บทที่ 1
“โยวโยว ยิ้มหน่อย เจ้าทำหน้าบึ้งเพียงนี้ ข้าเห็นแล้วไม่ชิน” เหยียนตี้ยิ้มพลางบรรจงหอมแก้มนาง
ฉินโยวโยวแค่นเสียงพูด “เมื่อก่อนท่านก็เอาแต่ทำหน้าบึ้งใส่ข้าเช่นนี้ ท่านทำได้คนเดียวหรือไร!”
ฉินโยวโยวกับเหยียนตี้อิงแอบแนบชิดกัน นางจึงรู้สึกได้ชัดเจนว่าตบะของเขากำลังอ่อนลงอย่างรวดเร็วจนทำให้นางอกสั่นขวัญผวา ตลอดทางจากตำหนักปู้ฉานมาถึงตำหนักอักษร นางรู้สึกได้ว่าตบะของเขาอ่อนลงไปหนึ่งส่วนในแต่ละก้าว
นางถึงขั้นแน่ใจได้ว่าอีกไม่นานตบะของเหยียนตี้จะเหลือใกล้เคียงกับนาง จากนั้นก็จะกลายเป็นอ่อนด้อยกว่านาง…
เหยียนตี้กอดฉินโยวโยวพลางกล่าวปลอบ “นับแต่ข้าฝึกเคล็ดวิชาเทพสำเร็จเป็นต้นมาล้วนประสบเหตุการณ์เช่นนี้ทุกปีจนชินชาแล้ว และข้าก็มิใช่ผ่านมาได้อย่างปลอดภัยหรือ ความลับนี้ต่อให้เจียงหรูเลี่ยนรู้ก็ไม่กล้าเที่ยวป่าวประกาศ เจ้าวางใจได้”
หากเจียงหรูเลี่ยนป่าวประกาศออกไป สกุลเหยียนเองก็จะประกาศเรื่องที่เขาฝึกเคล็ดวิชาประเภทเดียวกันนี้ต่อใต้หล้าแน่นอน เท่ากับว่าตัวเขาเองจะตกอยู่ในภาวะอันตรายดุจเดียวกับเหยียนตี้
สำนักเฟิ่งเสินมิใช่แคว้นเซียงเยวี่ย ไม่มีราชวงศ์คอยกุมอำนาจโดยชอบธรรมอยู่ ตำแหน่งเจ้าสำนักเป็นของผู้มีความสามารถมาแต่ไหนแต่ไร หากความลับนี้ของเจียงหรูเลี่ยนถูกเปิดเผย ลำพังแค่คนที่หมายตำแหน่งเจ้าสำนักในสำนักเฟิ่งเสินก็เพียงพอจะทำให้เขาปวดหัวได้แล้ว
“ถ้าเกิดเขาหาสถานที่ซ่อนตัว แล้วสั่งให้บรรดาลูกน้องของเขามาแทนจะทำเช่นไร ยอดฝีมือของสำนักเฟิ่งเสินมีไม่น้อยเลย” ฉินโยวโยวยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้มาก
“มิใช่ยังมีกับดักกลไกที่ภรรยารักติดตั้งไว้อยู่หรือไร” เหยียนตี้พยายามปลอบโยนภรรยาตัวน้อยที่เป็นกังวล
นับตั้งแต่วันที่เขาสำเร็จเคล็ดวิชาเทพเป็นต้นมาก็กลายเป็นเทพสังหารไร้พ่ายในสายตาทุกผู้คน แทบทุกคนต่างหวาดกลัวเขา พึ่งพาเขา แต่กลับมีน้อยคนนักที่จะสนใจเขา เป็นห่วงเขา แม้ระยะนี้ฉินโยวโยวจะไม่มีสีหน้าที่ดีให้เขาเท่าไร แต่เขารู้ดีว่านี่เป็นเพราะนางใส่ใจเขายิ่ง แม้แต่อาการดุด่าหน้าดำคร่ำเคร่งของนางก็ยังทำให้เขารู้สึกอบอุ่นหัวใจยิ่งยวด
“คนเลว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เอาแต่อิดๆ เอื้อนๆ ไม่ยอมบอกให้ข้ารู้ชัดเจนเสียแต่เนิ่นๆ รอผ่านคืนนี้ไปก่อนเถอะ คอยดูว่าข้าจะจัดการท่านอย่างไร!” ฉินโยวโยวพูดอย่างเข่นเขี้ยว นางไม่พอใจยิ่งนักที่เขาเพิ่งมาบอกเรื่องสำคัญถึงชีวิตเช่นนี้กับนางเมื่อไม่กี่วันก่อน ไม่กี่วันมานี้พอนางโมโหขึ้นมาก็จะใช้เขาต่างที่ลับเขี้ยวลับเล็บ เหยียนตี้กลับล้วนยิ้มพลางปล่อยให้นางกระทำได้ตามใจ
“เหมือนกับตอนที่อยู่ในเขตหวงห้ามอย่างนั้นหรือ เจ้าไม่ต้องใช้วิชาตรึงเส้นเอ็นแช่แข็งกล้ามเนื้ออะไรเลย ข้ารับรองว่าจะอยู่นิ่งๆ ให้ความร่วมมือกับเจ้าแน่นอน” เหยียนตี้เป่าลมใส่หูนาง นึกถึงภาพเหตุการณ์ภายในเขตหวงห้ามที่ภรรยาตัวน้อยเลื้อยพันยั่วยวนสารพัดอยู่บนร่างเขาขึ้นมาก็อดจะร้อนผ่าวไปทั้งตัวไม่ได้
ฉินโยวโยวทั้งฉุนทั้งเขิน มือหนึ่งปัดกรงเล็บของเขาที่เลื่อนสะเปะสะปะอยู่บนร่างนางออก ก่อนตวาด “นี่มันเวลาอะไรแล้ว ยังมามัวคิดเรื่องพรรค์นี้อีก! หมาป่าราคะ!”
เหยียนตี้ส่งเสียงฮึมฮัมในลำคอ ก่อนพูดด้วยรอยยิ้มเจื่อน “เจ้าเบาแรงหน่อย”
คราวนี้ฉินโยวโยวถึงนึกได้ว่าบัดนี้เหยียนตี้มีสภาพมิสู้เมื่อก่อน เพียงแค่ชั่วครู่สั้นๆ ตบะของเขาก็ลดลงต่ำกว่าขั้นเก้าแล้ว ปกตินางสามารถลงไม้ลงมือกับตัวเขาได้โดยไม่ต้องยั้งแรง ตบะของเหยียนตี้ล้ำลึก ต่อให้เขายืนเฉยๆ ปล่อยให้นางทุบตี นางก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้แม้แต่รอยขีดข่วน เหมือนกับเกาจุดที่เขาคันให้อย่างไรอย่างนั้น
แต่ถ้าตอนนี้นางยังลงมือเต็มแรงอีก เกรงว่าศัตรูยังไม่มา เหยียนตี้คงได้พิการด้วยน้ำมือนางไปเสียก่อน
ฉินโยวโยวทั้งรู้สึกผิดทั้งรู้สึกขบขัน นวดคลึงจุดที่เขาถูกตีให้ “ยังเจ็บหรือไม่”
เหยียนตี้ถือโอกาสพิงทั้งร่างลงบนตัวฉินโยวโยว นางกลัวว่าตนเองจะเผลอทำเขาบาดเจ็บ จึงปล่อยให้เขาได้คืบเอาศอกโดยไม่ว่าอะไรอย่างที่คิดจริงๆ
แสดงความอ่อนแอต่อหน้าภรรยาตัวน้อยเป็นครั้งคราวเช่นนี้ก็ไม่เลวเลย
คนทั้งสองอิงแอบรอคอยราตรีอันยาวนานนี้ผ่านไปอย่างเงียบๆ
ปุ้ง!
