บุรุษทั้งสี่ในที่นี้มีสายตาดีเกินคนธรรมดา จึงล้วนมองเห็นทั้งหมด
รูปแบบการจดบันทึกนี้ไฉนจึงทำให้พวกเขาอยากหัวเราะยิ่งนัก
หลิงเซ่าจวินมองสมุดบันทึกเล่มนั้น…ช่างหนาพอตัวทีเดียว
“โม่อีเหริน ข้ามีความเห็นเหมือนกับไป่หลี่จิงหง ชงแบบเย็นอร่อยกว่า ซ้ำยังให้ประโยชน์ดีกว่าด้วย” เขาบอกความรู้สึกนึกคิดนำไปก่อน จากนั้นก็เอ่ยถาม “สมุดเล่มนี้เป็นบันทึกเกี่ยวกับอาหารวิเศษที่ท่านทำทั้งหมดหรือ”
“มิใช่ มีแค่เรื่องการทำชา”
“เช่นนั้นยังมีบันทึกอะไรอื่นอีกหรือไม่”
“อืม…” โม่อีเหรินย้อนนึกเล็กน้อย “การหลอมโอสถ ข้าววิเศษ ผักวิเศษ ผลไม้วิเศษ เนื้อสัตว์วิเศษ…”
โม่อีเหรินมีบันทึกหลายเล่มยิ่ง แม้แต่การหลอมประดิษฐ์ก็ยังมีบันทึกเฉพาะเช่นกัน
การหลอมโอสถกับการหลอมประดิษฐ์มีบันทึกหลายเล่มที่สุดในบรรดาทั้งหมด
ความแตกต่างอยู่ที่เล่มเกี่ยวกับการหลอมโอสถมีอยู่จำนวนมากที่เป็นบันทึกกลวิธีการหลอมของนาง และยังมีตำรับยาที่ปรับปรุงแล้วอีกด้วย
ส่วนที่เกี่ยวกับการหลอมประดิษฐ์เป็นบันทึกความล้มเหลวไปแล้วครึ่งหนึ่ง นั่นทำให้นางเหงื่อตกเลยทีเดียว
“ท่านเริ่มบันทึกตั้งแต่เมื่อไร” หลิงเซ่าจวินแทบจะเผลอกัดลิ้น
จะเยอะเกินไปแล้ว!
ประเดี๋ยวก่อน โม่อีเหรินเพิ่งจะ…อายุสิบกว่าเองกระมัง! มีอะไรให้บันทึกมากถึงเพียงนั้นเชียว
“ข้าเริ่มบันทึกตั้งแต่รู้หนังสือแล้ว” เริ่มแรกยังเป็นการดูท่านตาหลอม แล้วตนเองก็ช่วยบันทึก ต่อมาเห็นว่าท่านตาขอดูบันทึกทุกครั้ง นางจึงตั้งใจจดไว้ทุกครั้ง
“ท่านเป็นคนอยากจดบันทึกเองหรือ”
“ตอนแรกท่านตาบอกให้ทำ ต่อมาภายหลังข้าทำจนเป็นนิสัย จึงบันทึกไว้ทุกอย่าง”
ขณะอยู่บนเกาะโม่เสวียน เวลาโม่อีเหรินทดลองนั่นทดลองนี่ หลอมนั่นหลอมนี่ผู้เดียว การได้จดบันทึกนับว่าสนุกมากจริงๆ
ยามที่ล้มเหลวแล้วเผลอเขียนบ่นลงไป ก็ยังถูกท่านตาเขกศีรษะอีกด้วย
“ท่านตาของท่านคือ?”
