14 วัน 14 เรื่อง
ทดลองอ่าน ลำนำรักมังกรดำ ชุด หัวใจเจ้าทะเล
เสียงอะไร ฉู่เฮิ่นเทียนตัวแข็งทื่อ ก่อนจะคว้ากระบี่ขึ้นมาตั้งใจฟัง ยามเสียงนั้นดังขึ้นมาเป็นครั้งที่สองนอกประตูห้อง เขาก็เดินออกไปอย่างไม่ต้องคิด หลีกหนีไปจากห้องที่ปิดทึบแห่งนั้น
เมื่อเขาเดินตามเสียงมาถึงในป่าไผ่หลังเรือน กลับเห็นแม่นางที่พูดไม่ได้คนนั้นถือกิ่งไม้ที่เหลาไว้กำลังร่ายระบำ แรกเริ่มเขางุนงงอยู่บ้าง มองอยู่นานกว่าจะมองออกว่านางกำลังฝึกกระบี่ เพราะนางไม่เพียงท่วงท่าผิด แม้แต่วิธีถือกระบี่ก็ไม่ถูกต้อง การโบกกระบี่อ่อนปวกเปียกไร้แรง หลายครั้งที่หมุนตัวยังแทบจะเซล้ม เงอะงะเป็นอย่างยิ่ง
‘เจ้าโง่คนไหนคืออาจารย์เจ้ากันแน่’ เห็นนางเกือบล้มอีกครั้ง เขาก็เอ่ยถากถางเสียงเย็น
จู่ๆ ได้ยินเสียงคน นางสะดุ้งตกใจรีบหันกลับมา ถึงเพิ่งพบการมีอยู่ของเขา นางกำกิ่งไม้เครียดเกร็ง ไม่เอ่ยสักคำ มองเขาอย่างระแวดระวัง
‘หรือว่าเจ้าลักเรียน?’ เขาเลิกคิ้ว เดาคำตอบที่ถูกต้องออกมา
โม่เอ๋อร์หน้าซีด หมุนตัวจากไป
มองดูแผ่นหลังเหยียดตรงของนาง เขาก็เอ่ยปากอย่างราบเรียบ
‘การลักเรียนเป็นข้อห้ามสำคัญในยุทธภพ ถูกจับได้ต้องถูกตัดมือเท้า นอกจากนี้วิชากระบี่ชั้นเลวเช่นนั้นเจ้าอย่าเรียนจะดีกว่า’
นางพลันหยุดชะงัก หันกลับมาแทงใส่เขา
ฉู่เฮิ่นเทียนยิ้มเย็น แต่โม่เอ๋อร์ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น กิ่งไม้ในมือนางถูกตัดไปแล้วเหลือเพียงท่อนสั้นๆ ส่วนบนคอของนางกลับมีกระบี่ยาวดำเล่มหนึ่งพาดอยู่ นางรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบบนคอ หลังจากตกใจถึงค่อยเห็นกระบี่ดำมิดเล่มนั้น
‘นี่ต่างหากที่เรียกว่ากระบี่’ เขาชี้กิ่งไม้ที่ขาดเป็นท่อนๆ บนพื้นอย่างไม่ยี่หระ เอ่ยหยันกลั้วหัวเราะ ‘นั่น เรียกว่ากิ่งไม้ เป็นแค่ของเล่น’
ในดวงตานางวาบแววโกรธแค้น พลันยื่นมือออกมาคว้าตัวกระบี่ จากนั้นก็ถอยหลังออกมาช้าๆ ก้าวหนึ่ง เงยหน้ามองเขาอย่างเย็นชา
มือที่กุมกระบี่ของนางหลั่งเลือด เลือดสีแดงไหลเลาะขอบกระบี่มาถึงด้านปลาย จากนั้นก็หยดลง
เขาไม่ขยับตัว จ้องนางอย่างเย็นชา มองเห็นแววชิงชังรุนแรงในลูกตาดำวาวของแม่นางน้อยคนนี้ นางไม่ได้เอ่ยปาก แต่เขากลับรู้ได้ว่านางกำลังบอกเขา บอกว่านางไม่กลัวเขาสักนิด ยิ่งไม่กลัวกระบี่ที่ทำร้ายคนของเขา ถึงขนาดไม่สนใจความเป็นความตาย และนางก็ไม่สนุกกับการหยอกเล่นของเขาด้วย
นางปล่อยมือออกแล้วหมุนตัวไปอีกครั้ง ครั้งนี้เขาไม่ได้หยุดไว้ เพียงมองหยดเลือดบนกระบี่ดำ ดวงตาหรี่ลง อารมณ์เปลี่ยนเป็นไม่พอใจโดยพลัน!
วันต่อมาเขาไม่เห็นนาง หลายวันหลังจากนั้นก็ไม่เคยเห็นเงาร่างของเจ้าใบ้น้อยนั่นเช่นกัน
เขาไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองจึงให้ความสนใจ อาจเพราะเวลายามดึกที่เงียบสลัด ความเงียบในห้องรวมทั้งประตูที่ปิดแน่นมักทำให้เขาหวนนึกถึงความรู้สึกยามอยู่ในคุกใต้ดิน ดังนั้นกลางดึกเขาจึงมักหูตั้งเป็นพิเศษ อยากหาเหตุผลออกไปข้างนอก หรือบางทีอาจเพราะเขาไม่เคยเห็นเด็กหญิงที่ดื้อรั้นเช่นเจ้าใบ้น้อยนั่นมาก่อน ยิ่งอาจเป็นเพราะถูกขังอยู่บนเกาะโดดเดี่ยวนี่มาเดือนกว่าจนเขาเบื่อจะตายอยู่แล้ว!