เสียงดังสนั่นเสียงหนึ่งดังมาจากกลางท้องฟ้าด้านนอก เบื้องนอกหน้าต่างมีแสงสว่างวาบขึ้นก่อนดับมืดลง
ตามมาด้วยเสียงดังสนั่นอีกหลายเสียงติดต่อกัน แสงจ้าสว่างวาบลอดผ่านม่านมุ้งหน้าต่างติดต่อกันหลายครั้ง เป็นเสียงจุดดอกไม้ไฟที่ดังมาจากทางตำหนักปู้ฉาน
เป็นดอกไม้ไฟ! ดอกไม้ไฟที่จุดในงานฉลองเทศกาลปีใหม่
ฉินโยวโยวชอบดูภาพงดงามตระการตาตอนที่ดอกไม้ไฟผลิบานกลางท้องฟ้ายามราตรีอย่างยิ่ง ทว่าเวลานี้นางกลับยินยอมจะนั่งเป็นเพื่อนเหยียนตี้อยู่ภายในตำหนักอักษร
เหยียนตี้จุมพิตหว่างคิ้วฉินโยวโยวก่อนเอ่ยว่า “เจ้าเดินออกไปดูตรงนอกประตูสักหน่อยก็ได้ ข้าจะอยู่ในห้อง คงไม่เกิดเรื่องอะไรหรอก”
“ไม่ไป ประเดี๋ยวท่านตระเตรียมของแล้วพวกเราไปคฤหาสน์นอกเมืองกัน ท่านค่อยจุดให้ข้าดูคนเดียว” ฉินโยวโยวเบะปากพูด
“ได้” เหยียนตี้จุมพิตริมฝีปากนาง
ถึงยามไฮ่ซึ่งเป็นเวลาจุดดอกไม้ไฟ ก็เป็นเวลาที่งานฉลองปีใหม่ดำเนินมาถึงตอนท้ายแล้วเช่นกัน ขุนนางใหญ่และตัวแทนราษฎรที่มาร่วมงานต่างเตรียมออกจากวังกลับบ้านของตนเอง ส่วนฮ่องเต้หลังส่งไทเฮาเสด็จกลับวังชิ่งชุนเสร็จก็จะรุดมายังตำหนักอักษรเพื่อรอฟ้าสางด้วยกันกับพวกเขา
ขอเพียงผ่านคืนนี้ไปได้โดยปลอดภัย ทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นปกติ
ฉินโยวโยวกำลังรอฮ่องเต้มาถึงด้วยความร้อนใจ ฉับพลันก็มีเสียงโกลาหลดังมาจากที่ไกลๆ มีเสียงร้องตะโกนสับสนปนเปกันว่า
“มีมือสังหาร!”
“อารักขาองค์ฮ่องเต้และไทเฮา!”
“ไฟไหม้แล้ว!”
และอื่นๆ ที่ทำเอาประสาทฉินโยวโยวเครียดขมึงขึ้นทันที
มาแล้วจริงๆ!
นี่เป็นการพุ่งเป้ามาที่ฮ่องเต้โดยคิดจะฉวยโอกาสยามที่มีคนนอกเข้ามาร่วมงานฉลองปีใหม่จำนวนมาก หรือจะเป็นการส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม* คิดจะหลอกให้พวกเขาออกจากตำหนักอักษร จะได้ลงมือกับเหยียนตี้!
เสียงตะโกนโหวกเหวกดังขึ้นทุกที ในสายลมมีเสียงกรีดร้องร่ำไห้ของสตรีดังมาแว่วๆ คล้ายว่ามีคนกำลังร้องเสียงดัง “ไทเฮา!”
ในที่สุดเหยียนตี้ก็นั่งไม่ติดที่แล้ว
ฉินโยวโยวกอดเขาไว้พลางเอ่ยว่า “อย่าไป ตอนนี้ท่านไปก็ไม่มีประโยชน์ มีแต่จะทำให้พวกเขาต้องมาห่วงพะวงท่านอีกคน หากเกิดอะไรขึ้นกับท่าน ทุกอย่างก็จบกันจริงๆ แล้ว ท่านรั้งอยู่ที่นี่ได้หรือไม่”
เหยียนตี้รู้ว่าที่ฉินโยวโยวพูดเป็นความจริง หากเขาเป็นอะไรไป ฮ่องเต้มีชีวิตเดียวกับเขา ไทเฮาก็มีเพียงพวกเขาเป็นที่พึ่งพิง…
คืนนี้บริเวณตำหนักอักษรนอกจากพวกเขาสองคนกับราชันยุทธ์ห้าคนที่ดักซุ่มอยู่ในที่ลับแล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจเฉียดกรายมาใกล้ได้ พวกเขานั่งอยู่ภายในตำหนักหลังใหญ่ ย่อมมองไม่เห็นเหตุการณ์ด้านนอก แต่ยังคงได้ยินเสียงเอะอะวุ่นวายดังต่อเนื่องเป็นเวลานาน
สีหน้าเหยียนตี้ยิ่งนานยิ่งหนักอึ้ง หากเป็นแค่เรื่องเล็กจริงก็ดูไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย นานเพียงนี้แล้วเหตุใดภายนอกยังไม่สงบลงอีก
เขาไม่ห่วงชีวิตของฮ่องเต้ ห่วงก็แต่ไทเฮา หากไทเฮามีอันเป็นไป…
ฉินโยวโยวลังเลชั่วครู่ก่อนเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าออกไปดูสักหน่อยดีหรือไม่”
“ดีเหมือนกัน แต่เจ้าต้องระวังตัวให้มาก อย่าออกไปจากบริเวณรอบตำหนักอักษรนี้เป็นอันขาด” เหยียนตี้ลูบเรือนผมยาวของนางพลางกล่าว เขาเองก็เป็นห่วงว่าจะมีคนของสำนักเฟิ่งเสินดักซุ่มรออยู่ข้างนอกแล้วทำร้ายฉินโยวโยวเข้า
“ไม่ต้องกลัว ข้าพกอาวุธลับไว้ตั้งมาก ล้วนอาบยาพิษทั้งสิ้น ต่อให้เป็นราชันยุทธ์ขั้นสิบแปดมา ข้าก็สามารถต้านทานได้ชั่วขณะ ท่านรออยู่ในนี้ดีๆ ไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรก็อย่าไปที่ใดส่งเดช แล้วก็ไม่ต้องเป็นห่วงข้าด้วย”
เหยียนตี้หลุดขำก่อนเอ่ยว่า “ได้”
ปกติถ้อยคำเหล่านี้ดูเหมือนเขาเป็นฝ่ายพูดกับฉินโยวโยวมากกว่า
ฉินโยวโยวดันตัวเหยียนตี้ให้กลับลงไปนั่งบนเก้าอี้อย่างเรียบร้อย นางจับมือเขาวางบนแกนกลางเปิดปิดกลไก ก่อนจะจูบริมฝีปากเขาทีหนึ่ง จากนั้นก็หันหลังผลักเปิดประตูเบาๆ แล้วเดินออกไป
ฉินโยวโยวเดินมาถึงหน้าตำหนักก็ถ่ายทอดเสียงถามขันทีสองคนที่เฝ้าอยู่รอบนอก “ด้านนอกเกิดเรื่องอะไร ตอนนี้สถานการณ์เป็นเช่นไรบ้าง”
นางอยู่ห่างจากขันทีสองคนนั้นอย่างน้อยเป็นสิบจั้ง ทว่าตบะในยามนี้ของนางสามารถรวมเสียงไม่ให้กระจายหายไปได้อย่างง่ายดาย ขันทีทั้งสองจึงได้ยินคำถามของนางชัดเจนจนเหมือนว่ามีคนพูดอยู่ข้างหูพวกเขา
