บทที่สาม
บนถนนสายหลักกลางป่าเขา
ใบไม้เขียวให้ร่มเงา แสงแดดสีทองส่องลอดใบไม้ แมลงตัวเล็กดุจเมล็ดข้าวบินร่อนอยู่กลางแมกไม้ประดุจฝุ่นผง
นางในชุดเขียวน้ำทะเลมือคล้องห่อสัมภาระ เดินออกจากทางเล็กบนเขามุ่งหน้าไปยังถนนหลัก
บนถนนใหญ่พลันมีเสียงกีบเท้าม้าดังมา ไม่ทันไรคนสี่คนก็ควบม้าทะยานเข้ามา จากที่ไกลๆ ทั้งสี่เห็นแม่นางที่กำลังเดินอยู่ข้างถนนหลักจู่ๆ ก็หมดสติไป เดิมทีทั้งสี่สามารถห้อทะยานผ่านเลยไปตรงๆ ได้ แต่คนตรงกลางในชุดผ้าแพรหรูหราที่เห็นชัดว่าเป็นเจ้านายกลับร้องสั่งหยุดกะทันหัน
เขาบังคับม้าให้หยุด พยักพเยิดต้องการให้ใครไปดู
“ไปดูหน่อย”
ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งลงจากม้าไปยังข้างกายสตรีชุดเขียวแล้วจับนางพลิกตัวขึ้นมา เจ้านายอายุน้อยผู้นั้นครั้นเห็นใบหน้างดงามของนางก็พลันตกตะลึง ลงจากม้าเดินเข้าไปทันทีแล้วเอ่ยถาม
“นางเป็นอะไรไป”
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นจับชีพจรนางครู่หนึ่งค่อยกล่าวว่า
“นายน้อย แม่นางผู้นี้เพียงร่างกายอ่อนแอสลบไปเท่านั้น”
เหตุใดนางดูแล้วคุ้นหน้าถึงเพียงนี้
นายน้อยในชุดแพรขมวดคิ้วมองดูแม่นางชุดเขียว ผ่านไปครู่หนึ่งก็คุกเข่าลงโดยพลัน ยื่นมืออุ้มนางขึ้นมาจากพื้นแล้วขึ้นคร่อมม้าอีกครั้ง พุ่งทะยานออกไปอย่างว่องไว
“ฟื้นแล้วหรือ”
ดวงตาเรียวชี้ดั่งพญาหงส์ดูคล้ายเย็นชา ในนั้นกลับมีความเร่าร้อนที่ปิดไม่มิด ผู้พูดใบหน้าขาวจัด มือขาวมาก ลำคอก็ขาวมาก ขาวจนคล้ายไม่มีสีเลือด
นางมองดูเขา ไม่ได้เอ่ยปาก
“เจ้าชื่ออะไร” เขาถามอีก
นางยังคงไร้คำพูด เพียงผินหน้าไปมองดูการตกแต่งรอบด้าน
“หิวหรือยัง” เขาชี้อาหารบนโต๊ะ “ตรงนี้มีของกิน”
นางเคลื่อนสายตาอีกครั้ง ในที่สุดก็มองเห็นของที่นางต้องการบนโต๊ะอีกตัว นางไม่สนใจอาหารที่คนผู้นั้นประคองเข้ามา เพียงลงจากเตียงไปข้างโต๊ะ ฝนแท่งหมึกแล้วหยิบพู่กันแต้มหมึกเล็กน้อย ก่อนจะเขียนตัวอักษรไม่กี่ตัวลงบนกระดาษเซวียนจื่อ*
เด็กหนุ่มในชุดแพรเห็นดังนั้นก็เดินตามนางไป อ่านตัวอักษรบนกระดาษ
“เจ้าชื่อโม่เอ๋อร์?”
