คลื่นน้ำม้วนเคลื่อน โม่เอ๋อร์มองดูเงาสะท้อนรางๆ ของตน ครู่ต่อมาเขาก็มาถึงตรงหน้าแล้วยื่นมือเชยคางนางขึ้น สังเกตใบหน้านางครู่หนึ่งถึงค่อยเอ่ย
“แป้งชาดเลอะหมดแล้ว ล้างมันออกซะ”
สิ่งที่มองเห็นในพริบตาเมื่อครู่ยิ่งทำให้นางหน้าแดงกว่าเดิม นางเบี่ยงหน้าออกอย่างขัดเขิน ออกจากการจับกุมของเขา สายตาไม่กล้ามองต่ำลง ได้แต่เบี่ยงตัวไปด้านข้างเงียบๆ คุกเข่าลงวักน้ำล้างเครื่องประทินโฉมเลอะๆ บนหน้า
ฉู่เฮิ่นเทียนมองท่าทางไม่เป็นตัวเองของนางอย่างนึกขำ สองมือกอดอก เลิกคิ้วกล่าว
“เป็นอะไร ไม่เคยเห็นหรือ”
โม่เอ๋อร์ที่ก้มหน้าลงในน้ำได้ยินก็แทบสำลัก ภายใต้ความลนลาน นางรีบปล่อยมือออกให้น้ำไหลกลับไป จากนั้นถึงค่อยเงยหน้าเล็กเปียกชุ่มขึ้น ลุกขึ้นถลึงตาใส่เขาโดยจงใจหลบเลี่ยงร่างกายท่อนล่างของอีกฝ่าย
นางนอนกับเขามาห้าปีแล้ว จะไม่เคยเห็นได้อย่างไร!
เขาไม่รู้สึกผิดสักนิด กลับเลิกคิ้วสูงขึ้นกว่าเดิม เอ่ยอย่างคิดเอาเอง
“ข้านึกว่าเจ้าจะไม่เขินอายแล้ว”
นางขึงตาใส่ใบหน้าถือดีของเขาอย่างฮึดฮัด ไม่ชอบให้เขาเอาเรื่องนี้มายั่วเย้านาง
มีใครกำหนดไว้ว่าเคยเห็นหลายครั้งแล้วก็จะไม่หน้าแดง? ต่อให้นางเปลี่ยนเป็นยายแก่ มองเห็นบุรุษที่ทั้งรูปงามทั้งองอาจเปลือยกายภายใต้แสงอาทิตย์ก็ยังจะหน้าแดงดังเดิม ยิ่งกว่านั้นเขายังไม่ปกปิด ท่าทางราวกับทนรอให้นางมองจนหมดสิ้นไม่ไหว
ฉู่เฮิ่นเทียนมองความไม่พอใจของนางออก แต่อารมณ์ของเขามิได้ขุ่นมัวเพราะเรื่องนี้ กลับเป็นไม่พอใจความอมพะนำของนาง เขานึกว่าหลังจากผ่านหลายวันมานี้ นางจะไม่ทำเป็นคนใบ้กับเขาอีก
เขาไม่ชอบให้นางนิ่งเงียบ เขาชอบฟังนางพูด ชอบฟังเสียงของนาง เพราะแบบนี้เขาจึงจะไม่ต้องคาดเดาความหมายของนาง ไม่ต้องรู้สึกไม่เป็นสุขเพราะนาง เขากอดเอวนางดึงเข้ามาเบื้องหน้า หรี่ตาลงเอ่ยปาก
“พูดกับข้า”
โม่เอ๋อร์ผินหน้ามาเล็กน้อย มองเขาอย่างแปลกใจ ยังคงเงียบไม่เอ่ยคำ
ฉู่เฮิ่นเทียนขมวดคิ้วแล้วรัดเอวนางแน่นขึ้น จนกระทั่งทั้งตัวนางแนบชิดกับร่างเขา จ้องมองนัยน์ตาดำของนางตรงๆ อย่างไม่พอใจ สำทับอีกครั้งอย่างเอาแต่ใจ
“พูดกับข้า!”