“ทูลพระชายา เมื่อครู่มีมือสังหารบุกมากลุ่มใหญ่ แต่ถูกโจมตีจนถอยร่นไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ไทเฮาตกพระทัยเล็กน้อย ฝ่าบาทตรัสว่าหากทรงจัดการเรื่องที่ประทับให้ไทเฮาเรียบร้อยแล้วก็จะเสด็จมาทันที” ขันทีก็พอมีตบะอยู่บ้างเช่นกัน คำตอบจึงถูกส่งมาถึงหูอย่างชัดเจน
ฉินโยวโยวได้ยินแล้วก็สบายใจขึ้นไม่น้อย กำลังจะหันหลังกลับเข้าตำหนักอักษรก็มีความรู้สึกอันตรายชนิดหนึ่งจู่โจมในใจ
นางใบหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา ก่อนจะโบกแขนเสื้อยาว ท่ามกลางเงามืดตรงกำแพงตำหนักพลันมีเสียงร้องต่ำในลำคอออกมาหลายที มือสังหารชุดขาวเจ็ดแปดคนที่ซุ่มอยู่กลางพื้นหิมะล้มหงายลงพื้น ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
เวลาเดียวกันนี้เอง เงาดำสายหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าตำหนัก ผลุบตัวมาถึงเบื้องหน้าฉินโยวโยวอย่างเงียบเชียบ ในมือของเงาดำถือกระบี่ยาวสีเงินไว้เล่มหนึ่ง ประกายสีเงินแฝงไอหนาวเหน็บเคลื่อนวนท่ามกลางแสงไฟวูบไหว แผ่ไอสังหารเยียบเย็นอันน่าครั่นคร้ามออกมา…
“เหอะๆๆ พระชายาฝีมือยอดเยี่ยมนัก! ทว่าบุรุษของแคว้นเซียงเยวี่ยตายกันไปหมดแล้วหรือ ไฉนถึงต้องลำบากพระชายามายุ่งเกี่ยวกับพวกเราเหล่าบุรุษหยาบช้าด้วย” เสียงชราเสียงหนึ่งดังขึ้นกลางอากาศ กลิ่นอายของผู้แข็งแกร่งระดับราชันยุทธ์อย่างน้อยสิบคนส่งมาจากทุกทิศทุกทาง
ผู้เฒ่าที่พูดมีผมสีขาวโพลน สวมชุดสีขาวตลอดทั้งร่างเช่นเดียวกัน แทบจะกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับหิมะขาว หากเขาไม่ใช่เป็นฝ่ายปรากฏตัวขึ้นเอง ด้วยตบะอย่างน้อยระดับราชันยุทธ์ขั้นสิบสองของเขา เกรงว่าราชองครักษ์ทั่วไปภายในวังคงไม่ต่างจากไก่ดินสุนัขดินเผา* สำหรับเขา ไม่อาจพบเห็นเขาและยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องขัดขวางเขาโดยสิ้นเชิง
ฉินโยวโยวยิ้มเย็นก่อนเอ่ยว่า “เจ้าสำนักของพวกเจ้าเล่า ไฉนถึงไม่มาหาที่ตายด้วย!” นางพูดพลางรีบถอยหลัง คิดจะกลับเข้าไปในตัวตำหนักอักษรก่อนค่อยว่ากัน
บัดนี้ราชันยุทธ์ขั้นสิบสองไม่นับเป็นอะไรในสายตาฉินโยวโยวแล้ว แม้นางจะมีตบะเพียงยอดยุทธ์ขั้นเก้า แต่ก็เหมือนกับที่นางบอกเหยียนตี้ไว้ ตราบที่นางมีอาวุธลับอยู่ในมือ ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับราชันยุทธ์ขั้นสิบแปดก็ยังสามารถต้านทานไว้ได้ชั่วขณะ ราชันยุทธ์ขั้นสิบสองยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่จำเป็นต้องกลัวโดยสิ้นเชิง
เพียงแต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาห่วงสู้ ประการแรกนางต้องแน่ใจในความปลอดภัยของสามีปีศาจก่อน เรื่องอื่นใดค่อยว่ากันทีหลังได้ทั้งนั้น
ราชันยุทธ์ห้าคนในที่ลับสังเกตเห็นว่ามีคนลอบเข้ามาก่อนฉินโยวโยวก้าวหนึ่ง ล้วนแต่เตรียมพร้อมอย่างเงียบเชียบแล้ว รอเพียงคนเหล่านั้นเข้ามาในขอบเขตการโจมตีของกับดักกลไกก็จะเริ่มเปิดการทำงาน
ระหว่างที่ฉินโยวโยวพูด นางก็มาถึงหน้าประตูตำหนักอักษรแล้ว มือสังหารปรากฏตัวขึ้นเช่นนี้ เดิมทีนางควรโล่งใจ รับมือกับศัตรูในที่แจ้งอย่างไรก็ง่ายกว่า ทว่านางกลับรู้สึกอยู่ตลอดว่ามีบางอย่างที่น่ากลัวกำลังซุ่มรออยู่ในที่ลับ
ชั่วพริบตาที่ประตูถูกผลักเปิดออก ประกายหนาวเหน็บสายหนึ่งก็พุ่งมา ฉินโยวโยวเปิดการทำงานอาวุธลับพร้อมกับฟาดฝ่ามือออกไปโดยไม่แม้แต่จะคิด
ฟิ้ว! หลังจากเสียงทอดยาวก็มีเสียงโลหะกระทบกันนับไม่ถ้วนดังตามมา กระบี่ยาวสีเงินเปื้อนเลือดเล่มหนึ่งก็ถูกพลังฝ่ามือของฉินโยวโยวและพลังโจมตีจากอาวุธลับกระแทกไปกลางอากาศ ชั่วขณะที่ป้องกันการโจมตีนี้ เงาดำสายหนึ่งได้วิ่งปราดไปถึงด้านหลังตำหนัก ชนทะลุหน้าต่างกระจกก่อนวิ่งสุดฝีเท้าจากไป
ราชันยุทธ์นิรนามที่เฝ้าอยู่ด้านนอกตำหนักพอพบว่ามีคนพุ่งออกมาจากในตำหนักอักษรกะทันหันก็ล้วนตกใจจนใบหน้าถอดสี พวกเขาทำงานด้วยกันมาหลายปี มีการตอบสนองรวดเร็วอย่างที่สุด ต่างเปิดการทำงานกลไกหมายจะสังหารคนผู้นั้นในทันที
ทว่าเรื่องประหลาดได้เกิดขึ้นแล้ว…ก่อนค่ำ พวกเขาได้ตรวจกลไกดูก็พบว่าทุกอย่างเป็นปกติอยู่แท้ๆ แต่ยามนี้กลับมีส่วนหนึ่งใช้งานไม่ได้ อีกทั้งยังเป็นกลไกบริเวณเส้นทางที่เงาดำนั้นหลบหนีไปพอดิบพอดี
