

โม่อีเหรินขมวดคิ้ว “ข้าไม่อยากเห็นจิงหงเสียใจ”

ไป่หลี่จิ้งหย่วนกลับหัวเราะ “เดี๋ยวมันก็ผ่านไป”

ขณะใช้วิชาลับ เขาก็เตรียมใจรับผลที่ตามมาแล้ว สิ่งที่เขาเสียดายคือสุดท้ายไป่หลี่จิงหงยังคงถูกไป่หลี่เยียนพาตัวไป สิ่งปลอบประโลมใจเดียวคือยอดราชันยุทธ์เหล่านั้นล้วนตายหมดแล้ว อย่างน้อยเกาะหุนก็ไม่มีอันตรายแล้ว

“อีกอย่างก็ขอบใจเจ้าด้วย” ที่สังหารสองคนที่นอกเกาะ

โม่อีเหรินเข้าใจความหมายของเขา ทว่าก็ต้องให้ความกระจ่างแจ้งสักหน่อย

“เกาะหุนเป็นบ้านของจิงหง จิงหงเป็นบุรุษของข้า ใครมาหาเรื่องจิงหงก็เท่ากับมาหาเรื่องข้า มีเรื่องก็ย่อมต้องขจัดทิ้งไป” นางเพียงแต่ทำเพื่อไป่หลี่จิงหง ไม่ต้องให้ใครมาขอบอกขอบใจ

พร้อมกันกับที่พูด โม่อีเหรินก็ลองถ่ายพลังปฐมกลุ่มหนึ่งเข้าไปภายในกายไป่หลี่จิ้งหย่วน ไป่หลี่จิ้งหย่วนรู้สึกถึงความกระปรี้กระเปร่าได้ในทันที จึงมองนางด้วยความตกตะลึง

“โม่อีเหริน เจ้า…”

“มีหญ้าวิเศษชนิดหนึ่ง…สามารถทำให้ร่างกายท่านฟื้นฟูกลับมาดีดังเดิม ไม่ต้องรับผลสะท้อนกลับจากวิชาลับ” โม่อีเหรินกล่าวอย่างลังเลอยู่เล็กน้อย

“คืออะไร”

“หญ้าพลังชีวิตชำระวิญญาณ”

“หญ้าพลังชีวิตชำระวิญญาณหรือ” ไป่หลี่จิ้งหย่วนไม่เคยได้ยินมาก่อน

“ข้าเคยเห็นในตำราร้อยสมุนไพรของท่านตาเจ้าค่ะ หญ้าพลังชีวิตชำระวิญญาณมีฤทธิ์ช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตในร่างกายและเพิ่มความแข็งแรงของวิญญาณ เพียงแต่หญ้าพลังชีวิตชำระวิญญาณเป็นสมุนไพรในตำนาน แม้แต่ท่านตาข้าก็ยังไม่เคยพบเห็น ดินแดนเทพยุทธ์เองก็ไม่เคยมีปรากฏเช่นกัน” นี่ก็คือสาเหตุที่นางลังเล

มีวิธีทำให้รอดชีวิต แต่กลับเป็นของใน ‘ตำนาน’ ออกจะเลื่อนลอยเกินไปหน่อย

“รู้ว่ามีวิธีอย่างไรก็ดีกว่าไม่มี หากหาเจอได้จริงๆ ก็เป็นโชคดีของข้า หากหาไม่เจอก็เป็นชะตากรรมของข้า เจ้าไม่ต้องเก็บไปใส่ใจ” ไป่หลี่จิ้งหย่วนกล่าวอย่างใจกว้าง

โม่อีเหรินพยักหน้า ถ่ายพลังปฐมเข้าไปในกายเขาเพิ่ม ก่อนจะหยิบยาขวดหนึ่งออกมา

“นี่คือยาลูกกลอนยืดชีวิต ข้างในมียี่สิบเม็ด ท่านกินวันละเม็ดติดต่อกันห้าวันก่อน เสร็จแล้วให้ฝึกบำเพ็ญตามปกติเพื่อทำให้ฤทธิ์ยาสามารถไหลเวียนอยู่ในกายท่าน หลังจากนั้นให้กินเดือนละเม็ดติดกันห้าเดือน สิบเม็ดที่เหลือให้กินหนึ่งเม็ดทุกสิบปี เช่นนี้หากไม่มีอะไรนอกเหนือความคาดหมาย ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ก็จะสามารถรักษาอายุขัยท่านได้ร้อยปีเจ้าค่ะ”

อย่างน้อยก็ทำให้ท่านสามารถมีโอกาสมีชีวิตอยู่รอจิงหงกลับมาได้ หรือบางทีพวกข้าอาจจะสามารถหาหญ้าพลังชีวิตชำระวิญญาณมาช่วยท่านได้ โม่อีเหรินนึกเงียบๆ ในใจ

“ขอบใจมาก” ไป่หลี่จิ้งหย่วนไม่ปฏิเสธ รับยาลูกกลอนเอาไว้

หากสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานอีกหน่อย เขาย่อมหวังจะมีชีวิตอยู่ต่อ มิใช่กลัวตาย แต่เพราะหวังว่าจะสามารถรอจนไป่หลี่จิงหงกลับมาหรือได้รับข่าวว่าอีกฝ่ายไม่เป็นอะไร

“เช่นนั้นข้าไปแล้วนะเจ้าคะ”

“ประเดี๋ยวก่อน เกี่ยวกับจี้กิเลนคู่…” ถ้อยความต่อจากนั้น ไป่หลี่จิ้งหย่วนถ่ายทอดเสียงบอกนาง

โม่อีเหรินประหลาดใจเล็กน้อย ที่แท้ระหว่างจี้ทั้งสองก็สื่อถึงกันและกัน สามารถอาศัยชิ้นหนึ่งหาอีกชิ้นได้ ไป่หลี่จิ้งหย่วนบอกวิธีการสื่อสนองนี้ให้นางฟัง

“ขอบคุณท่านลุงเจ้าค่ะ ข้าจำไว้แล้ว” คำขอบคุณนี้มาจากใจจริง มีวิธีนี้ก็สามารถทำให้นางทุ่นแรงในการตามหาคนไปได้มาก

ไป่หลี่จิ้งหย่วนพยักหน้า “เจ้าไปเถอะ จำไว้ว่าเกาะหุนยินดีต้อนรับเจ้ามาเยือนใหม่เสมอ”

นี่นับเป็นการยอมรับนางกระมัง

มิใช่ยอมรับเพียงเพราะไป่หลี่จิงหงเลือกนาง แต่ยอมรับเพราะไป่หลี่จิ้งหย่วนเองก็เห็นว่านางเป็นคนมีความสามารถผู้หนึ่ง

โม่อีเหรินยิ้มพลางเดินมาถึงประตู ก่อนจะหันหน้ากลับไปกล่าวอีกว่า “หากจำเป็นข้าจะมาใหม่ อีกประการ ข้าจะต้องหาจิงหงพบได้แน่นอนเจ้าค่ะ”

ก็แค่ดินแดนอีกแห่งหนึ่งเท่านั้นมิใช่หรือ นางไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่มีวิธีอื่นที่จะไปถึงได้

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กุมภาพันธ์ 65)

หน้าที่แล้ว1 of 18

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: