ความรู้สึกดีที่เรียกว่ารัก
ทดลองอ่าน รักเดียวที่กลางใจ บทนำ-บทที่ 1
ท่าทางจริงจังของมินทำให้ลัลน์หัวเราะเบาๆ ตามองยาในมืออย่างนึกเบื่อ เธอไม่ชอบยาสักเท่าไร จะกิน ฉีด หรือทาก็ไม่ชอบเลยสักอย่าง เกลียดที่สุดก็เห็นจะเป็นทิงเจอร์ทาแผล ทั้งๆ ที่ชอบเล่นซนตามมินมาตั้งแต่เล็กๆ เวลาที่ได้แผลกลับบ้าน เธอต้องคอยวิ่งหนีจนใครๆ พากันอ่อนใจ จะมีก็แต่มินที่พยายามทุกทางหลอกล่อให้เธอทายาได้สำเร็จ
“ว่าไง จะกลับเชียงใหม่วันไหน อยู่บ้านได้กี่วัน” ลัลน์ทวงคำตอบที่มินยังไม่ให้
“ยังไม่แน่เลย ขอดูก่อนนะ ถ้าอยู่ได้ก็ว่าจะอยู่จนหลังยี่เป็ง” น้ำเสียงของมินเหมือนลังเลไม่มั่นใจ
…บ้านที่ห่างไปนาน…ความผูกพันที่เกาะเกี่ยวหัวใจเขาเอาไว้ พอได้กลับมาสัมผัสก็กลายเป็นยิ่งกระหายอยากอยู่ให้นานขึ้นอีก แต่เขามีเรื่องสำคัญรออยู่ที่เชียงใหม่
“จะอยู่ได้จริงเหรอ ไม่รีบกลับเชียงใหม่หรือไงล่ะ” ลัลน์อดไม่ได้ที่จะย้อน
“ตกลงลัลน์อยากให้มินอยู่หรืออยากไล่ให้ไปไวๆ กันแน่นะ” น้ำเสียงของมินแม้จะเรียบนิ่ง แต่คนที่โตมาด้วยกันมีหรือจะไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร…นึกอยากจะหาเรื่องน้อยใจเธอบ้างล่ะสิ…
“ใครเค้าไล่ตัวกันล่ะ ก็เห็นไม่ค่อยชอบกลับบ้านแล้วเดี๋ยวนี้ บ่นว่ายุ่งๆ ถามอะไรก็ไม่ตอบ เคยรู้ไหมล่ะว่าที่ตัวเองทำน่ะพี่เป็นห่วงเพราะไม่รู้เลยว่ามินยุ่งอะไรนักหนา หรือว่าเดี๋ยวนี้พี่จะห่วงหรือรู้สึกอย่างนั้นกับมินไม่ได้อีกแล้ว เป็นสิทธิ์ของคนอื่นที่พี่ห้ามแตะต้องแล้วใช่ไหมล่ะ” ลัลน์ย้อนเข้าให้บ้าง ใช่แต่เขาคนเดียวที่น้อยใจเป็น เธอก็เป็นเหมือนกันนี่นา
“ลัลน์ ไม่เอาน่า ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ ไม่ว่าเมื่อไหร่มินก็ยังอยากให้ลัลน์คิดถึง…ห่วงมินเสมอนั่นแหละ” สุดท้ายแล้วก็เป็นมินอีกตามเคยที่ต้องง้องอน เขาถอนหายใจเบาๆ พลางเหลือบตาไปมองคนที่ทำเฉยหลับตาไม่พูดต่อความกับเขา เปลือกตาที่เจ้าของบังคับให้กดแน่นจนคิ้วชนเป็นรอยทำให้นึกห่วงว่าเธอคงกำลังปวดท้องจนไม่มีแก่ใจจะเถียงเขามากกว่าอย่างอื่น
“มันบีบล่ะสิ ไหวไหมลัลน์” น้ำเสียงห่วงใยที่ได้รับแม้จะทำให้ลัลน์อุ่นใจ แต่เธอนิ่งเพราะยังไม่อยากพูดอะไรในเวลาที่อาการปวดท้องรุนแรงแบบนี้
“ไม่ต้องไปโรงแวกซ์แล้วดีไหม ลุงสอนคงจัดการได้ มินว่าเราแวะไปหาหมอก่อนเข้าบ้านดีกว่านะลัลน์” มินเริ่มลืมไปแล้วว่ากำลังคุยกันเรื่องอะไร ท่าทางของลัลน์ทำให้เขาร้อนรน
ลัลน์สูดลมหายใจลึกเมื่ออาการบีบจุกเบาลง รู้ดีว่าอีกประเดี๋ยวคงกลับมารังควานอีก สีหน้าของมินทำให้นึกอาทร อยากให้เขาหายเป็นห่วง จึงเลิกคิดที่จะยอกย้อนต่อไปอีก
“ไม่ไปโรงแวกซ์แล้วก็ได้ แต่ว่าไม่ไปหาหมอเหมือนกัน กลับบ้านเถอะ พี่อยากเข้าบ้านมากกว่า”
“ไหวแน่นะ” มินไม่วางใจ ตามองอีกฝ่ายพยักหน้าตอบ
“ไปหาหมอก็ได้ยามาเหมือนที่มีนั่นแหละ เสียเวลา”
“ดูแลตัวเองบ้างสิลัลน์ มินเป็นห่วงนะรู้ไหม”
“ห่วงก็เท่านั้น เพราะยังไงมินก็ไม่ชอบกลับบ้าน” ลัลน์วกเข้าเรื่องเดิมอีกจนได้