พวกเขาได้รับคำสั่งให้เฝ้าตำหนักอักษร พอเห็นเงาดำนั้นผลุบหายไปก็ไม่กล้าไล่ตาม ทำได้เพียงส่งสัญญาณแจ้งให้ราชองครักษ์ฝีมือดีคนอื่นในบริเวณใกล้ๆ สกัดเขาเอาไว้
นอกตำหนักอักษรยังมีราชันยุทธ์จากสำนักเฟิ่งเสินอยู่สิบคน รวมถึงยอดฝีมือระดับยอดยุทธ์อีกนับไม่ถ้วนกำลังจ้องตะครุบ แม้เรื่องที่กลไกส่วนหนึ่งใช้งานไม่ได้กะทันหันจะทำให้พวกเขาจิตใจสั่นคลอนอย่างหนัก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็จำต้องพิทักษ์ตำหนักอักษรเอาไว้ก่อน ไม่อาจปล่อยให้โจรหน้าไหนเหยียบย่างถึงบันไดศิลาหน้าตำหนักได้แม้แต่ครึ่งก้าว
เสียงกลไกเปิดการทำงานและเสียงเข่นฆ่าร้องโหยหวนที่ด้านนอกดังมาเป็นระลอก ภายในตำหนักอักษร ฉินโยวโยวรู้สึกว่าทั้งร่างเย็นเฉียบ คล้ายทุกสิ่งอย่างล้วนออกห่างนางไปไกลลิบในชั่วพริบตา
เหยียนตี้ที่เบื้องหน้ายังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวก่อนหน้านี้ มือข้างหนึ่งวางอยู่บนแกนกลางเปิดกลไกเช่นเดิม ทว่าเขาไม่อาจเงยหน้าขึ้นยิ้มให้นางและก็ไม่อาจทำหน้าบึ้งใส่นางได้แล้ว
ศีรษะเขาห้อยลงอย่างไร้เรี่ยวแรง ตัวอาบเลือดไปครึ่งร่าง เลือดสดๆ ยังคงทะลักออกมาจากปากแผลตรงหน้าอกเขาไม่หยุด
กระบี่แทงทะลุหัวใจ!
เลือดที่ติดบนกระบี่เล่มที่นางกระแทกกระเด็นไปนั้นเป็นของเหยียนตี้…
ฉินโยวโยวพุ่งตัวไปสกัดจุดชีพจรรอบปากแผลของเหยียนตี้อย่างรวดเร็วเพื่อห้ามเลือด ก่อนฉีกแขนเสื้อมากดแผลอันน่าสยดสยองที่ถูกแทงจากหน้าอกทะลุแผ่นหลังของเขาเอาไว้
นางรู้สึกว่าร่างในอ้อมแขนเย็นขึ้นทุกที นางถึงขั้นไม่มีความกล้าจะสัมผัสลมหายใจของเขา
ฉินโยวโยวหลับตาพลางถ่ายเทลมปราณของตนเองเข้าไปในกายเหยียนตี้ไม่หยุด กอดเขาไว้แน่น หวังจะใช้ความร้อนภายในร่างกายของตนเองทำให้ร่างเขาอบอุ่น หวังว่านี่จะเป็นเพียงฝันร้าย ขอเพียงนางลืมตาขึ้นก็จะมองเห็นสามีปีศาจนั่งอยู่ริมเตียง มองนางเงียบๆ ด้วยสีหน้าอ่อนโยน…
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ประตูของตำหนักอักษรก็ถูกคนผลักเปิดด้วยมือข้างหนึ่ง ตัวฮ่องเต้ยังมาไม่ถึงก็ส่งเสียงมาก่อนแล้ว “หย่งเล่อ เจ้าช่างประเสริฐนัก มานอนกะหนุงกะหนิงกับน้องสะใภ้อยู่ที่นี่…”
ครั้นเขามองเห็นภาพเหตุการณ์ภายในห้องชัดเจน รอยยิ้มเอ้อระเหยก็แข็งค้างอยู่บนหน้าทันที
ฉินโยวโยวจำเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่ได้ ผู้อื่นบอกว่านางกอดสามีปีศาจไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ถ่ายทอดลมปราณเข้าในกายเขาไม่หยุดจนกระทั่งหมดแรงสิ้นสติไป
ยามที่เหอหม่านจื่อรุดมาถึง แม้ทางหนึ่งจะรักษาเหยียนตี้ที่บาดเจ็บสาหัส อีกทางก็ยังต้องเป็นห่วงนาง หากมิใช่เพราะถูกความเคยชินของผู้เป็นหมอที่ต้องรักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วยและจรรยาบรรณแพทย์ที่ฝังรากลึกในสมองฉุดรั้งเอาไว้ ก็เป็นไปได้มากว่าเขาจะทิ้งเหยียนตี้ไปช่วยนางก่อนแล้ว
ได้ข่าวว่าผู้ที่ช่วยเสริมลมปราณให้นางคือฮ่องเต้ มิเช่นนั้นก็เป็นไปได้มากว่านางอาจจะใช้ตบะที่เพิ่งได้คืนมาไปจนหมดสิ้นอีกครั้ง
ฉินโยวโยวถูกส่งตัวมาพักฟื้นในวังชิ่งชุนของไทเฮา ส่วนเหยียนตี้ก็ถูกจัดให้อยู่ในตำหนักอีกแห่งข้างๆ กัน
ข่าวที่ทั้งสองเกิดเรื่องถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา แม้แต่ขุนนางใหญ่คนสำคัญก็ยังได้รับข่าวเพียงว่าหลังงานฉลองปีใหม่มีมือสังหารจากสำนักเฟิ่งเสินเข้าวังหมายจะปองร้าย แต่ถูกฆ่าตายไปหลายคน ไทเฮาได้รับความตกใจ ฮ่องเต้ยุ่งกับราชการงานเมือง ด้วยเหตุนี้จึงให้เซิ่งผิงชินอ๋องกับพระชายารั้งอยู่เป็นเพื่อนไทเฮาในวัง
เพียงไม่นานในเมืองหลวงก็มีข่าวลือแพร่สะพัดอีกว่าเรื่องที่เซิ่งผิงชินอ๋องสามีภรรยาอยู่เป็นเพื่อนไทเฮานั้นไม่เป็นความจริง…ความจริงคือคนหนึ่งฝึกทหารเป็นการลับ อีกคนกำลังเตรียมอาวุธสู้กับแคว้นตัวลี่
ไม่มีใครจะคิดถึงว่าคนทั้งสองที่เป็นการรวมตัวอันแข็งแกร่งที่สุดในสายตาคนทั้งหมด ตอนนี้ล้วนกำลังนอนหมดสติอยู่ในวัง
ฉินโยวโยวฟื้นขึ้นมาก็เป็นอีกสามวันให้หลังแล้ว นางลืมตาขึ้นอย่างงุนงง มองดูห้องที่ไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงนึกได้ว่าที่นี่ดูเหมือนจะเป็นตำหนักข้างในวังชิ่งชุน
พอนางขยับ คนที่เฝ้าอยู่ด้านนอกก็รู้ตัว ทางหนึ่งโบกมือบอกให้นางกำนัลไปรายงาน อีกทางก็พุ่งปราดไม่กี่ก้าวมาแหวกม่านเตียงก่อนกล่าวด้วยความดีใจ “ค่อยยังชั่วๆ นับว่าฟื้นเสียที ทำเอาหม่อมฉันเป็นห่วงแทบแย่แล้วจริงๆ!”
