กระไอแดดร้อนจัดที่แผดเผาไปทั่วอาจทำให้สาวๆ ส่วนใหญ่พากันมองหาร่มเงาเลี่ยงห่าง แต่คงไม่นับรวมหญิงสาวร่างเล็กที่เดินเรื่อยๆ ไปตามแนวต้นส้ม ใบหน้าที่ควรขาวจัดเพราะพื้นเพเป็นคนเหนือกลับดูเข้ม ซึ่งน่าจะเป็นเพราะเจ้าตัวไม่ยี่หระต่อแสงอาทิตย์สักเท่าไร ท่าทางเอาการเอางานจริงจังของเธอคือภาพคุ้นตาของผู้คนในสวนนี้ เช่นเดียวกับร่างสูงของชายหนุ่มที่กำลังสาวเท้าเร็วเข้าไปหา
“ลัลน์!” เสียงตะโกนเรียกไม่มีผลกับคนเดิน ลัลน์ยังคงก้าวเท้าต่อเรื่อยๆ ราวกับไม่ได้ยินเสียงใดๆ แต่ใบหน้าเผยรอยยิ้ม แม้จะไม่มากนักแต่แววตาสดใสแสดงถึงความขี้เล่น
ชายหนุ่มก้าวเท้าเร็วขึ้นเกือบเป็นวิ่งมาดักหน้า “ลัลน์”
หญิงสาวมองเมิน เบี่ยงตัวเพื่อจะให้พ้นคนขวางทาง แต่ไปได้ไม่ไกลเพราะมือของเขาเอื้อมมารั้งแขนเธอเอาไว้
“จะรีบไปไหน พ่อนายโทรหา ลัลน์ลืมเอามือถือมาหรือเปล่า” น้ำเสียงคนเรียกอ่อนโยนเอาใจ รู้ดีว่าหญิงสาวตรงหน้ากำลังหาเรื่องรวน ลัลน์ไม่ตอบคนที่ส่งสายตาง้องอนแต่ก็รับโทรศัพท์มือถือมากรอกเสียงพูดโดยดี สองเท้าก้าวต่อทำเป็นไม่สนใจคนเดินเคียง
“ลัลน์ค่ะพ่อ”
“มือถือไปไหนหนูลัลน์” เสียงคุณภวิชถามมาตามสาย
“ในรถค่ะ พ่อมีอะไรคะ”
“เข้าบ้านได้แล้วมั้งลูก นักข่าวที่จะสัมภาษณ์พ่อ…คนที่ว่าเป็นเพื่อนน้องชายท่านนพมาถึงแล้วนะ ท่านนพโทรมาตะกี้ว่ากำลังจะไปกินข้าวกันที่ท่าตอน มารับพ่อหน่อยสิ จะได้ไปสมทบกับเขา” คุณภวิชบอกลูกสาว
“ลัลน์ยังไม่เสร็จเลยค่ะพ่อ กำลังเตรียมส่งส้มเข้าโรงแวกซ์ พ่อไปเถอะค่ะ ไม่ต้องรอลัลน์หรอก ถ้าพี่เมธิยังอยู่ที่บ้าน พ่อให้พี่เมธิขับรถให้นะคะ อย่าขับเอง” ลัลน์ตอบพร้อมกับก้าวขาออกเดิน
นักข่าวที่ติดต่อขอมาสัมภาษณ์ทำสกู๊ปชีวประวัติและการดำเนินธุรกิจของบิดาเธอทำให้หลายคนตื่นเต้น แต่ลัลน์ไม่ใช่หนึ่งในหลายคนนั้น เธอไม่ได้รังเกียจรังงอนอะไรหรอก เพียงแค่คิดว่าไม่เห็นจะต้องทำราวกับเป็นเรื่องใหญ่โตมากกว่า ที่สำคัญคือวันนี้ลัลน์มีงานให้ห่วงอีกเยอะ และต้องจัดการให้เรียบร้อยทั้งหมด ทิ้งไปไม่ได้ง่ายๆ จะให้เสียการเสียงานไปต้อนรับใครเห็นทีจะไม่ไหว เพราะนอกจากงานแล้ว ลัลน์รู้ตัวดีว่าเธอรับแขกไม่เก่งเอาเสียเลย
“แล้วกัน มาก่อนเถอะลัลน์ ท่านนพก็ไปนะลูก อย่าเสียมารยาทน่า” เสียงของภวิชคะยั้นคะยอ แต่ลูกสาวก็ยังยืนยันความตั้งใจ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่นพไม่ว่าอะไรลัลน์หรอก อีกอย่างพรุ่งนี้เราจะหยุดกัน ลัลน์อยากเคลียร์งานให้เรียบร้อยด้วย พ่อไปเถอะค่ะ แต่อย่าขับรถเองนะคะ ข้อเท้าพ่อยังไม่หายดี…ลัลน์เป็นห่วง”
บิดาของเธอตกบันไดเมื่อวานนี้ ผู้ใหญ่เวลาที่ล้มมักเจ็บมากกว่าเด็กเสมอ ดูอย่างพ่อของเธอสิ แค่บันไดสามขั้นแต่ข้อเท้าก็แพลงบวมจนน่ากลัว ดีเท่าไรแล้วที่กระดูกไม่หักหรือแตก
