14 วัน 14 เรื่อง
ทดลองอ่าน ลำนำรักมังกรดำ ชุด หัวใจเจ้าทะเล
ดอกชาภูเขามักส่งกลิ่นหอมออกมาในยามที่ผู้คนไม่ทันรู้ตัว
บนกลีบดอกไม้สีแดงบอบบางเป็นชั้นๆ มีหยดน้ำค้างใสแวววาว เมื่อลมพัดผ่าน ดอกไม้สั่นไหวเบาๆ หยดน้ำร่วงหล่น กลิ่นหอมก็จะแผ่กระจายตามลมออกมา
สีแดงสดที่บานสะพรั่งเต็มที่นี้งดงามเป็นอย่างยิ่ง กลายเป็นการตัดกันอย่างรุนแรงกับผักดอกตากแห้งที่หดลีบแห้งเหี่ยวซึ่งอยู่ด้านข้างห่างไปสองชุ่น* เหมือนกับหญิงสาวงดงามวัยแรกแย้มกับหญิงแก่ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยอย่างไรอย่างนั้น
โม่เอ๋อร์ยืนอยู่หน้าพุ่มชาภูเขา มองดูความแตกต่างอันน่าตกตะลึงนี้ ไม่รู้ว่าตนเองจะโรยราเช่นชาภูเขาที่แห้งเหี่ยวเมื่อไร บางที…นางอาจปล่อยกลิ่นหอมไปจนหมดสิ้นนานแล้ว ได้แต่รอวันโรยร่วงเท่านั้น
หนึ่งเดือนแล้ว แต่นางกลับเหมือนผ่านวันเวลาไปหนึ่งปี
ความเหนื่อยล้าเช่นนี้นางไม่ได้คาดคิดไว้ในตอนแรก…หรือบางทีนางอาจคาดเดาไว้แล้ว เพียงแต่อยากลองเดิมพันดู? บางทีอาจเป็นอย่างหลังกระมัง…
นี่คือการเดิมพัน นางมิได้โง่งม และมิได้โง่เง่าจนนึกว่าเข้าปราสาทเขากระบี่เทพแล้วก็สามารถทำลายที่นี่ได้อย่างง่ายดาย กู้หย่วนต๋าเป็นจิ้งจอกเฒ่าตัวหนึ่ง เบื้องหน้าคือจอมยุทธ์คุณธรรม ในที่ลับกลับกระทำการชั่วช้า สิบกว่าปีมานี้เขาสวมหน้ากากคนดีสร้างชื่อเสียง ทุกคนล้วนถูกหน้ากากมีเมตตาธรรมของเขาหลอกหมดแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะนางจำเหตุการณ์ในคืนนั้นได้อย่างลึกล้ำเกินไป ถ้าไม่ใช่เพราะนางจำเสียงหัวเราะจอมปลอมพาให้คนขนลุกของเดรัจฉานตัวนั้นได้แม่นยำ ถ้าไม่ใช่เพราะนางจดจำรองเท้าดำปักลายแมวภูเขาคู่นั้นได้อย่างชัดเจนในสมอง ถ้าไม่ใช่เพราะนางเห็นภาพปัก ‘ธาราขุนเขาหมื่นลี้’ ที่ท่านแม่ปักเองกับมือในห้องโถงใหญ่ปราสาทเขากระบี่เทพ นางเองก็คงสงสัยเช่นกันว่าท่านผู้เฒ่าที่ดูใจดีมีเมตตาคนนั้นไม่ใช่เดรัจฉานในคืนนั้น
ใบหน้างามของโม่เอ๋อร์เย็นเยียบ กำหมัดแน่นทั้งสองมืออย่างอดไม่อยู่ ยามนางเห็นภาพปักขนาดใหญ่ยาวหนึ่งจั้ง แปดฉื่อ กว้างห้าฉื่อ ปักลายทิวทัศน์กำแพงเมืองยาวหมื่นลี้ในห้องโถงใหญ่ นางพลันเบิกตากว้าง สะท้านสะเทือนจนไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง!
