“เกรงใจล่ะสิ งั้นก็ตามแต่จะสะดวกแล้วก็สบายใจแล้วกันนะ แต่ถ้าอยู่เที่ยวต่อสักนิด ผมจะบอกมินให้อยู่เป็นเพื่อนพาเที่ยว ปกติรายนั้นเค้าอยู่เชียงใหม่น่ะ กำลังเรียนปริญญาโทแต่ใกล้จบแล้วล่ะ หรือถ้าเบื่อโลกชาวสวนแล้วก็ไม่เป็นไรนะคุณธารณ์ ที่นี่ออกจะเหงาสักหน่อยถ้าเทียบกับชีวิตคนเมือง” คุณภวิชเอ่ยอย่างมีน้ำใจ
“ผมว่าสงบมากกว่าครับ เหมาะสำหรับเป็นที่พักเติมพลังให้คนที่ต้องผจญอยู่กับการแข่งขันแทบทุกลมหายใจได้เป็นอย่างดีเลย”
“เป็นนักข่าวนี่ต้องเดินทางบ่อยไหม ฝาง-แม่อายนี่เพิ่งมาเป็นครั้งแรกหรือว่าเคยมาเที่ยวบ้างแล้วหรือเปล่า”
“ก็มีบ้างครับ แต่ที่นี่เป็นครั้งแรก ไม่นับตัวเมืองเชียงใหม่นะครับ เพราะที่นั่นค่อนข้างบ่อย ไม่ทำงานก็เที่ยว” ธารณ์เริ่มให้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวเองบ้างหลังจากทำหน้าที่ผู้สัมภาษณ์มาแล้ว
“ไปมาสะดวกด้วยนะเชียงใหม่เดี๋ยวนี้ เห็นวันๆ มีเครื่องบินไปกลับกรุงเทพฯ ไม่รู้กี่รอบ” แม้ส่วนใหญ่จะมีชีวิตอยู่ห่างไกลตัวเมืองเชียงใหม่ แต่คุณภวิชก็ยังพอรู้
“ครับ ไปมาสะดวก ประมาณเดือนหน้าผมก็คงได้ไปอีก พอดีจะมีงานประชุมวิชาการนานาชาติ…งานใหญ่สักหน่อย ไปทำงานน่ะครับ”
“เชียงใหม่โตขึ้นทุกวัน จะว่าไปตอนนี้ก็ไม่แพ้กรุงเทพฯ เท่าไรแล้ว มีครบจะทุกอย่าง งานใหญ่ๆ หลายงานก็จัดที่เชียงใหม่นะ ดีจริงๆ เลย”
“งานครั้งนี้ใหญ่เอาการอยู่นะครับ นักวิชาการไทยก็ตื่นตัวกันน่าดูเพราะเป็นโอกาสดีที่จะเสนอผลงานวิจัยในงานประชุมระดับโลก ได้ยินว่าคัดกันจริงจังเอาเรื่องทีเดียว ผลงานใครผ่านเข้าไปได้ก็เรียกว่าเก่งมากเลยล่ะครับ”
ด้วยอาชีพทำให้ธารณ์จำเป็นต้องหูตากว้างขวาง การประชุมวิชาการที่กำลังจะจัดขึ้นนั้นตามข่าวถือเป็นก้าวที่สำคัญมาก แสดงถึงศักยภาพ การยอมรับ และความเชื่อมั่นของสถาบันระดับโลกหลายสถาบันที่มีต่อนักวิชาการไทย โดยเฉพาะนักวิชาการและสถาบันการศึกษาของเชียงใหม่ที่จะเป็นผู้ดำเนินการจัดงานในครั้งนี้
“การศึกษาของเราก็ไม่น้อยหน้าใครหรอกนะผมว่า ดีแล้วล่ะ ให้คนไทยได้แสดงฝีมือให้ฝรั่งดูบ้าง” คุณภวิชพูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ท่าทางอารมณ์ดี