คืนวันที่ห้า ในที่สุดเสียงฝึกกระบี่เงอะงะที่เขารอคอยก็มาถึง
หลังมาถึงป่าไผ่เขาไม่ได้ส่งเสียง เพียงซ่อนตัวเงียบอยู่ในป่า ใบหน้าเย็นชามองนางใช้กระบวนท่ากระบี่โง่เง่านั่น
กิ่งไม้ในมือนางเปลี่ยนเป็นกระบี่ขึ้นสนิมที่ไม่รู้เก็บมาจากไหน มือขวาซึ่งบาดเจ็บพันผ้าขาว ไม่นานผ้าขาวก็ซึมเลือดแดง เห็นชัดว่าแผลฉีกแล้ว
นางชะงักไปครู่หนึ่งเพราะความเจ็บ แต่ยังคงดึงดันใช้กระบวนท่ากระบี่ จนกระทั่งเจ็บจนต้องขมวดคิ้วมุ่น มีเหงื่อเย็นหลั่งออกมาแล้วถึงค่อยหยุดลง ใช้มือซ้ายจับข้อมือขวา หอบหายใจพลางนั่งคุกเข่าบนพื้น
ยามนางจากไป เขาก็กลับห้องตัวเองไปเช่นกัน
จากนั้นหนึ่งคืนผ่านไป สองคืนผ่านไป และผ่านไปอีกหลายคืน เขาล้วนไปดูนางฝึกกระบี่ในป่าไผ่ทุกคืน จนกระทั่งในคืนที่สิบ…
‘เท้าขวาก้าวขึ้นหน้าอีกก้าว โน้มร่างไปข้างหน้า แทงออกไป! เก็บกระบี่ เตะวาดทางซ้าย!’
ยามโม่เอ๋อร์ใกล้จะเซล้มพลันได้ยินเสียงนี้ นางทำตามคำชี้แนะตามจิตใต้สำนึก คาดไม่ถึงว่าทั้งร่างไม่เพียงกลับมาสมดุล ยังเตะไผ่เขียวที่ถูกนางเอามาทำเป็นเป้าหักด้วย
โม่เอ๋อร์เบิกตามองดูไผ่ที่ล้มลงอย่างตกตะลึง นางรู้ว่าอันที่จริงนั่นไม่ใช่นางเตะหักทั้งหมด แต่เพราะก่อนหน้านี้กระบี่ขึ้นสนิมในมือฟันเข้ากลางไผ่เขียวไปแล้ว ลูกเตะหลังจากนั้นถึงสามารถโค่นมันลงมาได้
นางหันกลับมา และมองเห็นเขา…
มือขวาพันผ้าขาวของโม่เอ๋อร์ยังกุมกระบี่ขึ้นสนิมอยู่ นางมองจ้องเขา เขาเองก็จ้องมองนาง
ผ่านไปครู่หนึ่ง สายลมราตรีพัดผ่าน เขาพลันหมุนตัวจากไป ไม่พูดอะไรอีกทั้งสิ้น
ในคืนวันต่อมายามนางมาฝึกกระบี่ เขาก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน ทุกคืนหลังจากนั้นล้วนเป็นเช่นนี้ ทั้งสองไม่เคยทักทายกัน นางทำเหมือนเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่กลับปฏิบัติตามยามเขากล่าวชี้แนะ เพราะมันมีประโยชน์อย่างแท้จริง
ฉู่เฮิ่นเทียนไม่รู้ว่าเหตุใดตนจึงสอนวิชากระบี่ให้เจ้าใบ้น้อยคนนี้ อาจเพราะชีวิตในเกาะน่าเบื่อเกินไปก็เป็นได้กระมัง
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว สองเดือนให้หลัง ในที่สุดเขาก็ได้รับการปลดปล่อยจากเกาะมังกรสมุทร…ไม่ใช่เพราะหาจั้นปู้ฉวินที่หายสาบสูญไปเจอ แต่เป็นเพราะจั้นชิงกลับมาเองแล้ว
ยามทุกอย่างเรียบร้อย คนของเรือดำต่างยินดีปรีดา เพียงเพราะสามารถกลับสู่อ้อมกอดแห่งท้องทะเลได้อีกครา
พวกเขาขุดเอาดอกไม้ไฟหลากสีในกล่องสมบัติใต้ท้องเรือออกมาจุดฉลอง ในคืนก่อนออกจากฝั่งผีพนันจางตะโกนร้องเปิดวงไพ่ อาอ้วนซึ่งกลับมาจากแผ่นดินชั้นในเมื่อเดือนก่อนเปิดสุราเก่าออกมาดื่มอย่างเต็มคราบ เหวยเจี้ยนซินแสดงตลกขำขันในงานเลี้ยง ถึงขนาดนำธนูเทพของรักของเขามาแสดงการหมุนจาน ส่วนลูกสมุนคนอื่นๆ ถ้าไม่ได้อยู่ที่ไหสุรากับอาอ้วน ก็ควักเศษเงินเหรียญอีแปะมาพนันกับผีพนันจาง มีเพียงหลันเซิงที่กอดคัมภีร์คำสอนทั้งวันยังคงงึมงำวัชรปรัชญาปารมิตาสูตร แต่ว่าบนใบหน้าก็เคลือบแววยิ้มแย้มด้วยเช่นกัน
ฉู่เฮิ่นเทียนนอนหงายอยู่บนคานเสากระโดงเรือใหญ่ ไม่สนใจเสียงโหวกเหวกด้านล่างบนดาดฟ้าเรือ เพียงมองดวงดาวเต็มท้องฟ้า ฟังเสียงคลื่นทะเลแผ่วเบา รู้ว่าตนเองถูกลิขิตให้ต้องอยู่บนทะเลชั่วชีวิต…