“ขอบคุณแม่นางอวี้ที่ชมเชย” เจี้ยนหลันห้ามตนเองไม่ให้ถอนหายใจ
“จริงสิ แม่นางเจี้ยนหลัน เมื่อครู่เจ้าหิ้วกล่องตั้งหลายใบคนเดียวสบายๆ เชื่อว่าจะต้องมีวิชายุทธ์ล้ำเลิศแน่” อวี้หมี่มองอีกฝ่ายอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ “ข้าขอคำนับเจ้าเป็นอาจารย์ได้หรือไม่”
“แค่เคยฝึกหมัดมวยนิดหน่อยเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้ร่างกายเท่านั้น จะเอาวิชาที่ใดมาสอนผู้อื่นกัน” สายตาที่จ้องมองมาอย่างคาดหวังทำให้เจี้ยนหลันขนลุกเกรียว “อีกอย่างฝึกยุทธ์ใช่จะฝึกกันได้ง่ายๆ แม่นางเรียนไปก็ไม่มีโอกาสได้ใช้จริง แล้วจะฝึกให้เหนื่อยเปล่าไปไยเล่า”
“ได้ใช้สิ” อวี้หมี่กะพริบตาปริบๆ ใบหน้ากลมป้อมเคร่งเครียดขึ้นอย่างหาได้ยาก “เจ้าก็รู้ว่าข้าเปิดร้านขายอาหารริมทางกับน้องชาย ปกติลูกค้าที่เข้าร้านมีแต่คนคุ้นเคยกันทั้งนั้นก็จริง แต่ร้านข้าอยู่ไกลออกไปนอกเมือง เคราะห์หามยามร้ายเจอพวกกองโจรหลังม้าปล้นร้านจะทำอย่างไรเล่า”
“ชายแดนตะวันออกไม่มีโจรหลังม้า” เพราะถูกท่านแม่ทัพใหญ่กวาดล้างจนราบคาบไปตั้งแต่สองปีก่อนแล้ว
“เอ่อ…ถึงอย่างไรก็ต้องมีโจรกระจอกตาไร้แววบ้างล่ะน่า” เด็กสาวร่างกลมเล็กยังคงพูดต่ออย่างไม่ยอมแพ้
“ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก” เจี้ยนหลันยิ้มน้อยๆ อย่างน่ามอง ไม่กล้าอธิบายมากว่าเจ้านายของนางแวะเวียนไปที่ร้านริมทางสองสามวันครั้ง โจรกระจอกที่ใดยังจะใจกล้าเข้าปล้นร้านนั้นอีก
“เอาเป็นว่ากันไว้ดีกว่าแก้…” อวี้หมี่ยังพยายามโน้มน้าวเพื่อฝากตัวเป็นศิษย์กับอีกฝ่ายให้ได้
“แม่นางอวี้ ค่ายทหารอยู่ข้างหน้านั่นแล้ว” เจี้ยนหลันรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เดี๋ยวพอยกอาหารไปให้แล้วท่านจะกลับจวนก่อนหรือจะรอกลับพร้อมท่านแม่ทัพใหญ่”
ใบหน้ากลมป้อมของอวี้หมี่แดงวาบขึ้นมาตามคาด “หะ…เหตุใดข้าต้องรอกลับพร้อมเขาด้วย ข้าเป็นแค่แม่ครัวที่เอาอาหารมาส่งเท่านั้น…จะกลับด้วยกันกับเขาไปไย”
สาวใช้ยกแขนเสื้อขึ้นป้องปากลอบยิ้มขัน แต่ยังแสร้งรับคำด้วยสีหน้าจริงจัง “ทราบแล้ว”
“อุ๊ย! มีม้าด้วย” อวี้หมี่หน้าร้อนผ่าวอย่างไม่มีสาเหตุ ต้องเบี่ยงเบนประเด็นทำเป็นตื่นเต้นกับทิวทัศน์นอกตัวรถแทน
“ข้ามไปทางฟากนั้นเป็นสนามฝึกม้าใหญ่ที่สุดในแถบชายแดนตะวันออก เป็นของท่านแม่ทัพใหญ่เช่นกัน”
อวี้หมี่มองตามด้วยสีหน้าตกตะลึง