เขากล้าดีอย่างไร โจรชั่วนั่นกล้าดีอย่างไรถึงเอาภาพปักของท่านแม่มาแขวนไว้ในห้องโถงอย่างโจ่งแจ้งหน้าด้านๆ
ตอนนั้นนางต้องพยายามระงับความปวดร้าวและเคียดแค้นของตนสุดความสามารถ ถึงมิได้เผยพิรุธต่อหน้าจิ้งจอกเฒ่านั่น
กู้หย่วนต๋าคงจะคิดว่าไม่มีใครรู้จักภาพปักนั้น เพราะนี่เป็นภาพปักที่ท่านแม่เพิ่งทำเสร็จก่อนตาย มีเพียงนางกับท่านพ่อรวมทั้งสาวใช้คนสนิทของท่านแม่เท่านั้นที่เคยเห็น ดังนั้นเขาถึงกล้าเอาภาพปักที่ขโมยมาแขวนไว้ในห้องโถงอย่างกำเริบเสิบสาน ตอนที่นางแสร้งทำเป็นถามถึงที่มาของภาพปักนั้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ เดรัจฉานนั่นถึงขนาดพูดโดยหน้าไม่เปลี่ยนสีว่าภาพ ‘ธาราขุนเขาหมื่นลี้’ นี้เป็นงานปักจากฝีมือตระกูลใหญ่ในสมัยราชวงศ์สุย!
นางแสร้งยิ้มรับ รู้ว่ากู้หย่วนต๋ามิได้ยอมรับภูมิหลังที่นางตระเตรียมไว้อย่างดีเพราะบุตรชายของเขามีความรู้สึกดีต่อนาง แต่เป็นเพราะเขาถือดีว่าไม่มีใครกล้ามากระตุกหนวดเสือ
สิ่งที่นางเดิมพันก็คือความถือดีของกู้หย่วนต๋า บางทีด้วยความสามารถของนางในตอนนี้คงไม่อาจเอาชนะเขาได้ แต่ถ้าลอบจู่โจม อัตราความสำเร็จก็จะสูงขึ้นมาก
นางมีโอกาสเพียงครั้งเดียว ยามกราบไหว้ฟ้าดิน
ในโถงพิธีแต่งงาน…
โม่เอ๋อร์แววตาหม่นลง เดิมควรคิดถึงว่าที่สามีที่หน้าซีดขาวคนนั้น แต่เบื้องหน้าสายตากลับปรากฏเงาร่างสูงใหญ่โอหัง
นางเดิมพันกับกู้หย่วนต๋า และกำลังเดิมพันกับตัวเองด้วย ยิ่งกำลังเดิมพันกับเขา
สิ่งที่เดิมพันคือชีวิต คือความรักของนาง
การเดิมพันครั้งนี้ ถ้าชนะ นางจะทวงคืนสิ่งที่สมควรทวงกลับคืนมา หากแพ้ ก็แค่ตายเท่านั้น
บุปผาร่วงโรยลงมากลีบหนึ่ง นางมองมันพลิกพลิ้วโรยร่วง กลีบดอกไม้สีแดงเปื้อนดินโคลน
มองดูจุดแดงบนพื้นโคลนนั้น มุมปากของโม่เอ๋อร์ยกโค้งขึ้นเล็กน้อย เผยรอยยิ้มเย้ยหยันตนเองออกมา
นางเปรอะเปื้อนโคลนแล้ว แต่ว่านาง…ยังไม่อยากตาย
ยังมีโอกาสอยู่หรือไม่นะ ยามนางฝังกลบทุกสิ่งกับมือแล้ว ยังสามารถกลับไปอยู่ข้างกายเขาได้หรือไม่
เขาจะมาหรือไม่ เขาจะใส่ใจหรือไม่ จะเป็นไปได้หรือไม่นะ
ได้? ไม่ได้?