นางหันกลับมามองเขา พยักหน้าเล็กน้อย
“เจ้าพูดไม่ได้หรือ” เขาถามอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง
นางเพียงมองเขา ไม่พยักหน้าหรือส่ายหัว
อันที่จริงในใจเขาตั้งมั่นไว้แน่ชัดนานแล้ว ใช้จังหวะที่นางยังไม่มีปฏิกิริยาใด เพียงถามเรื่องที่ตนอยากรู้
“เจ้าเป็นคนที่ใด”
นางถือพู่กันเขียนอักษร ‘หลิ่งหนาน’ ลงไปสองตัว
เขาเห็นแล้วในใจพลันพลุ่งพล่านขึ้นมาระลอกหนึ่ง ยื่นมือจับสองไหล่ของนางกะทันหัน กลั้นหายใจถามนางอย่างรอคอย
“ในบ้านเจ้ายังมีคนอื่นอีกหรือไม่”
โม่เอ๋อร์หน้าซีดไปเล็กน้อย เบิกตามองเขา
“ขอโทษด้วย” เขาถึงเพิ่งพบว่าตนเองตื่นเต้นเกินไปจึงรีบปล่อยมือ แต่ยังคงถามซ้ำอีกครั้งอย่างทนไม่ไหว “แม่นางโม่เอ๋อร์ ที่บ้านเจ้ายังมีคนอื่นอีกหรือไม่”
นางถอยหลังก้าวหนึ่ง ออกห่างจากระยะสองแขนของเขาถึงค่อยส่ายหน้าช้าๆ
“เช่นนั้นหรือ” เขาคล้ายถูกสาดด้วยน้ำเย็น สีหน้าตื่นเต้นหดหายไป ปรากฏเป็นความหดหู่อย่างเด่นชัดอยู่บ้าง
โม่เอ๋อร์ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงหน้าม่อยคอตกเช่นนี้ จึงขมวดคิ้วงาม ยื่นมือออกไปแตะแขนเสื้อเขาเบาๆ
เห็นนางทำหน้าสงสัย เขาถึงฉีกยิ้มมุมปากกล่าว
“ขออภัยด้วย ข้าเพียงนึกว่าเจ้าเป็นใครคนหนึ่งที่ข้ารู้จักในสมัยก่อน”
นางนิ่งเงียบ ไม่ถามอะไรอีก
มองดูใบหน้าที่คล้ายกับคนผู้นั้นถึงเพียงนี้ของนาง เขาแทบจะนึกไปว่านางคือคนคนนั้น ดังนั้นก่อนหน้านี้ถึงไล่คนอื่นออกไป อยากจะถามนางเป็นการส่วนตัว แต่คาดไม่ถึงว่านางกลับไม่ใช่
ตั้งแต่เล็ก ในความทรงจำของเขามีแม่นางคนหนึ่งอยู่เป็นเพื่อนเขาเสมอมา แต่ว่าความทรงจำนั้นเลือนรางยิ่งนัก อีกทั้งทุกครั้งที่เขาถือโอกาสถามยามท่านพ่ออารมณ์ดี ท่านพ่อเดี๋ยวก็ว่าไม่มีเรื่องเช่นนี้ บ้างก็ว่าเด็กหญิงคนนั้นคือเสี่ยวชุ่ยหลานสาวของท่านแม่ ถ้าเขายังเซ้าซี้ถามอีกก็จะถูกโบยชุดหนึ่ง แต่ว่าเขาเคยเจอเสี่ยวชุ่ย เขารู้ว่าเด็กหญิงคนนั้นไม่ใช่เสี่ยวชุ่ย ทว่าความทรงจำช่วงก่อนอายุห้าขวบของเขาคล้ายมีม่านหมอกสีหม่นปกคลุม ทำให้ไม่ว่าเขาจะนึกอย่างไรก็นึกไม่ออก…
เขาพลันได้สติกลับมา และเห็นว่าแม่นางตรงหน้ากำลังจ้องมองเขาตรงๆ เขาถึงเพิ่งนึกออกว่ายังไม่ได้แนะนำตนเองจึงรีบกล่าว
“ที่นี่คือปราสาทเขากระบี่เทพ ข้าแซ่กู้ ชื่อคำเดียวว่าอี้ เป็นนายน้อยของที่นี่ เมื่อวานยามข้ากับพวกท่านอากลับปราสาทเขา เห็นแม่นางสลบอยู่ข้างทางถนนหลัก จึงถือวิสาสะพาแม่นางกลับมาด้วยกัน ขอแม่นางอย่าได้ถือสา”
นางได้ยินแล้วเพียงกลับไปเขียนบนกระดาษ
‘โม่เอ๋อร์ขอบคุณนายน้อยยิ่งนัก’
“ไม่ต้องเกรงใจ” เขายิ้มตอบบางๆ มองใบหน้าคุ้นเคยของนางนี้ ในใจคล้ายมีอะไรบางอย่างกำลังกระโดดโลดเต้น เขาโพล่งถามออกไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ “แม่นางร่างกายอ่อนแอ หากไม่รังเกียจก็พักที่นี่สักสองสามวันเป็นอย่างไร”
นางจ้องมองเขา เนิ่นนานถึงค่อยพยักหน้าให้ด้วยใบหน้าเรียบเฉย
ใบหน้าขาวซีดของเขาเผยรอยยิ้มเบิกบานแล้ว แต่งแต้มสีสันบนใบหน้าไร้ชีวิตชีวาของเขา
นอกหน้าต่างลมพัดโชย ใบเหลืองบนกิ่งไม้ร่วงลงมาหลายใบ บินตลบอยู่กลางอากาศ…