ยามเรือดำออกจากท่า โม่เอ๋อร์ก็วิ่งกระหืดกระหอบมาถึงท่าเรือแล้ว
‘เอ๋? ลูกพี่ ท่านดู แม่นางใบ้น้อยคนนั้นก็มาด้วยนะ’ เหวยเจี้ยนซินกำลังยิ้มตาหยีโบกมือให้คนบนฝั่งที่มาส่งอยู่ตรงท้ายเรือ ได้เห็นโม่เอ๋อร์ที่ออกมาพบผู้คนน้อยมากจึงทั้งตะลึงและประหลาดใจ
ฉู่เฮิ่นเทียนซึ่งอยู่ตรงหัวเรือได้ยินก็หันกลับมามอง แต่กลับเห็นโม่เอ๋อร์กระโดดลงทะเลกะทันหัน ว่ายน้ำมาทางเรือดำที่ออกจากท่าแล้ว
‘หา?!’
คนบนฝั่งและคนบนเรือต่างร้องเสียงหลง ยังไม่ทันรู้ชัดว่าอะไรเป็นอะไร นางก็พลันจมลงไปแล้ว
‘เสี่ยวเหวย ลูกธนู!’ ฉู่เฮิ่นเทียนตะโกน ขณะเอ่ยปาก ตัวคนก็กระโดดพุ่งออกไปนอกเรือแล้ว
เหวยเจี้ยนซินตอบสนองว่องไว น้าวธนูยิงออกไปโดยพลัน เขาย่อมรู้ว่าลูกพี่ไม่ได้ต้องการให้เขายิงโม่เอ๋อร์ในทะเล แต่เป็นยิงขึ้นไปกลางอากาศ
เห็นเพียงลูกธนูขนนกสีขาวแหวกอากาศขึ้นไป เชิดหัวไล่ตามฉู่เฮิ่นเทียน ปลายเท้าเขาแตะคันธนู ยืมแรงพุ่งตัวออกไปด้านหน้าอีก กระทั่งถึงบริเวณที่โม่เอ๋อร์จมลงไปถึงค่อยร่วงดิ่งลงตรงๆ ดัง ‘ซูม’
ในทะเลสีน้ำเงิน ร่างเล็กผอมของนางไม่สะดุดตาสักนิด ชุดกระโปรงที่เปลี่ยนเป็นหนักอึ้งเมื่อเปียกน้ำดึงนางลงไปในทะเล นางคล้ายกำลังดิ้นรนคิดจะถอดชุดกระโปรงที่รัดพันมือเท้าตัวเองออก น่าเสียดายที่ไม่เป็นผล แต่ก็เพราะนางขยับตัวส่งเดชเช่นนี้ ฟองอากาศที่มาจากในเสื้อผ้าของนางทำให้เขาหาตำแหน่งของนางเจอ
เขาว่ายลงไปอย่างรวดเร็ว คว้าตัวนางแล้วส่งขึ้นสู่ผิวน้ำ
เพิ่งโผล่พ้นผิวน้ำ ลูกธนูของเหวยเจี้ยนซินก็มาถึงข้างกาย ครานี้บนธนูมัดเชือกไว้ด้วย เขาทั้งดึงทั้งลากพาโม่เอ๋อร์ขึ้นมาจากน้ำ จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปกลางอากาศและร่วงลงบนดาดฟ้าเรือเงียบๆ
เมื่อขึ้นมาบนดาดฟ้าเรือแล้ว ฉู่เฮิ่นเทียนก็ปล่อยนาง
โม่เอ๋อร์เข่าอ่อน คุกเข่าสำลักน้ำในกระเพาะออกมา
ทุกคนล้วนมองแม่นางน้อยคนนี้อย่างตื่นตะลึง ไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงทำเรื่องโง่ๆ อย่างกระโดดลงทะเลว่ายน้ำตามเรือ
‘เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังทำอะไร’ ฉู่เฮิ่นเทียนสองมือกอดอก ถามอย่างเย็นชา
โม่เอ๋อร์เช็ดน้ำทะเลบนหน้า หอบหายใจน้อยๆ ถึงค่อยเงยหน้ามองเขา จากนั้นก็ชูมือขวาที่กุมกระบี่ขึ้นสนิมไว้แน่น!