ฉินโยวโยวไม่แน่ใจอยู่ชั่วครู่ก็จำได้ว่าเป็นตู้เหวยเหนียง เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนนางสิ้นสติไปพลันหลั่งไหลเข้ามาในห้วงความคิดปานกระแสน้ำ
“หย่งเล่อเล่า!” ฉินโยวโยวแทบจะโพล่งถามออกมา
“ไม่เป็นอะไรแล้ว เด็กโง่ ท่านอ๋องไม่ทรงเป็นอะไร ท่านไม่ต้องกลัว!” ตู้เหวยเหนียงไม่มีเวลาให้คำนึงเรื่องฐานะสูงต่ำอีก ยื่นมือมากอดฉินโยวโยวเข้าสู่อ้อมแขน กล่าวปลอบด้วยเสียงนุ่มนวล
ใบหน้าเล็กๆ ของฉินโยวโยวเป็นสีขาวหิมะ ในดวงตามีแต่ความตื่นตระหนกหวาดผวา เห็นแล้วชวนให้คนปวดใจ
“จริงๆ นะ?” นางจำได้ชัดเจนว่าสามีปีศาจถูกกระบี่แทงทะลุหัวใจ ไฉนจึงไม่เป็นอะไรไปได้เล่า หรือว่านางเพียงแค่ฝันร้ายไปจริงๆ
“ท่านอ๋องทรงมีบุญมาก พระชะตาแข็ง หากทรงเป็นอะไรไป หม่อมฉันมีหรือจะยังอยู่ที่นี่ได้ และยิ่งไม่มีแก่ใจจะล้อเล่นกับท่านแล้ว” ตู้เหวยเหนียงลูบหลังตบไหล่ปลอบฉินโยวโยวราวกับนางยังเป็นเด็กน้อย
อารมณ์ของฉินโยวโยวสงบลงเล็กน้อย ทว่ายังมิอาจวางใจได้ “ข้าอยากไปพบเขา”
“ได้ๆ จะพาท่านไปพบเดี๋ยวนี้เลย” ตู้เหวยเหนียงตอบรับ
ตู้เหวยเหนียงหยิบเสื้อคลุมขนสัตว์ตัวหนามาคลุมฉินโยวโยวไว้ก่อนประคองออกมาข้างนอก ให้ขันทีใช้เกี้ยวแบกนางไปส่งยังตำหนักที่เหยียนตี้พักฟื้นอยู่
ด้านนอกท้องฟ้าสว่างจ้า หิมะหยุดตกแล้ว ฉินโยวโยวที่นั่งอยู่ในเกี้ยวรู้สึกได้เพียงความหนาวเหน็บถึงกระดูก นางทั้งร้อนใจอยากพบเหยียนตี้ไวๆ ทั้งกลัวจะพบว่าตู้เหวยเหนียงหลอกลวงนาง กระทั่งเกี้ยวหยุดลง ตู้เหวยเหนียงประคองนางมาถึงข้างในตำหนักอีกหลังหนึ่ง นางก็ยังรู้สึกว่ามือเท้าเย็นเฉียบ แข็งทื่อไปทั้งร่าง
ไทเฮากับฮ่องเต้ล้วนอยู่กันครบ พอเห็นตู้เหวยเหนียงพาฉินโยวโยวมา ฮ่องเต้ก็เป็นฝ่ายลุกขึ้นก่อนถอยไปสองสามก้าว เขาหลบไปนั่งลงข้างไทเฮาเองอย่างหาได้ยาก และยกที่นั่งเดิมของตนเองให้นาง
ในสายตาฉินโยวโยวมองไม่เห็นผู้อื่นโดยสิ้นเชิง นางเอาแต่จับจ้องเหยียนตี้ที่อยู่บนเตียง
ตู้เหวยเหนียงพาฉินโยวโยวนั่งลงริมเตียง นางยื่นมือไปลูบใบหน้าเหยียนตี้อย่างระมัดระวัง
ยังอุ่นอยู่ นางรู้สึกถึงลมหายใจของเขาได้ เขายังมีชีวิตอยู่จริงๆ!
ในใจฉินโยวโยวพลันโล่งขึ้นมาทันที นางเกือบทรุดร่างอยู่ริมเตียง น้ำตาเม็ดใหญ่พากันร่วงลงมา
ไทเฮาเอื้อมมือมาลูบศีรษะฉินโยวโยว กล่าวอย่างอ่อนโยน “เด็กดี ไม่ต้องร้อง หย่งเล่อไม่เป็นอะไร”
ในตำหนักไม่มีคนอื่น แม้แต่ตู้เหวยเหนียงก็ถอยออกไปแล้ว ฮ่องเต้จึงแค่นเสียงหัวเราะก่อนเอ่ยว่า “หากหย่งเล่อเป็นอะไรไป เราก็ต้องจากไปพร้อมเขาแล้วสิ น้องสะใภ้วางใจได้”
วาจานี้ไฉนจึงฟังดูพิกลเพียงนี้
ทว่าฉินโยวโยวคิดถึงจุดนี้แล้วก็เหลือบมองฮ่องเต้ปราดหนึ่ง นอกจากใบหน้าซีดเซียวอยู่สักหน่อยแล้วเขาก็ดูมีชีวิตอยู่ดี ในที่สุดนางก็วางใจได้สนิท
ฉินโยวโยวรับผ้าเช็ดหน้าที่ไทเฮายื่นให้มาซับน้ำตาอย่างเก้อเขินอยู่บ้าง ก่อนเอ่ยถามเสียงเบา “ขะ…ข้าเห็นหย่งเล่อถูกคนใช้กระบี่แทง…”
นางนึกถึงภาพเหตุการณ์นั้นขึ้นมาก็อดจะสั่นสะท้านไปทั้งร่างไม่ได้ หรือว่านางอารมณ์พลุ่งพล่านเกินไปจนมองผิด
ฮ่องเต้เลิกคิ้วตอบว่า “ตำแหน่งหัวใจของหย่งเล่อแตกต่างจากคนทั่วไปมาตั้งแต่เกิด หัวใจเขาจะอยู่เอียงจากปกติ อันที่จริงกระบี่เล่มนั้นมิได้แทงถูกจุดสำคัญ จะว่าไปก็เป็นเพราะพวกเราพี่น้องชะตายังไม่ถึงฆาตด้วย”
ฉินโยวโยวย้อนนึกเล็กน้อย ดูเหมือนจะเป็นตามนี้จริงๆ
นางมักซบอยู่บนร่างเหยียนตี้ ฟังเสียงหัวใจเต้นของเขาชินแล้วก็มิได้ใส่ใจ ตอนนี้มีฮ่องเต้เอ่ยเตือน…มิน่านางถึงรู้สึกอยู่ตลอดว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ที่แท้หัวใจของสามีปีศาจก็อยู่ตำแหน่งต่างจากผู้อื่น
ยังดีๆ!