“คือผู้สอนการหลอมโอสถให้แก่ข้า” เนื่องจากนึกถึงท่านตาขึ้นมา รอยยิ้มของโม่อีเหรินจึงมีแววรำลึกถึง
รอยยิ้มนี้เรียกท่าทีตอบสนองจากบุรุษทั้งสี่
ไป่หลี่จิงหงรู้อยู่แล้วว่าท่านตาเป็นผู้เลี้ยงดูโม่อีเหรินจนเติบใหญ่ โม่อีเหรินผูกพันกับท่านตาลึกซึ้งมากเพียงไร ดังนั้นแค่มองจึงรู้ได้ว่านางคิดถึงท่านตาแล้ว
หลิงเซ่าจวินได้อาจารย์เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กจนโต กล่าวถึงสายใยให้รำลึกถึงก็มีเพียงอาจารย์ที่ป้อนโอสถให้เขากินต่างข้าวสามมื้อมาตั้งแต่เล็กๆ…ไม่รู้จริงๆ ว่าโชคดีหรือโชคร้าย
ส่วนหลงชิงเหยานั้นเคยมีบุพการีมอบความรักให้ แต่พวกท่านกลับถูกขับไล่ จนทำให้บิดาสิ้นใจ มารดาตรอมใจตายตาม เขาจึงถูกฝากให้อาจารย์เลี้ยงตั้งแต่อายุได้สิบขวบ
อาจารย์รักใคร่ทะนุถนอมเขาเป็นอย่างมาก ทั้งยังทุ่มเทใจอบรมสั่งสอน หากแต่เขายังคงไม่มีทางลืมความอบอุ่นยามได้อยู่ร่วมกับบิดามารดา…เขาไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้มานานมากแล้ว
ชิงอู๋หยาออกมาจากตระกูลตั้งแต่เนิ่นนานมาแล้ว ผู้ที่หลงชิงเหยาให้การยอมรับเป็นคนในครอบครัวก็คือเขาผู้นี้
ทว่ากล่าวถึงโอสถ หลิงเซ่าจวินก็นึกขึ้นได้
“โม่อีเหริน ยาลูกกลอนลี้มรณะฉบับปรับปรุงเป็นท่านหลอมเองหรือ”
“ใช่แล้ว”
“ท่านมีวัตถุดิบ?!”
ยาลูกกลอนลี้มรณะเป็นโอสถขั้นเจ็ด ตามหลักแล้วหลิงเซ่าจวินสมควรจะหลอมได้
แต่เนื่องจากตัวยาหลักของยาลูกกลอนลี้มรณะหาให้ครบได้ยาก ยิ่ง ‘บัวน้ำแข็งเก้ากลีบ’ หนึ่งในส่วนผสมยิ่งพบเห็นได้ยาก ไม่ได้ปรากฏโฉมมาหลายสิบปีแล้ว ดังนั้นหลิงเซ่าจวินจึงแค่เคยเห็นยาลูกกลอนลี้มรณะที่อาจารย์หลอมออกมา แต่ตนเองยังไม่เคยหลอม
ทว่าของที่อาจารย์หลอมนั้นใช้หมดไปนานแล้ว มิเช่นนั้นปัญหาเรื่องชีพจรของไป่หลี่จิงหงก็คงไม่กลายเป็นปัญหาใหญ่
ยาลูกกลอนลี้มรณะหนึ่งเม็ดช่วยเสกให้หายดีดังเดิมได้ทันที
“มีอยู่พอดี” โม่อีเหรินประคองน้ำพุวิเศษขึ้นดื่ม
“แล้วตอนนี้ยังมีอยู่หรือไม่”
“บัวน้ำแข็งเก้ากลีบไม่มีแล้ว” พูดถึงเรื่องนี้ โม่อีเหรินก็มีสีหน้าปวดใจเช่นกัน
เพื่อฉบับปรับปรุง นางได้ใช้ของที่เก็บไว้ไปจนหมดแล้วทั้งต้นเต็มๆ ช่างล้างผลาญเกินไปแล้วจริงๆ
หลิงเซ่าจวินผิดหวังเป็นอย่างมาก
หลงชิงเหยามองสีหน้าท่าทางของหลิงเซ่าจวิน ก่อนมองสีหน้าท่าทางของโม่อีเหริน แล้วพลันพูดขึ้นว่า “พวกท่านสองคน สีหน้าท่าทางในตอนนี้ดูเหมือนกันยิ่งนัก”
เป็นการใช้ประโยชน์จนหมด มิใช่หายไปกับอากาศเสียหน่อย ไม่ต้องเสียดายถึงเพียงนี้ก็ได้กระมัง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 เม.ย. 65 เวลา 12.00 น.