“ไม่ได้ รอก่อน อีกไม่นานแล้วล่ะ” มินไม่ยอมเฉลย ทุกอย่างที่พยายามและทุ่มเทหมายถึงทั้งชีวิตของเขา มินอยากมั่นใจให้มากที่สุดว่าพร้อม เขาไม่อยากผิดหวัง แม้ต้องแลกกับความเหงาและห่างบ้านมินก็กัดฟันทน ทั้งๆ ที่หัวใจของเขาไม่เคยจากสวนส้มสารัณไปไหนได้ไกลเลย
“ตามใจ รอก็ได้ แต่ถ้ามินอยากหนีไปทำงานที่ไหนหลังจบไม่ยอมกลับมาอยู่บ้าน ก็เตรียมใจรอฟังบทเทศนาของพ่อกับพี่เมธิด้วยล่ะ พี่ไม่ช่วยหรอกนะ” อาการปากแข็งของมินทำให้ลัลน์หงุดหงิด จึงเลือกที่จะทำเป็นไม่ใส่ใจ
“ขู่จริงเลย เชื่อกันหน่อยสิ ยังไงสุดท้ายแล้วมินก็จะกลับมาทำสวนน่า จะอยู่แล้วก็ตายที่สวนส้มสารัณใกล้ๆ พ่อนาย พี่เมธิ แล้วก็ลัลน์” มินบอกใบหน้าจริงจัง
ประกายตาที่มุ่งมั่นของเขาทำให้ลัลน์ยิ้ม แม้ยังไม่ได้ความกระจ่างกับพฤติกรรมห่างบ้านของเขา แต่เวลานี้ความหวาดหวั่นใจที่ว่าเขาอาจจะไม่กลับมาอยู่บ้านด้วยกันลดน้อยลงแล้ว จึงตัดใจเลิกซักไซ้เอาคำตอบหรือตั้งท่างอนต่อไปอีก เพราะรู้จักนิสัยของเขาดี
ปากแข็ง! ลองตั้งใจว่าจะไม่พูด บีบคอยังไงมินก็ไม่มีทางพูด…เชื่อใจ ตลอดมาเธอสามารถเชื่อใจน้องชายคนนี้ได้ไม่ใช่หรือ…
“ให้มันได้อย่างที่พูดเถอะ พี่ พ่อ แล้วก็พี่เมธิจะตั้งตาคอยวันรับปริญญาของมิน”
“มินเองก็ตั้งตาคอยมาตลอดเหมือนกัน แต่ก็อีกไม่นานแล้วล่ะ” น้ำเสียงของเขามาดมั่น ความสูงของเขาในวันนี้ทำให้เธอต้องเอียงคอมอง แต่ก็เห็นเพียงเสี้ยวหน้าคมสัน ดวงตาที่มักจะสงบนิ่งตามนิสัยชอบคิดอะไรในใจเงียบๆ ไม่บอกใครของเขาฉายแววมุ่งมั่น
น้องชายของเธอโตขึ้นมากเลยนะ
“สูงขึ้นเยอะเหมือนกันนะเรา”
“โตแล้วค้าบ โตแล้ว” น้ำเสียงและหน้าตาท่าทางเหมือนอ่อนใจกับความคิดของเธอทำให้ลัลน์หัวเราะ
“หนูลัลน์ มาดูทางนี้หน่อยสิ” เสียงตะโกนเรียกของลุงสอนทำให้ลัลน์ย่นจมูกให้มินก่อนจะหันไปหา
“ว่าไงคะลุงสอน”
มินส่ายหน้าน้อยๆ มองตามแผ่นหลังของเธอที่เดินห่างไปแต่ไม่ไกลนัก แล้วตัวเองก็หันไปดูคนงานบ้างเหมือนกันด้วยท่าทางเอาจริงเอาจัง โดยไม่เห็นสายตาของลัลน์ที่มองกลับมา
การเข้าสวนวันนี้สำหรับลัลน์ แม้จะมีงานหนักเหมือนเคย แต่เธอรู้สึกปลอดโปร่งสบายใจ ความอบอุ่นใจที่หายไปนานกลับมาเพราะวันนี้มินกลับบ้านมาอยู่ใกล้ๆ