ฉินโยวโยววางเรื่องในใจลงได้ทั้งหมดในที่สุด สมองก็เริ่มกลับมาทำงาน นางเงยหน้าถามฮ่องเต้ “คนที่ลอบทำร้ายหย่งเล่อในคืนนั้นเป็นใครเพคะ”
นางคิดไม่ออกว่าคนผู้นั้นลอบเข้าตำหนักอักษรอย่างไร้สุ้มเสียงภายใต้การสังเกตของผู้แข็งแกร่งระดับราชันยุทธ์ตั้งห้าคนได้อย่างไร และยิ่งไม่เข้าใจว่าเหตุใดมือของเหยียนตี้วางอยู่บนแกนกลางเปิดปิดกลไกแล้วแท้ๆ ไฉนกลับไม่เปิดการทำงานกลไกภายในห้อง
นางพยายามย้อนนึกถึงฝีมือของคนผู้นั้น แม้จะสมควรอยู่ระดับราชันยุทธ์เช่นกัน แต่ก็ไม่น่าจะแข็งแกร่งถึงขั้นนี้
บางที แม้จะมีกลไกในห้องอยู่และเหยียนตี้ยังคงหลบกระบี่นั้นไม่พ้น แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีทางหนีรอดออกไปได้ง่ายดายเพียงนี้
“เป็นมือสังหารจากแคว้นตัวลี่หรือควรกล่าวว่าเป็นคนที่สำนักเฟิ่งเสินส่งมา สมคบคิดกับนักกลไกและช่างฝีมือบางคนที่รับผิดชอบบูรณะตำหนักอักษร กลไกบางส่วนของตำหนักอักษรถูกคนทำลายตั้งแต่ก่อนพวกเจ้าเข้าไปแล้ว คนผู้นั้นน่าจะลอบเข้าไปล่วงหน้า แล้วใช้วิชาหดกระดูกและวิชาควบคุมลมหายใจซ่อนตัวอยู่ในช่องลับสำหรับติดตั้งกลไกจุดหนึ่งที่อยู่ใต้พื้น รอคอยโอกาสลงมือ” ฮ่องเต้บอกเล่าเพียงคร่าวๆ คงเพราะมีบางเรื่องยังตรวจสอบได้ไม่ชัด เขาจึงยังไม่พูดอะไรมาก
กลไกไม่สามารถใช้การได้ในเวลาสำคัญเช่นนี้ เขากับไทเฮาดูไม่ได้ต้องการจะต่อว่าฉินโยวโยว แต่ฉินโยวโยวกลับไม่ตำหนิตนเองไม่ได้
หากตอนแรกที่บูรณะตำหนักอักษร นางไม่ประมาทจนใช้การออกแบบตามเดิมของบรรพบุรุษเป็นส่วนใหญ่ ต่อให้นักกลไกที่เป็นหนอนบ่อนไส้เหล่านั้นอยากจะเล่นตุกติกก็คงไม่ง่ายดายเพียงนั้น
ด้วยคิดว่าตำหนักอักษรมีไว้ให้ฮ่องเต้ใช้ เมื่อสามีปีศาจไม่เป็นอะไร เขาก็จะไม่เป็นอะไรเช่นกัน ฉะนั้นนางถึงได้ไม่เป็นกังวลกับเรื่องนี้มากนัก
นางเองก็ไม่เคยคิดว่าช่างฝีมือกับนักกลไกที่อุทิศตัวทำงานให้สกุลเหยียนมาหลายชั่วคนเหล่านั้นจะถึงกับสมคบคิดกับศัตรูภายนอก พวกเขาแต่ละคนล้วนแต่รับหน้าที่บำรุงรักษากลไกตำหนักอักษรมาหลายปี ระดับความคุ้นเคยต่อกลไกส่วนที่ตนเองรับผิดชอบอาจจะมากกว่านางเสียด้วยซ้ำ
อีกอย่าง เพราะการออกแบบแต่เดิมวิเศษยิ่งยวดแล้วจริงๆ หากนางจะปรับเปลี่ยนยกระดับก็ทำได้เพียงใช้การออกแบบที่ไม่ควรปรากฏในยุคสมัยนี้ตามที่อาจารย์เคยบอกไว้ ทว่านางไม่อยากใช้ จึงได้แต่ใช้การออกแบบเดิมเป็นส่วนใหญ่ จนกลายเป็นการหยิบยื่นโอกาสให้ไส้ศึกได้ฉกฉวย
หากรู้ก่อนล่วงหน้าว่าจะมีผลลัพธ์เช่นนี้ นางจะฝ่าฝืนคำสั่งสอนของอาจารย์หรือไม่
ฝ่าฝืน…ฝ่าฝืนแน่นอน! ขอเพียงสามีปีศาจสามารถอยู่รอดปลอดภัยได้ก็พอแล้ว
สามีปีศาจเชื่อใจนางถึงเพียงนั้น ฝากความปลอดภัยในชีวิตของตนเองไว้ในมือนาง ทว่านางกลับทำให้เขาเกือบจะสิ้นชีพแล้ว…ทุกครั้งที่ฉินโยวโยวคิดถึงเรื่องนี้ก็ให้ตำหนิตนเองเหลือประมาณ
แม้ว่ากระบี่ที่แทงเหยียนตี้จะไม่ได้แทงถูกหัวใจ แต่เขาก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย เคราะห์ดีที่หลังจากผ่านคืนนั้นแล้ว ตบะของเขาก็ค่อยๆ ฟื้นกลับมา เนื่องจากร่างกายมีลมปราณเต็มเปี่ยม บาดแผลจึงสมานกันรวดเร็วยิ่ง ฮ่องเต้กับเหอหม่านจื่อล้วนบอกว่าด้วยสภาพอาการเช่นนี้ของเหยียนตี้ สลบต่อไปอีกสองสามวันจะเป็นผลดีต่อการฟื้นฟูร่างกายของเขา
ฉินโยวโยวยืนกรานจะอยู่ข้างกายเหยียนตี้ นางอยากจะเห็นเขาทุกเวลา สัมผัสถึงชีพจรและลมหายใจของเขาแล้ว นางถึงจะวางใจได้จริงๆ
เหอหม่านจื่อกลับค่อนข้างเป็นห่วงสภาพร่างกายฉินโยวโยว เนื่องจากก่อนหน้านี้นางถ่ายทอดลมปราณตนเองให้เหยียนตี้อย่างเต็มกำลังโดยไม่สนใจชีวิต รวมกับจิตใจได้รับความกระทบกระเทือน จึงส่งผลให้ตบะของนางถดถอยลง บัดนี้พอจะฝืนนับได้ว่าเป็นยอดยุทธ์ขั้นเจ็ดเท่านั้น
โชคดีที่ร่างกายนางเคยผ่านการปรับเปลี่ยนจากน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรงมากนัก
ทว่าเหอหม่านจื่อกลับพบว่าฉินโยวโยวไม่อาจใช้วิธีบำเพ็ญตนแต่เดิมมาเพิ่มตบะได้แล้ว
