บทที่หก
สายฝนเม็ดบางพันสายหมื่นสาย เบาบางดุจขนนก นำพาความหนาวเย็นพร่างพรมลงบนใบหน้านาง ผมของนาง ร่างของนาง…
เขาห้อตะบึงอยู่กลางสายลม เห็นนางผมเปียกก็ยกมือขึ้นนำเสื้อคลุมกันลมห่อตัวนางในอ้อมอกไว้
กระบี่อ่อนถูกเขาเก็บไปนานแล้ว ม้วนเก็บไว้บนแขน
กระบี่เล่มนี้เดิมทีก็เป็นของเขา ยามนี้ก็แค่กลับคืนสู่ที่เดิมเท่านั้น
เขาไม่ควรมอบให้นาง ไม่ควรเพิ่มรอยเลือดพวกนั้นบนร่างนาง นับแต่ตอนนี้เขาจะไม่ให้สองมือของนางแปดเปื้อนเลือดอีก จะไม่ให้สองตาแวววาวของนางย้อมไปด้วยความทุกข์ตรมขัดแย้งอีก ทัณฑ์เลือดพวกนั้นให้เขารับก็พอ
เขารู้ดี ต่อให้นางสังหารศัตรูด้วยตัวเองแล้ว ฝันร้ายของนางก็จะไม่จบสิ้น นางเองก็จะไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร มีแต่จะทำให้สองมือเปื้อนเลือดของนางเพิ่มฝันร้ายและความผิดที่คร่าชีวิตผู้อื่นอีกครั้งเท่านั้น เขารู้ว่านั่นไม่สามารถดึงนางออกมาจากฝันร้ายได้ มีแต่จะทำให้นางจมลึกลงไป ไม่อาจถอนตัวชั่วนิรันดร์
วิธีเดียวก็คือไม่ให้นางจับกระบี่ฆ่าคนอีก ไม่สามารถให้สองมือของนางเปื้อนเลือด ไม่สามารถให้นางแตะต้องคาวเลือดพวกนั้นอีก จากนั้นบางทีเวลาอาจสามารถช่วยให้นางลืมเลือนได้
และทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้
หลายปีมานี้เขาเคยฆ่าคนไปมากมาย จิตวิญญาณของเขาโสมมไปนานแล้ว แต่ของนางยังไม่ใช่…
เขาเคยทำผิดต่อนาง ครั้งนี้เขาจะไม่ทำผิดพลาดอีก
อ้อมออกมาจากทางเล็กในป่า ฉู่เฮิ่นเทียนปลดหน้ากากออก กลับไปที่บ้านเล็กกลางเขาที่อาศัยอยู่ในสองสามวันมานี้
เขาปล่อยมือลงวางนางบนเก้าอี้
จุดชีพจรยังไม่ถูกคลาย โม่เอ๋อร์จ้องมองเขา ในดวงตามีความขุ่นข้อง คงเพราะได้สติกลับมาจากอาการตื่นตะลึงในคราแรกแล้ว
เขาไม่ได้คลายการสกัดจุดให้นาง เพียงมองนาง จ้องมองนางนิ่งๆ ราวกับว่าเป็นครั้งแรกที่ได้มองดูนางอย่างไรอย่างนั้น มองแน่วนิ่งอย่างละเอียด
บนผมดกดำเงางามของนางมีหยดน้ำเล็กๆ สีเงินวาว นัยน์ตาดำเคืองขุ่นฝังอยู่บนผิวหิมะที่ประหนึ่งหยกขาว กระจ่างใสจนพาให้คนสั่นสะท้าน คิ้วโก่ง ริมฝีปากอิ่มแดงดุจผลอิงเถา* นางที่แต่งแต้มแป้งชาดพาให้คนใจสั่น และทำให้คนเกิดโทสะด้วย
บนร่างของนางยังสวมชุดแต่งงานสีแดงเพลิง…เดิมนางจะแต่งงานวันนี้ แต่งให้ชายอีกคน!
ทุกครั้งที่คิดมาถึงตรงนี้ เขาก็จะรู้สึกหน้าอกมีไฟกำลังแผดเผา
ฉู่เฮิ่นเทียนถอยไปก้าวหนึ่งแล้วนั่งบนเก้าอี้อีกตัว มองสบสองตาของนาง เริ่มไม่พอใจรางๆ สิ่งเดียวที่พอทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาหน่อยก็คือในยามที่เจ้าหน้าขาวนั่นกระโดดออกมา นางมิได้เก็บมืออย่างลังเล แต่นี่ก็เป็นการเตือนเขาในเวลาเดียวกันว่าหลายปีมานี้เขาสอนนางดีขนาดไหน
นางไม่ใจอ่อนสักนิด เขาสอนนางดีเกินไปแล้ว!
เขามันโง่เง่า!
บนโต๊ะไม่มีสุราแล้ว เหลือเพียงชา
ฉู่เฮิ่นเทียนรินชาหนึ่งถ้วย นั่งลงบนเก้าอี้แล้วยกดื่ม สายตาจับจ้องนางดังเดิม
นอกบ้านฝนยังคงตก…
ความขัดแย้งเกิดขึ้นในใจ ปั่นป่วน ทบทวี เขาโมโหความดื้อด้านบ้าบิ่นของนาง ทว่าก็รู้สึกผิดด้วยเช่นกัน มองนัยน์ตาดำกรุ่นโกรธของนางแล้ว เขาดันไม่รู้ว่าควรจัดการนางอย่างไรดี
เขาเก็บสายตาคืนมา ดื่มน้ำชาที่เย็นไปนานแล้วของตน
ด้านนอกลมกำลังพัด ฝนกำลังตก ผีพนันเฒ่าถือร่มกระดาษเคลือบน้ำมันปรากฏตัวบนทางเล็กกลางเขาไกลๆ เขามองสภาพภายในบ้านแล้วชะงักเท้าอย่างอดไม่ได้
ไม่นานเท่าไรเหวยเจี้ยนซินก็กลับมาแล้ว เขามุดเข้าไปในร่มกระดาษเคลือบน้ำมัน ปาดหยดน้ำบนผมแล้วถามอย่างแปลกใจ
“นี่ เหตุใดไม่เข้าไปเล่า”
ผีพนันเฒ่าเบ้ปาก เกี่ยวไหล่เขากล่าว
“เจ้าดูข้างใน”
เหวยเจี้ยนซินมองไปไกลๆ เห็นในห้องฉู่เฮิ่นเทียนมีสีหน้าซับซ้อน และเห็นโม่เอ๋อร์ที่หน้าตาโกรธเคืองถูกเมินอยู่บนเก้าอี้ เขาพลันรู้แจ้ง มองตาผีพนันเฒ่าเงียบๆ แล้วกล่าว
“ตอนข้าเพิ่งมา เห็นที่ตีนเขามีแผงขายไก่ต้ม ดูท่าทางน่ากินดี”
“งั้นหรือ เช่นนั้นพวกเรายังรออะไรล่ะ” ผีพนันเฒ่าร้องรับเสร็จก็คล้องคอเหวยเจี้ยนซินหมุนตัวลงเขาไป
สายฝนเม็ดบางดุจใยไหม เสียงฝนแผ่วๆ หลอมรวมกลายเป็นกำแพงไร้รูปร่าง กั้นบ้านน้อยหลังนี้ให้กลายเป็นอีกโลกหนึ่ง
ความโกรธแค้นของนางกำลังรวมตัว ขณะมองดูเขา นางทั้งไม่เข้าใจทั้งเดือดดาล!