“อากาศเย็นแล้ว”
เสื้อคลุมกันลมห่มลงบนร่าง นางหันกลับไปเห็นกู้อี้ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความห่วงหา
นางหมุนตัว เขาช่วยผูกเชือกคล้องให้นาง
“ข้าให้คนต้มโจ๊กหวานไว้แล้ว เจ้ามากินสักหน่อย” พูดจบก็จูงมือเล็กเย็นเฉียบของนาง พาเดินทะลุสวนอ้อมประตูโถงไป
โม่เอ๋อร์ปล่อยให้เขาจูง สายตาเคลื่อนไปยังมือที่เกาะกุมมือนางเอาไว้อย่างห้ามไม่อยู่ มือของเขาผอมมาก ขาวมาก ขาวจนมองเห็นเส้นเลือดสีเขียวใต้นั้น
เขาดีต่อนางมาก ดีต่อนางมาตลอด
ไม่รู้ว่ายามที่เขารู้ว่านางมาเพื่อสังหารบิดาของเขา เขาจะยังดูแลนางเช่นนี้หรือไม่
ยากจะคิดได้ว่าเดรัจฉานต่ำช้าหน้าไม่อายอย่างกู้หย่วนต๋านั่น จะสามารถมีบุตรชายที่จิตใจดีเช่นนี้อย่างกู้อี้ได้
โม่เอ๋อร์หลุบตาลง มองรองเท้าปักของตนที่ก้าวเดินไปเบื้องหน้าบนพื้นหินติดตามเขา
นางหยุดฝีเท้าลงกะทันหัน
รู้สึกได้ว่านางหยุดเท้า กู้อี้ก็หยุดตามไปด้วย เขาหันกลับมามองนางด้วยแววตาอ่อนโยน เอ่ยถามเบาๆ
“เป็นอะไรไป”
โม่เอ๋อร์คว้ามือของเขาขึ้นมาแล้วเขียนลงไปในนั้น
‘เหตุใดจึงดีต่อข้าเช่นนี้’
กู้อี้เห็นดังนั้นก็กระดกมุมปากยิ้มบางๆ
“ข้าเองก็ไม่รู้ พอข้าพบเจ้าก็รู้สึกสนิทสนมคุ้นเคยขึ้นมา มักรู้สึกว่าข้าสมควรดูแลเจ้า”
สมควร?
คิ้วโก่งของนางขมวดน้อยๆ จ้องมองใบหน้าอ่อนเยาว์ขาวซีดของเขา บนใบหน้าเผยความกลัดกลุ้มบางๆ อย่างอดไม่ได้
ครั้งแรกที่เห็นเขา นางก็รู้สึกคุ้นเคยสนิทสนมอย่างน่าประหลาด นางเกลียดบิดาเขา แต่กลับไม่สามารถเกลียดเขา ใช้ประโยชน์จากความใจดีของเขา หลอกลวงความรู้สึกของเขา ในใจนางไม่ใช่ไม่ละอาย ต่อให้บิดาของเขาจะสมควรตายจริงๆ นางก็ยังคงรู้สึกไม่ดีอยู่บ้างที่ใช้ประโยชน์จากความรู้สึกของกู้อี้ แต่นางจะไม่วางมือเพราะความรู้สึกไม่สงบนี้เด็ดขาด
นางไม่คาดหวังว่าเขาจะเข้าใจ และไม่คาดหวังให้เขาให้อภัย เพราะอยู่ในนรกแห่งความแค้นมาสิบสี่ปีแล้ว นางก็ยังไม่สามารถเรียนรู้การให้อภัย ดังนั้นนางจึงไม่คิดว่าเขาจะสามารถทำได้
พวกเขาจะเป็นศัตรูกัน ที่โถงพิธีในคืนแต่งงาน…