ตัวของฉินโยวโยวกลับมิได้ใส่ใจนัก เดิมทีนางก็ไม่ได้คิดจะแสวงหาขีดขั้นสูงสุดในสายวรยุทธ์อยู่แล้ว และก็ไม่เคยคิดจะเป็นผู้ไร้เทียมทานในใต้หล้าด้วย สำหรับนางแล้วขั้นเก้ากับขั้นเจ็ดก็แตกต่างเพียงเรื่องการเคลื่อนไหวช้าเร็วและพละกำลังมากน้อยเท่านั้น
ฉินโยวโยวรู้ว่าเรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับวิธีการฟื้นฟูตบะให้นางของเหยียนตี้ เขาคงรู้สึกว่านางอยู่กับเขาแล้วเขาถ่ายทอดลมปราณให้นางทุกเวลาจะไวและง่ายกว่าการที่นางบำเพ็ญตบะด้วยตนเองกระมัง
แม้เป็นการตัดสินใจแทนนางโดยพลการ แต่นางก็ไม่มีแก่ใจจะตำหนิเขาแล้ว
เพราะเรื่องไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นกับเหยียนตี้ ฮ่องเต้จึงได้ส่งสารด่วนขอความช่วยเหลือไปยังเขตหวงห้ามหมู่บ้านซือตี้ในคืนเทศกาลปีใหม่ วันรุ่งขึ้นพอเหล่าผู้อาวุโสที่เสร็จสิ้นจากพิธีบวงสรวงออกจากเขตหวงห้ามมาแล้วจึงได้ล่วงรู้ถึงสถานการณ์ร้ายแรง ก็รีบส่งผู้อาวุโสที่เก่งกาจที่สุดจำนวนหนึ่งมาเสริมกำลังยังวังหลวงทันที
ภายใต้การตรวจตราดูแลของเหล่าผู้อาวุโส วันที่ฉินโยวโยวฟื้นขึ้นมา กลไกที่เคยถูกทำลายของตำหนักอักษรก็ล้วนซ่อมแซมเสร็จทั้งหมดแล้ว
หลังปีใหม่หยุดว่าราชการได้สามวัน ฮ่องเต้ก็เริ่มต้นชีวิตอันยุ่งง่วนของเขาภายในตำหนักอักษรอีกครั้ง ส่วนฉินโยวโยวพอฟื้นขึ้นมาก็ไปพักฟื้นอยู่กับเหยียนตี้ที่ห้องข้างของตำหนักอักษรเพื่อความปลอดภัย
ได้ข่าวว่าในคืนปีใหม่ กลไกที่ติดตั้งใหม่นอกตำหนักอักษรเล่นงานยอดฝีมือหลายคนจากสำนักเฟิ่งเสินได้จริงๆ ในวังจึงกลับสู่ความสงบชั่วคราว
พวกเขาล้วนไม่อยากทำให้ข่าวที่เหยียนตี้บาดเจ็บสาหัสรั่วไหลออกไป อีกทั้งฉินโยวโยวที่มีฐานะเป็นพระชายาอ๋องเดิมทีก็ไม่ควรปรากฏตัวที่ตำหนักอักษร ดังนั้นยามปกตินางจึงไม่ก้าวเท้าออกจากห้อง มีเพียงตอนกลางคืนและเช้าตรู่ที่ตำหนักอักษรปราศจากคนนอกแล้ว นางถึงจะออกมาเดินตรวจดูกลไกโดยรอบว่าทำงานเป็นปกติหรือไม่
ฉินโยวโยวเข้าพักในห้องข้างวันแรกก็ได้ยินเสียงทะเลาะดุเดือดดังมาจากทางตำหนักอักษรแล้ว เริ่มแรกนางไม่ได้สนใจ คิดว่าเป็นฮ่องเต้อารมณ์ฉุนเฉียวเนื่องจากระยะนี้เขากับน้องชายได้รับบาดเจ็บติดๆ กันและเรื่องต่างๆ ก็ไม่ราบรื่น ผลคือวันถัดมาเสียงทุ่มเถียงกลับยิ่งดัง นางเริ่มอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาบ้างแล้ว
เมื่อฟังดูดีๆ คล้ายว่าเป็นฮ่องเต้กับเหล่าขุนนางใหญ่คนสำคัญกำลังถกเถียงถึงเรื่องที่ฮ่องเต้จะออกศึกเอง
ฮ่องเต้อยากนำทัพลงสนามรบด้วยตนเองเพื่อล้างแค้นที่แคว้นตัวลี่และสำนักเฟิ่งเสินส่งคนมาลอบสังหารก่อความวุ่นวายติดๆ กัน เหล่าขุนนางใหญ่กลับเห็นว่าเรื่องทำศึกมีเซิ่งผิงชินอ๋องรวมถึงแม่ทัพมากมายดูแลอยู่แล้ว ฮ่องเต้ผู้มีฐานะและพระวรกายอันสูงส่งไม่ควรไปเสี่ยงอันตรายง่ายๆ
ในคำพูดแทบจะแสดงชัดว่าอีกฝ่ายมียอดฝีมือแห่งยุคอย่างเจียงหรูเลี่ยนอยู่ แค่เพียงคนเดียวยังกล้าบุกมาสังหารยอดฝีมือจำนวนมากและลอบทำร้ายฮ่องเต้ถึงในสถานที่สำคัญอย่างวังหลวงแคว้นเซียงเยวี่ย แล้วถ้ายามที่สองทัพเผชิญหน้ากัน เจียงหรูเลี่ยนบุกโจมตีอีกครั้ง ฮ่องเต้มีหรือจะหลบพ้นเคราะห์ครั้งนี้ไปได้
ฮ่องเต้ยืนกรานยิ่ง เหล่าขุนนางใหญ่ก็คิดว่าตนเองมีเหตุผลเช่นกัน สองฝ่ายจึงตกอยู่ในสภาพไม่มีใครยอมใคร
ฉินโยวโยวกลับพอจะเข้าใจความคิดของฮ่องเต้ แต่นางยังคงรู้สึกว่าเขาทำเช่นนี้ไม่ฉลาดเอาเสียเลย
ตกค่ำนางออกตรวจกลไกแต่ละแห่งนอกตำหนักอักษรกับเหลียงลิ่งตามปกติ
หลังสวินเหมยนางข้าหลวงข้างกายไทเฮาตายไป เหลียงลิ่งก็ทำหน้าที่อารักขาไทเฮาแทนเป็นการชั่วคราว เนื่องจากไม่กี่วันก่อนเหยียนตี้บาดเจ็บสาหัส ไทเฮาจึงยืนกรานให้เหลียงลิ่งมารับใช้เหยียนตี้ ส่วนข้างกายตนเองก็เปลี่ยนเป็นผู้แข็งแกร่งระดับราชันยุทธ์อีกคนมาอารักขาแทน
ฉินโยวโยวเดินมาถึงเบื้องล่างบันไดศิลานอกตำหนักอักษรก็บังเอิญพบฮ่องเต้สืบเท้ายาวเดินออกมาจากในตำหนักอักษรพอดี
ฮ่องเต้มองเห็นฉินโยวโยวก็เก็บอารมณ์หงุดหงิดโมโหบนหน้าลง กล่าวขึ้นยิ้มๆ “น้องสะใภ้น่ะเอง!”