“พ่อนายครับ จะได้เวลาเลี้ยงพระถวายไทยทานแล้วครับ” ญาติฝ่ายเจ้าสาวคนหนึ่งขยับเข้ามาใกล้ บอกกับคุณภวิชอย่างอ่อนน้อม
“ครับๆ” คุณภวิชรีบรับคำโดยไม่ลืมที่จะหันมาชวนธารณ์ให้ไปด้วยกัน
“เชิญก่อนเถอะครับ ไม่ต้องเป็นห่วงผม” ธารณ์ปฏิเสธอย่างสุภาพ ไม่อยากให้ตัวเองเป็นภาระของคุณภวิชที่ต้องทำหน้าที่ผู้ใหญ่ของคู่บ่าวสาว เขาสมัครใจจะดูแลตัวเองอยู่ห่างๆ มากกว่า
“ตามสบายเลยนะคุณธารณ์ ขาดเหลือติดขัดอะไรก็ลองมองหาหนูลัลน์หรือมินก็ได้นะ”
“ครับ” ธารณ์รับคำพร้อมรอยยิ้ม คุณภวิชพยักหน้าให้กับญาติของเจ้าสาวที่มาตาม แล้วเดินไปสมทบญาติผู้ใหญ่ท่านอื่นพร้อมกัน เพื่อทำหน้าที่ของท่านอย่างเต็มที่สำหรับหลานชายคนโตที่ท่านรักและภูมิใจ
ธารณ์เดินเลี่ยงผู้คนไปยังบริเวณที่เห็นว่าสงบกว่ามุมอื่น ตั้งใจจะนั่งสังเกตการณ์เงียบๆ แต่แล้วใบหน้าคมสันก็เผยรอยยิ้มเมื่อเห็นหญิงสาวในชุดกระโปรงอ่อนหวานนั่งพิงเสาเงียบๆ แอบอยู่ ดวงตาปิดสนิทและคิ้วที่ขมวดเข้าหากันแน่นราวกับเจ้าตัวพยายามอดทนข่มความรู้สึกบางอย่างทำให้นึกห่วง มือข้างหนึ่งของเธอกดท้องเอาไว้
“คุณลัลน์ ไม่สบายหรือเปล่าครับ” ธารณ์สาวเท้าเข้าไปใกล้แล้วถาม ดวงตากลมโตที่ปรือขึ้นมามองเหมือนจะอ่อนแรงแต่ยังมีรอยยิ้ม ฝืนทำท่าทางให้ดูสดใส แต่สีหน้าก็ยังติดจะซีดไปสักนิดจนคนมองจับสังเกตได้ไม่ยาก
“ไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ โรคกระเพาะเท่านั้นเอง”
“ทานยาหรือยังครับ”
“มินกำลังไปหาให้ค่ะ ขอบคุณนะคะ เป็นยังไงมั่งคะวันนี้ ตื่นแต่เช้าเลย” ลัลน์ขยับตัวนั่งตรงเพื่อสนทนากับธารณ์ให้ดูเป็นกิจจะลักษณะ โรคเก่าที่ชอบแกล้งประท้วงให้ร่างกายอ่อนแอทำให้ลัลน์ไม่อาจต่อล้อต่อเถียงกับมินได้มากนัก สุดท้ายก็ต้องมานั่งคอยเขาแต่โดยดีแบบนี้
“ก็ดีครับ โอกาสที่จะได้ร่วมงานแบบนี้มีไม่บ่อยหรอกนะครับ โชคดีของผมมากเลยทีเดียว” น้ำเสียงและรอยยิ้มของธารณ์ที่ดูง่ายๆ สบายๆ ทำให้ลัลน์ไม่รังเกียจที่จะพูดคุยและอยากรักษาน้ำใจ แม้ตัวเองจะรู้สึกปวดท้องอยู่ไม่น้อยเลยก็ตาม