บทที่ 53
วันที่ยี่สิบเดือนสาม หวังเหยียนชิงตื่นแต่เช้าตรู่ วันนี้นางต้องเข้าวังไปเยี่ยมเจี่ยงไทเฮา การไปเยี่ยมไข้แน่นอนว่าไม่อาจสวมใส่เสื้อผ้าสีฉูดฉาด แต่หากสวมสีขาวตลอดร่างก็ไม่เหมาะ ที่ร้ายไปกว่านั้นคือหวังเหยียนชิงยังสูญเสียความทรงจำ กับธรรมเนียมพิธีในวังมีแต่ความว่างเปล่า โชคดีที่มีลู่เหิงคอยชี้แนะ ภายใต้การช่วยเหลือของหลิงซีและหลิงหลวน หวังเหยียนชิงจึงเลือกชุดเข้าวังได้ในที่สุด
วันนี้มิใช่การเข้าเฝ้าอย่างเป็นทางการ ไม่จำเป็นต้องสวมใส่ชุดที่เป็นพิธีการเกินไป ดังนั้นหวังเหยียนชิงจึงเลือกเสื้อตัวยาวผ้าโปร่งมีลายจางๆ สีกลีบบัว สีเรียบบริสุทธิ์ตลอดร่าง ไม่มีลายปักรูปดอกไม้อย่างเด่นชัด เสื้อตัวยาวเป็นสีม่วงอ่อนอมชมพู ไม่เรียบจนถึงขั้นทำให้ผู้อาวุโสเห็นแล้วไม่พอใจ เสื้อตัวยาวผ่าหน้าคอตั้งมีกระดุมสีทองติดอย่างเป็นระเบียบจนถึงลำคอ ผ่าข้างตรงหัวเข่าทั้งสองเผยให้เห็นกระโปรงจับจีบแพรโปร่งสีขาวที่อยู่ด้านใน
วันนี้ลู่เหิงไม่ได้ไปกองเจิ้นฝู่ใต้ แต่รออยู่ที่จวนสกุลลู่ตั้งแต่เช้า หวังเหยียนชิงแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่กล้าชักช้า รีบไปหาลู่เหิงที่เรือนหลัก ลู่เหิงเห็นนางมีท่าทีจริงจัง กระดุมติดครบทุกเม็ดจนถึงลำคอก็อดขบขันมิได้ ลู่เหิงจัดคอเสื้อให้นางอย่างนุ่มนวลพลางพูด “ไม่ต้องประหม่าไป ซิงกั๋วไทเฮาอัธยาศัยดีมาก หมู่นี้พระวรกายไม่ค่อยดีนัก จึงเรียกตัวเด็กๆ ทุกคนไปพบเท่านั้น เจ้าเข้าวังแล้วทำทุกอย่างให้เป็นปกติก็พอ ไม่ต้องกังวล”
หวังเหยียนชิงรับคำ ลู่เหิงปากบอกว่า ‘ไม่ต้องประหม่า’ แต่เรื่องนี้กลับเกิดขึ้นกับตัวเขาเสียเอง จะไม่ให้ลนลานได้อย่างไร นิ้วมือของชายหนุ่มจัดคอเสื้อของหวังเหยียนชิงให้เรียบร้อย ชะงักครู่หนึ่งจากนั้นก็วางมือลงบนไหล่ของนางแล้วบีบเล็กน้อย “นับตั้งแต่ฤดูหนาวปีที่แล้ว อาการประชวรของซิงกั๋วไทเฮาก็ขึ้นๆ ลงๆ แม้แต่หมอหลวงยังจนปัญญา ข้าเกรงว่าไทเฮาจะทรงเป็นห่วงจึงไม่ได้บอกเรื่องของเจ้ากับนาง”
เรี่ยวแรงจากนิ้วของลู่เหิงคล้ายแฝงนัยบางอย่าง หวังเหยียนชิงเข้าใจทันที เจี่ยงไทเฮาไม่รู้เรื่องที่นางสูญเสียความทรงจำ หวังเหยียนชิงพยักหน้า “ข้าเข้าใจ ข้าจะพยายามพูดให้น้อยที่สุด ไม่ทำให้ไทเฮาทรงเป็นห่วง”
ลู่เหิงทำท่าจะพูดและเงียบไป สุดท้ายก็ถอนหายใจเงียบๆ ในใจ บัดนี้คนที่สมควรเป็นกังวลคือเขาต่างหาก ลู่เหิงสามารถเปิดเผยความจริงกับฮ่องเต้ได้ แต่เจี่ยงไทเฮาเป็นผู้ใหญ่ที่จิตใจเมตตาอารี ร่างกายก็ประหนึ่งตะเกียงที่ใกล้หมดน้ำมันแล้ว ลู่เหิงไม่กล้าบอกความจริงกับเจี่ยงไทเฮาจริงๆ ในความคิดของหวังเหยียนชิง นางเป็นเด็กกำพร้าที่สกุลลู่รับมาเลี้ยงดู เคยได้รับพระกรุณาธิคุณจากเจี่ยงไทเฮา ทว่าในความคิดของเจี่ยงไทเฮา หวังเหยียนชิงเป็นคนของลู่เหิง ถูกเขาพามาซุกซ่อนไว้ในจวนสกุลลู่ ลู่เหิงยังไม่รู้เลยว่าประเดี๋ยวเข้าวังไปแล้ว เขาจะหลอกลวงสตรีสองคนนี้พร้อมกันอย่างไรดี
คงได้แต่คิดอ่านไปทีละก้าว