“งั้นก็ได้ แต่ลัลน์จะกลับบ้านกี่โมง จะอยู่จนเย็นเลยเหรอลูก”
“ยังไม่รู้เลยค่ะ ว่าจะดูจนเสร็จแล้วบางทีอาจเลยไปโรงแวกซ์กับลุงสอน เพราะหลังงานของพี่เมธิไม่กี่วันสวนเราจะหยุดพักให้คนงานไปวัดสำหรับยี่เป็งด้วย อาจจะนานน่ะค่ะ พ่อไม่ต้องรอลัลน์ดีกว่า แล้วก็ไม่ต้องห่วงด้วยนะคะ”
หลังทำการเก็บเกี่ยว ส้มจะถูกส่งเข้าโรงแวกซ์เพื่อเคลือบเงาก่อนส่งไปขาย ซึ่งเป็นงานที่วันนี้ลัลน์อยากทำให้เรียบร้อยโดยไว
“เอ้าๆ ตามใจ แต่อย่าให้ถึงเย็นหรือค่ำนะลูก มินอยู่ด้วยใช่ไหม กลับมาพร้อมกันก็แล้วกันนะ แล้วปืนล่ะพกไปหรือเปล่า ขับรถระหว่างทางพ่อเป็นห่วง” ลัลน์ปรายสายตาไปยังคนที่ถูกเอ่ยชื่อที่ยังเดินเคียงเงียบๆ แววตายังคงขุ่นอยู่บ้างแม้จะไม่จริงจังนัก
ชายแดนที่ไม่ไกลจากพม่าสักเท่าไร รวมทั้งชนกลุ่มน้อยและจีนฮ่อที่มีถิ่นฐานทั่วไปในอำเภอแม่อาย ฝาง และท่าตอน ทำให้บางครั้งดินแดนแถบนี้เรียกว่าไกลปืนเที่ยง ที่คุณภวิชเป็นห่วงมากก็คือเรื่องความปลอดภัย เพราะเมื่อไม่นานมานี้ลูกชายเจ้าของสวนส้มใกล้เคียงที่เป็นเพื่อนทางธุรกิจถูกลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่ โชคดีที่ทางตำรวจและทหารร่วมมือกันช่วยเหลือออกมาได้อย่างปลอดภัย และคนร้ายก็ถูกดักจับได้เช่นกัน ทำให้พอหายใจได้ทั่วท้องกันขึ้นมาบ้าง
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นร้อนๆ มีหรือที่จะไม่ทำให้เจ้าของสวนส้มต่างๆ เป็นกังวล จะให้ปล่อยคนงานดูแลแล้วเอาแต่เก็บตัวอยู่ในบ้านก็เห็นทีจะไม่เข้าท่า เพราะพืชผลที่ต้องดูแลและธุรกิจนั้นยังไงก็ต้องดำเนินต่อไปอยู่ดี การระวังตัวให้หนักจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่พอจะทำได้
“ค่ะ พ่อไม่ต้องห่วงนะ เสร็จแล้วลัลน์จะรีบกลับ” ลัลน์บอกแล้วรอจนบิดาตัดสัญญาณก่อนจึงกดวางสาย เธอยื่นโทรศัพท์คืนให้มินโดยไม่พูดอะไรกับเขาแม้แต่คำเดียว
“นักข่าวมาแล้วเหรอ” มินถามพร้อมกับยื่นหมวกปีกกว้างมาให้ “ไม่ใส่หมวกอีกแล้ว เดี๋ยวก็เป็นลมหรอก แดดร้อนจะตาย”
“อืม” ลัลน์ตอบแบบขอไปที แม้จะยอมรับหมวกมาสวม แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะยอมคุยกับเขาดีๆ สักหน่อย
“ลัลน์…จะโกรธอีกนานไหม มินง้อแล้วนะ”
“ทำไม ถ้าบอกว่าอีกนานจะเลิกง้องั้นสิ” ลัลน์ตวัดเสียงใส่ ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน ตามองตรงเตรียมเอาเรื่อง
“โธ่ อย่าพูดแบบนั้นสิ ยังไงมินก็ง้อลัลน์เสมอนั่นแหละน่า เลิกงอนแล้วยิ้มให้มินหน่อยดีกว่านะ ตั้งแต่มินกลับมาบ้านคราวนี้ลัลน์ยังไม่ยอมยิ้มให้มินเลย”
น้ำเสียงและแววตาเอาใจไม่ช่วยอะไรมากนัก เพราะลัลน์ยังคงทำตาดุมอง