โม่เอ๋อร์สูดหายใจเฮือกหนึ่งเพราะถูกเขาทำเจ็บ แต่ก็ยังคงดื้อไม่ยอมเอ่ยปาก นางไม่ชอบเสียงตัวเอง เมื่อคืนเป็นเพราะโกรธเกินไปถึงได้พูดเยอะแยะถึงเพียงนั้น
ฉู่เฮิ่นเทียนประคองสะโพกของนางแล้วยกขึ้น จนกระทั่งนางกับเขาสูงเท่ากันแล้ว ถึงได้ใช้หน้าผากของตนกดหน้าผากของนางอย่างหงุดหงิด แต่นางยังคงขมวดคิ้วงาม ปิดปากแน่นสนิท
ในดวงตาเขามีแววกรุ่นโกรธ…นางนึกว่าเขาจะสั่งซ้ำอีกครั้งอย่างถือตนเป็นใหญ่ แต่คาดไม่ถึงว่าหลังจากทั้งสองต่างไม่ยอมกันอยู่ครู่หนึ่ง ความโกรธในดวงตาเขากลับถดถอยลง เพิ่มอารมณ์พ่ายแพ้และยากอธิบายขึ้นมาไม่น้อย
“พูดกับข้า” เขาใช้ปลายจมูกโด่งของตนเสียดสีอย่างอ่อนโยนกับจมูกนางด้วยความกลัดกลุ้ม ครั้งนี้ไม่ใช่การออกคำสั่งอย่างถือตนเป็นใหญ่อีก แต่เป็นการร้องขอด้วยเสียงอ่อนโยน
เขาอ่อนลงแล้ว?
คนที่แข็งกร้าวคนนั้น? ราชาโจรสลัดคนนั้น? ฉู่เฮิ่นเทียนที่แต่ไรมาไม่ก้มหัวให้ใครคนนั้น?!
โม่เอ๋อร์กะพริบตาปริบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ แต่ชายตรงหน้าอ่อนลงแล้วจริงๆ
นางเบิกตาโตมองชายตรงหน้าอย่างไม่กล้าเชื่อ แต่คนผู้นี้เป็นเขาจริงๆ เป็นชายผู้เย่อหยิ่งถือตนเป็นใหญ่ ทั้งยังเลือดเย็นไร้ความรู้สึกคนนั้นที่นางรู้จักมาสิบกว่าปี!
“พูด…อะไร” อาจเพราะตกใจเกินไป ยามนางได้ยินเสียงแหบพร่าของตนถึงเพิ่งรู้ว่าตัวเองเอ่ยปากแล้ว
เมื่อได้ยินเขาก็ถอนหายใจ มุมปากยกโค้งขึ้นน้อยๆ อย่างอดไม่ได้ เอ่ยเสียงเบา
“อะไรก็ได้ทั้งนั้น ข้าอยากฟังเจ้าพูด”
เขากำลังยิ้มหรือ
โม่เอ๋อร์สะท้านไหวกับรอยยิ้มอบอุ่นที่ยากจะได้เห็นนั้น ยื่นมือออกไปแตะมุมปากหยักโค้งของเขากับส่วนที่บุ๋มลงไปบนแก้มเบาๆ โดยไม่รู้ตัว
“นี่คือลักยิ้มหรือ”
รอยยิ้มของเขากว้างขึ้น จูบริมฝีปากสีอ่อนของนางแผ่วเบาแล้วเอ่ยตอบ
“ข้าคิดว่าใช่นะ”
นางรู้จักเขามานานถึงเพียงนี้ แต่กลับไม่รู้เลยว่าเขามีลักยิ้ม…
โม่เอ๋อร์มองรอยยิ้มของเขา จู่ๆ ก็รู้สึกประหลาด ความรู้สึกแปลกหน้านั้นมาอีกแล้ว นางรู้จักบุรุษตรงหน้านี้จริงๆ หรือ
มือของนางยังคงทาบอยู่บนใบหน้าเขา ทั้งตัวนางยังถูกเขากอด ชายตรงหน้าดูแล้วทั้งแปลกหน้าทั้งคุ้นเคย นางเพียงรู้สึก…ประหลาดอย่างยิ่ง…
(ติดตามต่อในเล่ม)