“ยังอยากเห็นเหรอ ตัวเองไม่กลับบ้านนานแค่ไหนแล้ว นึกว่าไม่อยากเห็นหน้าคนที่สวนส้มสารัณแล้วเสียอีก”
“ไหนใครๆ บอกว่ามีแต่เด็กๆ ที่ทำหน้าบึ้งแล้วน่ารัก…ดูสิ ลัลน์ทำหน้าบึ้งก็น่ารักดีเหมือนกัน”
“อย่ามาทำเหมือนพี่เป็นเด็กเล็กๆ นะ”
“เป็นเด็กเถอะ อย่าเป็นพี่เลย แบบนี้น่ารักกว่า”
คำพูดของมินทำเอาคนฟังยิ่งรีบตีหน้ายักษ์เข้าให้
“ทำเป็นพูด ตัวเองไม่ชอบเรียกพี่ทั้งๆ ที่เค้าอายุมากกว่าแล้วยังจะมาหาว่าเป็นเด็กอีกนะ”
นานแค่ไหนแล้วลัลน์ก็จำไม่ได้ที่มินไม่ยอมเรียกเธอว่าพี่ ทั้งๆ ที่ลัลน์อายุห่างจากเขาเกือบปี แถมทุกครั้งที่มีโอกาส มินจะคอยหาทางข่มให้เธอดูเหมือนเด็กเล็กๆ อีกด้วย ลัลน์หัวเสียแล้วก็ได้แต่นึกโมโหเพราะทำอะไรมินไม่ได้ ความสูงที่มากขึ้นเรื่อยๆ ของเขาทำให้สุดท้ายแล้วลัลน์แทบจะกลายเป็นเด็กเวลาคุยกับมินเข้าจริงๆ เพราะเธอต้องแหงนหน้าคุยกับเขา
“ว่าไง จะตอบได้หรือยังว่าทำอะไรนักหนาที่เชียงใหม่” แววตาอ่อนแสงและท่าทางเอาใจของเขาทำให้ลัลน์เริ่มซักถึงสิ่งที่ค้างคาใจอีก
คราวนี้มินทำหูทวนลม แถมยังทำท่าจะผละไปหาลุงสอนที่กำลังคุมคนงานเก็บส้มเสียด้วย มันทำให้ลัลน์นึกอยากเอาอะไรขว้างเข้าให้จริงๆ แต่ก็ทำได้แค่เอื้อมมือไปดึงชายเสื้อเขาเอาไว้ไม่ให้เดินหนีไปไหน
“บอกมาเดี๋ยวนี้เลย ทำไมปีนี้ไม่ค่อยยอมกลับบ้าน” น้ำเสียงของลัลน์มีแววคาดคั้น
“คิดถึงเหรอ” คนไม่ยอมตอบคำถามเอ่ยน้ำเสียงลอยๆ เหมือนไม่สนใจ แต่หูและหัวใจรอฟังคำตอบ
“คิดถึงสิ” ลัลน์ตอบได้ทันทีไม่ต้องคิด ตั้งแต่เล็กจนโตคำว่าครอบครัวสำหรับเธอคือพ่อ พี่เมธิ และมิน ด้วยวัยที่ใกล้เคียงกันมากที่สุดทำให้ลัลน์ติดที่จะมีมินอยู่ใกล้ๆ เสมอ ทั้งๆ ที่หากว่ากันตามสายเลือดก็ไม่มีส่วนไหนที่จะนับเรียงเป็นพี่น้องได้เลยสักนิด ดังนั้นยามต้องห่างกันนานๆ มีหรือที่ความคิดถึงจะไม่เกาะกุมหัวใจ
ครอบครัวที่ลัลน์เรียกเต็มปากว่าของเธอนั้น จริงๆ แล้วมาจากเสี้ยวของสองครอบครัวที่มารวมเป็นหนึ่งมากกว่า ลัลน์เป็นลูกคนเดียวในขณะที่มินยังมีเมธิเป็นพี่ชายแท้ๆ หลายคนเรียกมินว่าลูกหลง เพราะความห่างของอายุกับพี่ชายคนเดียวที่มากถึงสิบสองปีหรือหนึ่งรอบนั่นเอง