ฉู่เฮิ่นเทียนถึงเพิ่งเห็นกระบี่ที่นางถือไว้ในยามนี้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกอยากด่าคนขึ้นมา เจ้าสมองนิ่มคนนี้ถึงกับพกกระบี่เหล็กกระโดดลงทะเล มิน่านางถึงจมลงไป!
นางมองดูเขา ในมือยังคงกุมกระบี่
เขาทนต่อความพลุ่งพล่านที่อยากจับนางโยนกลับลงทะเลไปอีกรอบเอาไว้ ตะคอกเสียงเย็น
‘อาอ้วน! หันเรือกลับไป!’
นางเบิกตาโต ในดวงตาสีดำเผยความโกรธ จู่ๆ พลันลุกยืนแล้วเขวี้ยงกระบี่ขึ้นสนิมใส่ร่างเขา จากนั้นก็หมุนตัวพุ่งไปข้างกราบเรือ อีกนิดก็จะกระโดดลงทะเลไปอีกรอบแล้ว
ฉู่เฮิ่นเทียนถูกนางเขวี้ยงกระบี่ใส่อย่างไม่ทันตั้งตัว แทบจะถูกกระแทกเข้าให้แล้ว โชคดีที่หลบทัน ครั้นเห็นการกระทำของนาง เขาก็โมโหจนเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว มือใหญ่ยื่นออกไปโอบเอวนางดึงกลับเข้ามาจากกราบเรือได้ทันท่วงที
นางคล้ายเด็กน้อยซุกซน ดิ้นรนอยู่ในอกเขา ทั้งเตะทั้งต่อยใส่เขา ประเดี๋ยวก็แทงศอกประเดี๋ยวก็เตะขา ทำเอาเขาแทบจับนางไว้ไม่อยู่
‘สมควรตาย! พอแล้ว เจ้าผีน้อย! เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!’ เขาถูกหมัดน้อยๆ ของนางต่อยเข้าตาขวาจนเดือดดาลคำรามขึ้นมา
นางไม่ยอมฟัง ยังคงดิ้นอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาเกือบโดนต่อยอีกครั้ง จนได้แต่บิดสองมือของนางไว้ด้านหลังแล้วตะคอกดุดัน
‘ถ้าขยับอีกข้าจะแขวนเจ้าไว้บนเสากระโดงเหมือนตากเสื้อผ้า!’
นางตัวแข็งทื่อ หยุดนิ่งโดยพลัน
ฉู่เฮิ่นเทียนถึงค่อยผ่อนลมหายใจในยามนี้ จับนางหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับเขาอย่างฉุนเฉียว เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปน ถามอย่างไม่พอใจ
‘เจ้าคิดทำบ้าอะไรกันแน่!’
นางจ้องตอบเขา จากนั้นก็หันไปมองกระบี่ขึ้นสนิมที่นอนราบอยู่บนดาดฟ้าเรือ
เขามองตามสายตานางไปเห็นกระบี่เล่มนั้น ในสมองผุดความคิดหนึ่ง เมื่อหันกลับมามองนางอีกคราก็เห็นความเด็ดเดี่ยวไร้ใดเปรียบในดวงตาของนาง
น่าตายนัก!
เขาลอบด่าเสียงหนึ่ง เข้าใจจุดประสงค์ของนางแล้ว เจ้าใบ้น้อยนี่อยากเรียนวิชากระบี่ อยากเรียนอย่างยิ่ง!
นางถึงกับพกกระบี่ขึ้นสนิมเล่มนั้นกระโดดลงทะเล เพียงเพราะต้องการเรียนวิชากระบี่โดยไม่รู้เหตุผล แต่คนบนเกาะกลับไม่มีใครสอนนาง!
เขาเป็นคนเดียวที่ชี้แนะนาง ดังนั้นนางจึงพกกระบี่กระโดดลงทะเล ไล่ตามเรือ…
เพื่อเรียนกระบี่!