“มินสัญญาว่าจบแล้วจะกลับมาอยู่สวนส้มสารัณ อยู่ข้างๆ ลัลน์ตลอดไป” มินบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังหนักแน่น
“แล้วก่อนจบล่ะ จะยังวุ่นๆ ไม่ได้กลับบ้านเหมือนเดิมล่ะสิ” ต่อให้พยายามข่มใจไว้ไม่อยากทะเลาะกับมินให้หัวเสีย แต่ลัลน์ก็ยังอดไม่ได้
“มันมีเรื่องต้องคิดต้องทำเยอะน่ะ กลับไปรอบนี้ก็อาจจะยุ่ง หาโอกาสกลับบ้านยากสักหน่อยนะ”
“ยิ่งกว่าที่ผ่านมาอีกเหรอ” ถามไปแล้วก็อดรู้สึกใจหายไม่ได้ แค่ปกติมินก็ไม่ค่อยกลับบ้านอยู่แล้ว นี่ลองออกปากเอง ดีไม่ดีจะกลายเป็นว่าเธอจะได้เห็นหน้าเขาอีกทีหลังสอบ ไม่ก็วันรับปริญญาเลยหรือเปล่า
“ก็คงอย่างนั้น…” มินตอบไม่เต็มเสียง ทำท่าเหมือนกำลังมีความลับที่ไม่อยากเปิดเผย แล้วความข้องใจของลัลน์ก็มีอำนาจเหนือความรู้สึกไม่อยากชวนทะเลาะ
“ยุ่งอะไรบ้างล่ะ ทำไมต้องทำเสียงเหมือนมีอะไรลับๆ ล่อๆ ด้วย” น้ำเสียงที่เริ่มมีแววคาดคั้นของลัลน์ไม่ทำให้มินยอมเฉลย เขายังคงยิ้มมองถนนตรงหน้าเงียบๆ “เดี๋ยวนี้หัดมีความลับกับพี่นะ ตามใจ ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก ไม่เห็นจะอยากรู้เลย” เมื่อไม่ได้อย่างใจลัลน์ก็ทำเป็นเมินไม่สน
“งอนเหรอ ไหนๆ หัวล้านหรือเปล่าเนี่ย”
“ใครบอกว่างอน ไม่สักหน่อย พี่ก็แค่กลัวแต่ว่ามินจะไปติดสาวๆ ที่ไหนแล้วไม่อยากกลับมาเป็นชาวสวนเสียก็เท่านั้น แล้วตัวเองก็จะกลายเป็นคนเสียคำพูดเพราะสัญญาไว้กับพี่ พี่เมธิ แล้วก็พ่อน่ะสิ” ลัลน์บอก
“บอกว่าไม่มีเรื่องผู้หญิงคนอื่นที่ไหน ทำไมไม่เชื่อกันบ้างเลยนะ”
“ก็คนมันทำตัวน่าสงสัยนี่นา”
“งั้นไปอยู่ที่บ้านในเมืองไหม ไปเฝ้ามินเลยเอาหรือเปล่า”
“เรื่องอะไร ใครอยากทำอะไรแบบไหนก็ตามใจสิ จะเสียอนาคตก็เพราะตัวเอง ไม่เห็นจะอยากสนเลย ช่างปะไร” ลัลน์บอกพลางเอื้อมมือไปเร่งเครื่องเสียงในรถให้ดังขึ้น แล้วขยับตัวนอนในท่าที่คิดว่าจะช่วยบรรเทาอาการปวดท้องที่บีบเป็นช่วงๆ ได้ หางตาเห็นริมฝีปากมินขยับไปมา แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเสียงเพลงที่ถูกเร่งให้ดังขึ้นหรือมินพูดเบา ลัลน์ถึงไม่ได้ยินว่าเขาพูดอะไร
“บ่นอะไร”
“เฮ้อ…ช่างมันเถอะ” มินบอกแล้วไม่พูดอะไรอีก ลัลน์ได้แต่มองแล้วส่ายหน้า
นอกจากทำท่าทางมีความลับแล้ว เจ้าน้องชายยังชอบทำท่าทางประหลาดมากขึ้นทุกวัน…หรือมินจะเข้าสู่ช่วงวัยทองก่อนวัยหนุ่ม คิดได้อย่างนั้นแล้วลัลน์ก็หัวเราะเบาๆ กับตัวเอง
“เป็นอะไร” มินมองท่าทางของลัลน์แล้วอดถามอย่างสงสัยไม่ได้
“เปล่า” ลัลน์ปฏิเสธเสียงสูงแล้วก็หลับตานิ่ง ทำเป็นไม่สนใจจะต่อล้อต่อเถียงอะไรมินอีก เลิกคิดหาทางบีบบังคับให้เขายอมคายความลับออกมา ตั้งสติให้อยู่กับเสียงเพลง หวังว่ามันจะช่วยให้ลืมอาการเจ็บป่วยของตัวเองได้
มินค่อยๆ ลดความเร็วลง ขับรถอย่างระมัดระวัง หวังจะลดทุกแรงกระแทกรวมไปถึงแรงเหวี่ยงยามเข้าโค้งเพื่อให้กระทบถึงลัลน์น้อยที่สุด แล้วก็มีเพียงเสียงเพลงเท่านั้นที่ดังระหว่างคนทั้งคู่ไปจนตลอดทาง
ติดตามตอนต่อไปวันพรุ่งนี้ เวลา 12.00 น.