บิดามารดาของเมธิและมินเป็นหุ้นส่วนกิจการสวนส้มสารัณมาตั้งแต่สมัยบุกเบิก สัดส่วนลงทุนอาจไม่มากมาย แต่ความสนิทสนมผูกพันระหว่างบิดาของลัลน์และบิดาของสองพี่น้องก็แน่นแฟ้นจนเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนตาย น่าเสียดายที่บุพการีของมินและเมธิบุญน้อย มีชีวิตดูแลครอบครัวและร่วมเป็นร่วมตายกับคุณภวิชได้ไม่นานก็ประสบอุบัติเหตุรถชนระหว่างขับรถขนส้มเข้าเชียงใหม่เสียชีวิตพร้อมกันทั้งคู่ ตอนนั้นมินยังเล็กอายุไม่ถึงห้าขวบดี ในขณะที่เมธิใกล้จะเข้ามหาวิทยาลัย ส่วนลัลน์ก็เพิ่งจะหกขวบเท่านั้นเอง
ความสูญเสียไม่คาดฝันทำเอาสองพี่น้องที่ยังเป็นผู้เยาว์เคว้งคว้าง พื้นเพครอบครัวของบิดามารดาที่เป็นคนใต้ แต่ตั้งใจย้ายมาลงหลักปักฐานสร้างตัวกับเพื่อนรักคือคุณภวิช ทำให้เมธิและมินไม่มีญาติพี่น้องตามสายเลือดอยู่ข้างกายคอยโอบอุ้มปลอบโยนเลยแม้สักคนเดียว จะว่าไปจริงๆ แล้วต่อให้เป็นสายเลือดเดียวกันสองพี่น้องก็ไม่รู้ว่าจะมีใครบ้าง เพราะปู่ย่าอีกทั้งตายายนั้น เท่าที่รู้จากบิดามารดาก่อนท่านเสียชีวิตคือไม่มีใครที่ยังมีชีวิตอยู่
คุณภวิชบิดาของลัลน์เข้ามาโอบอุ้มทั้งคู่ แล้วนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ลัลน์ก็เหมือนได้พี่ชายและน้องชายมาเป็นครอบครัว เมธิที่อายุห่างจากน้องๆ ค่อนข้างมากเริ่มมีความรับผิดชอบและหวังจะช่วยงานลุงให้ได้มากที่สุดจึงไม่ค่อยมีเวลาสนิทสนมกับน้องมากนัก กลายเป็นมินกับลัลน์ที่อายุใกล้เคียงกันที่สนิทกันยิ่งกว่า จนคล้ายกับว่าจะเป็นเสมือนเงาของกันและกันในทุกที่ แม้แต่ตอนเรียนในเชียงใหม่ จนกระทั่งทั้งมินและลัลน์จบการศึกษาระดับปริญญาตรี
ลัลน์นั้นเจริญรอยตามเมธิ หยุดการศึกษาของตัวเองไว้แค่นั้น ตั้งใจมุ่งกลับบ้านมาอยู่สวน ในขณะที่มินดึงดันจะขอเรียนต่อปริญญาโท จึงเป็นช่วงเวลาแรกที่มินกับลัลน์อยู่ห่างกันด้วยระยะของการเดินทาง จะว่าการศึกษาทำให้มินห่างออกไปลัลน์ก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะแรกๆ มินยังคงกลับบ้านตามปกติอย่างสม่ำเสมอเมื่อมีช่วงเวลาหยุดเอื้ออำนวย จะมาห่างไปจริงๆ ก็ระยะหลังนี้ที่นอกจากจะไม่ค่อยกลับบ้าน ลัลน์ยังรู้สึกเหมือนมินมีบางสิ่งปิดบังซึ่งเธอไม่ชอบใจเลยสักนิด
ความรู้สึกเหมือนถูกกันให้ห่างแม้มินจะส่งเสียงมาทางโทรศัพท์อยู่เสมอทำให้ลัลน์เหงาปนขัดใจ…มินเป็นความคุ้นเคยของเธอมาตลอดตั้งแต่เล็ก…