ฉินโยวโยวหันหน้าไปมองเขาก่อนเอ่ยว่า “ท่านคิดจะออกศึกเอง? เกิดไปเจอเจียงหรูเลี่ยนเข้ามีแผนจะทำเช่นไร”
ฮ่องเต้ตอบด้วยท่าทีเอื่อยเฉื่อย “ถึงอย่างไรมีหย่งเล่อนั่งบัญชาการอยู่ในเมืองหลวง อีกทั้งเราก็ไม่มีทางตาย น้องสะใภ้ไม่รู้สึกว่าให้เราออกรบถึงจะสมเหตุสมผลที่สุดหรือไร”
“ท่านไม่เป็นอะไรแน่ แต่บรรดาคนที่อารักขาท่านรวมถึงทหารที่ท่านนำทัพไปจะทำอย่างไร” คำถามของฉินโยวโยวตรงไปตรงมายิ่ง
ฮ่องเต้หุบรอยยิ้มบนใบหน้า “พวกเจ้าแต่ละคนล้วนตัดสินไปแล้วว่าเราจะพ่ายแพ้ จะต้องถูกเจียงหรูเลี่ยนไล่ฆ่าที่แนวหน้าจนต้องหนีหัวซุกหัวซุนใช่หรือไม่! สภาพของเจียงหรูเลี่ยนเจ้าสมควรจะรู้ดีกว่าใคร เขาก็เหมือนกับหย่งเล่อ เวลานี้ไม่เหมาะจะให้ลงสนามรบโดยสิ้นเชิง หากเจียงหรูเลี่ยนกล้ามา ฮึ! ใครจะเป็นใครจะตายก็มีเพียงสวรรค์ที่รู้!”
เพื่อป้องกันไม่ให้คนของสำนักเฟิ่งเสินลอบเข้ามาได้ ภายในระยะสามสิบจั้งรอบตำหนักอักษรจึงไล่คนออกไปหมดตั้งแต่ยามซวี ฮ่องเต้จึงกล่าววาจาโดยไม่มีความเกรงกลัวขึ้นมาก
เขามิได้พูดออกมาชัดเจน แต่ฉินโยวโยวเข้าใจความคิดของเขาได้ ฮ่องเต้อยากจะใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อเจียงหรูเลี่ยนมาลงสนามรบ จากนั้นก็จะวาง ‘กับดักไอสังหาร’ เล่นงานอีกฝ่าย เร่งให้ลมปราณอีกฝ่ายปะทุกระทั่งเรียกเคราะห์ความเป็นความตายในการเลื่อนขั้นเป็นเซียนยุทธ์มา
เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความลับของเหยียนซู่กับเหยียนตี้สองพี่น้อง ไม่อาจอธิบายต่อบรรดาขุนนางให้ชัดเจนได้ สมควรกล่าวว่าฮ่องเต้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการดำเนินแผนการนี้จริงๆ
ฮ่องเต้เห็นฉินโยวโยวเงียบไปก็พูดเสียงเย็น “เรื่องเหล่านี้เจ้าไม่ต้องสอดมือยุ่ง เจ้าสงบใจดูแลหย่งเล่อให้ดีก็พอแล้ว ตราบที่แคว้นตัวลี่ยังไม่ล่มสลาย สำนักเฟิ่งเสินยังไม่สูญสิ้น และเจียงหรูเลี่ยนยังไม่ตาย…พวกเราสองพี่น้องตลอดจนสกุลเหยียนก็ไม่มีวันมีชีวิตที่สงบสุข เราลิ้มรสความรู้สึกที่ต้องวิตกกังวลประหวั่นพรั่นพรึงในวันนั้นของทุกปีมาพอแล้ว”
ฉินโยวโยวสะท้านไปทั้งร่าง พลันนึกถึงภาพเหยียนตี้นั่งเอียงพับตัวโชกเลือดอยู่ในตำหนักอักษรเมื่อไม่กี่วันก่อนขึ้นได้ ส่วนลึกในก้นบึ้งหัวใจคล้ายว่ามีกองเพลิงกำลังแผดเผา!
หากแคว้นตัวลี่ สำนักเฟิ่งเสิน และเจียงหรูเลี่ยนต่างไม่อยู่แล้ว เช่นนั้นก็จะไม่มีใครคุกคามชีวิตของเหยียนตี้ได้อีกต่อไป ในวันนั้นของทุกปีนางก็ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงหรือกลัวว่าฝันร้ายเมื่อไม่กี่วันก่อนจะฉายซ้ำอีก
ครั้นความคิดนี้เกิดขึ้นมาก็ยับยั้งไม่อยู่อีกต่อไป นางพูดโพล่งออกมาโดยแทบไม่ผ่านการไตร่ตรอง “ท่านขนปืนใหญ่ในเขตหวงห้ามออกมาแล้วกัน”
“ว่าอะไรนะ!” ฮ่องเต้คาดไม่ถึงอย่างยิ่ง แต่เพียงไม่นานสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นดีใจล้นพ้น “จริงหรือ!”
“จริง…” ฉินโยวโยวได้ยินคำตอบที่ทั้งเยียบเย็นทั้งแน่วแน่ของตนเอง
ในใจก็มีเสียงหนึ่งห้ามนางไม่หยุดว่าเจ้ารู้หรือไม่ว่าถ้าปืนใหญ่กระบอกนั้นปรากฏขึ้นจะทำให้คนตายตั้งเท่าไร! เมื่อปืนใหญ่ยิงออกไป ชีวิตนับร้อยนับพันก็ดับลงได้ในชั่วพริบตา!
อีกเสียงหนึ่งกลับกำลังแย้งเสียงดัง สงครามไหนเลยจะไม่มีคนตาย คนตายเรือนพันเรือนหมื่นในศึกเดียว กับคนทยอยตายเรือนพันเรือนหมื่นในศึกอันไม่รู้จบมีอะไรแตกต่างกัน! พวกคนที่ต้องการทำร้ายหย่งเล่อเหล่านั้นจำเป็นต้องถูกกำจัดโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ พวกเขาตายแล้ว สามีของข้าก็จะปลอดภัย! พวกเขามาเข่นฆ่าทำร้ายพวกเราได้ฝ่ายเดียวอย่างนั้นหรือ!
ติดตามตอนต่อไป
Comments
comments
No tags for this post.