“เป็นที่รู้กันทั้งแผ่นดินว่าม้าที่ดีที่สุดมาจากชายแดนตะวันออก และม้าพันลี้กับม้าศึกที่ดีที่สุดของแถบชายแดนตะวันออกมาจากสนามฝึกม้าสกุลเยียนทั้งสิ้น” เจี้ยนหลันตาเป็นประกายพลางเล่าอย่างภาคภูมิ
ยามนี้เด็กสาวอึ้งเสียจนพูดไม่ออก นางรู้แต่แรกแล้วว่าเยียนชิงหลางมีตำแหน่งเป็นถึงแม่ทัพพิทักษ์บูรพา กุมอำนาจเหนือกำลังทหารหนึ่งในสี่ของแผ่นดิน ซ้ำยังเป็นทายาทชายรุ่นหลานเพียงหนึ่งเดียวของจวนเยียนกั๋วกงอันยิ่งใหญ่ทรงอำนาจแห่งเมืองหลวง อยู่ในฐานะสูงส่งอย่างไร้คำบรรยาย แต่พอได้มาเห็นกับตาว่าเขายังมีที่ดินผืนใหญ่เช่นนี้อยู่ในมือ แล้วนึกถึงร้านริมทางเล็กๆ ที่ตนกับน้องชายใช้เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แต่ละวันทำกำไรได้เท่าหัวแมลงวัน ต่อให้เก็บเงินสักสามปีห้าปีก็ยังไม่มีปัญญาซื้อแม้แต่ขาข้างเดียวของม้าพันลี้จากสนามเขา…
นางกับเขาแตกต่างกันไกลลิบเลยทีเดียว
ความรู้สึกแปลกๆ ผุดขึ้นในหัวใจอวี้หมี่ นางบอกไม่ถูกว่ามันคืออะไร คล้ายจะเป็นความอัดอั้น คล้ายจะเป็นความเจ็บปวด นอกจากนั้นยังมีเสี้ยวความขมขื่นและความหดหู่อันไร้สาเหตุปะปนอยู่ด้วย
นางเอื้อมมือไปรวบม่านหน้าต่างจนสุด แล้วชะโงกหัวออกไปครึ่งหนึ่ง หลับตาลง ปล่อยให้สายลมเย็นเหนือทุ่งหญ้าพัดใส่ใบหน้า กลิ่นดินกลิ่นหญ้าจางๆ ช่วยให้ลมหายใจที่อั้นอยู่ในอกโล่งสบายขึ้นมาก
“แม่นางอวี้ระวัง!” เจี้ยนหลันไม่ล่วงรู้สภาพจิตใจนาง แต่เห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวนจนต้องรีบดึงนางกลับเข้ามานั่งเหมือนเดิม “รถม้าแล่นเร็ว หากท่านพลัดตกลงไปจะวุ่นวายยกใหญ่”
“ไม่เป็นไรๆ ข้ายังสบายดี ก็แค่…อยากรับลมนิดหน่อย” นางสูดหายใจลึกๆ แล้วยิ้มกว้างให้สาวใช้ “นั่งรถม้ามันอุดอู้ เดี๋ยววันไหนมีโอกาสข้าหัดขี่ม้าบ้างดีกว่า จะได้สัมผัสว่าการควบม้าห้อตะบึงให้ความรู้สึกอย่างไร”
“เอ่อ…แม่นางขออนุญาตท่านแม่ทัพใหญ่ก่อนแล้วกัน”
“เหตุใดต้องขออนุญาตเขาด้วยเล่า” รอยยิ้มของอวี้หมี่ชะงักค้างไปทันที กลายเป็นหงุดหงิดแทน “ข้าไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเสียหน่อย จะขี่ม้าหรือไม่ขี่ ต้องให้เขามาควบคุมด้วยหรือไร เกิดวันใดข้าซื้อม้าสักสามตัวห้าตัวมาเวียนกันขี่โดยเฉพาะก็ไม่ใช่เรื่องของเขาสักนิด”
“ขี่ม้ามันอันตราย” เจี้ยนหลันกระแอม แล้วไม่ลืมที่จะเตือน “อีกอย่างม้าในแถบชายแดนตะวันออกนี้อยู่ใต้การควบคุมของกองทัพทั้งหมด คนธรรมดาซื้อไม่ได้หรอก”
“ถ้าเช่นนั้นข้าขี่ลาแทนคงได้กระมัง” นางย้อนถามแบบเคืองๆ เสียจนเจี้ยนหลันหมดคำที่จะพูดกับนาง