…มินไม่เคยทิ้งเธอไปไหนได้ไกล…
ภาพมินและลัลน์ที่อยู่เคียงข้างกันและกันเสมออาจเป็นความคุ้นตาของใครๆ แต่สำหรับลัลน์ มันคือความคุ้นใจที่อบอุ่นมาเนิ่นนาน
“หือ?” ถุงกระดาษใบหนึ่งถูกยื่นมาให้เมื่อลัลน์เปิดประตูรถขึ้นไปนั่งคู่กับมินซึ่งรับหน้าที่เป็นคนขับ เธอรับมาเปิดในขณะที่มินสตาร์ตรถ แล้วขับออกไปจากสวน
“อ้าว เรื่องใหม่ออกแล้วเหรอ” ลัลน์มองชื่อนักเขียนบนปกแล้วอมยิ้มดีใจ นักเขียนหน้าใหม่ที่ฝีมือเขียนอาจดูไม่เท่าไร แต่สำหรับลัลน์แล้ว เธอชอบภาษาและการเล่าเรื่องราวของนักเขียนคนนี้
“อืม ตั้งแต่อาทิตย์ก่อนน่ะ อย่าเพิ่งอ่านในรถสิลัลน์ ตาจะเสีย” มินเอ็ดเบาๆ เมื่อเห็นลัลน์พลิกเปิด
“ก็ได้ๆ กลับไปอ่านที่บ้านก็ได้” ลัลน์ยอมปิดหน้าหนังสือแต่โดยดีเมื่อไล่สายตาอ่านคำโปรยจบลง เก็บหนังสือลงถุงตามเดิม มุมปากยิ้มน้อยๆ เมื่อนึกถึงมินหน้าเคาน์เตอร์ชำระค่าหนังสือนิยาย
…นิยายรักหวานแต่คนซื้อเป็นชายหนุ่มท่าทางเคร่งขรึม ไม่รู้คนขายจะคิดยังไง…
“นายนักข่าวเค้าจะสัมภาษณ์พ่อนายวันพรุ่งนี้เหรอลัลน์” มินถามอีก สรรพนามที่มินและเมธิใช้เรียกบิดาของลัลน์เป็นสรรพนามที่ชาวบ้านใช้เรียกท่านตั้งแต่วันที่สวนส้มสารัณเริ่มก่อร่างสร้างตัว
“ไม่หรอกมั้ง เห็นว่าวันนี้ก็จะคุยกันเลยนี่นา”
“วันเดียวจะเสร็จเหรอ พรุ่งนี้น่ะมันวันงานแต่งงานของพี่เมธิแล้วนะ พ่อนายจะต้องไปเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าวนี่นา”
“โธ่มิน มันจะอะไรนักหนาเล่า ก็แค่สัมภาษณ์เอง ตื่นเต้นไปได้ นี่เค้ามาถึงไวด้วย เมื่อกลางวันที่พ่อโทรมาบอกว่าจะออกไปกินข้าวกับเค้าไง จำไม่ได้เหรอ ดีไม่ดีพี่ว่าเค้าจัดการสัมภาษณ์กันตั้งแต่กินข้าว เสร็จไปแล้วล่ะมั้ง”
“อืม แล้วเค้าต้องถ่ายรูปสวนส้มไหมนะลัลน์” มินถามคำถามที่ลัลน์ลืมคิด การที่เธอเลือกทำงานและขลุกอยู่ในสวนตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็เพราะคิดว่าตัวเองรับรองแขกและต่อรองการค้าไม่เก่งเลย งานสวนอาจจะหนักไปบ้างแต่ลัลน์ก็คิดว่าสบายใจดี และเต็มใจอย่างยิ่งที่จะอยู่ข้างหลังเมธิ ผู้ที่แม้ไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือดแต่เธอก็ไว้ใจเขาไม่ต่างจากตัวเอง