ครั้งนี้หวังเหยียนชิงตามลู่เหิงเข้าวัง ทุกย่างก้าวล้วนราบรื่นยิ่งนัก องครักษ์หน้าประตูวังเห็นลู่เหิงก็รีบโค้งคำนับ ยังไม่ทันได้ตรวจสอบก็ปล่อยให้พวกเขาผ่านเข้าไป ครั้งก่อนหวังเหยียนชิงเข้าประตูวังทางทิศบูรพา ทว่าครั้งนี้พวกเขาเข้าวังจากประตูโย่วซุ่น เดินตามเส้นทางแคบๆ ไปทางทิศเหนือ
หวังเหยียนชิงลอบสังเกตสิ่งก่อสร้างสองฟากฝั่ง ที่นี่มีขันทีเข้าออกมากมายแตกต่างจากขันทีในความคิดนางที่ต้องค้อมกายคุกเข่า ท่าทีเสียดสีแดกดัน ผู้คนที่นี่แต่ละคนดูสุภาพ หากมิใช่ว่าร่างกายสวมใส่ชุดขันที บอกว่าเป็นบัณฑิตนางก็เชื่อ ขันทีที่เดินไปมาเห็นพวกเขาก็โค้งคำนับจากที่ไกลๆ ลู่เหิงเห็นหวังเหยียนชิงมองไปด้านข้างจึงแนะนำเสียงค่อย “นี่ก็คือสำนักขันทีซือหลี่”
หวังเหยียนชิงพลันกระจ่างแจ้ง ที่แท้ก็สำนักขันทีซือหลี่อันโด่งดังนี่เอง นับตั้งแต่สมัยของฮ่องเต้หย่งเล่อ วังหลวงและราชสำนักก็เริ่มให้ความสำคัญกับขันที จุดประสงค์แรกเริ่มของฮ่องเต้ในการก่อตั้งสำนักบูรพาและสำนักประจิมคือการควบคุมองครักษ์เสื้อแพร พวกเขาแม้จะถูกเรียกรวมว่า ‘ฉ่างเว่ย’* ทว่าสำนักบูรพา สำนักประจิม และหน่วยองครักษ์เสื้อแพรไม่ถูกกันตั้งแต่ไหนแต่ไร ทว่าบัดนี้ดูแล้วอย่างน้อยต่อหน้าลู่เหิง สำนักบูรพาและสำนักประจิมยังคงนอบน้อมมาก
จุดนี้หวังเหยียนชิงเลื่อมใสลู่เหิงเป็นพิเศษ ตั้งแต่เข้าเป็นองครักษ์เสื้อแพรลู่เหิงไม่เคยมีภารกิจใดที่ทำไม่สำเร็จ ผลงานเช่นนี้เพียงพอให้เขายิ้มเย้ยทั่วหล้าได้แล้ว แต่ความสามารถที่แท้จริงของเขากลับเป็นการทำให้ผู้คนรอบด้านให้ความร่วมมือในการปฏิบัติหน้าที่ของเขา ทั้งยังไม่ทิ้งคำครหาเอาไว้
การเข้าใจสิ่งต่างๆ อย่างกระจ่างชัดนั้นไม่ยาก แต่การเข้าใจคนอย่างถ่องแท้กลับเป็นเรื่องยากที่สุดในใต้หล้า
เดินไปตามทางนานทีเดียว ในที่สุดก็มาถึงวังฉือหนิง หวังเหยียนชิงเคยไปวังฉือชิ่งแล้ว วังฉือชิ่งอยู่ใกล้กับราชสำนักฝ่ายนอก กฎเกณฑ์ ระเบียบ และรายละเอียดในด้านอื่นๆ ล้วนเหมือนที่พำนักของรัชทายาทมากกว่า มิใช่ตำหนักบรรทม แต่วังฉือหนิงกลับตรงกันข้าม ที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของพระพันปีมาทุกยุคทุกสมัย หลังขึ้นครองราชย์ฮ่องเต้ยังบูรณะซ่อมแซมที่นี่ใหม่จนสง่างามและสูงศักดิ์ยิ่ง
พอลู่เหิงเข้าประตูมาก็มีคนเข้าไปรายงานด้านใน นางกำนัลเลิกม่านประตูให้เขาอย่างนอบน้อม หวังเหยียนชิงเดินตามหลังลู่เหิง ผ่านประตูเข้าไปแล้ว สถานการณ์ข้างในก็ทำเอานางตะลึงตาค้าง
วันนี้ฮ่องเต้ก็อยู่ด้วย จางฮองเฮาพาสนมชายามาปรนนิบัติที่วังฉือหนิง สนมที่อ่อนเยาว์งดงามกลุ่มหนึ่งรับใช้อยู่หน้าตั่ง ข้างหลังพวกนางยังมีนางกำนัลขันทีที่คอยรับใช้พวกนางอีกทีหนึ่ง ในตำหนักเต็มไปด้วยสตรีงดงามละลานตา รูปร่างทรวดทรงแตกต่างกันไป ยามยืนอยู่ด้วยกันช่างดูตระการตายิ่งนัก
เดิมทีหวังเหยียนชิงคิดว่านางมาถวายบังคมเจี่ยงไทเฮาเพียงลำพังเท่านั้น ไหนเลยจะคาดคิดว่าสถานการณ์เป็นเช่นนี้ นางกวาดตามองเพียงรอบเดียว ยังแยกไม่ออกว่าใครเป็นใครก็ได้แต่ยอบกายคำนับไปยังคนกลุ่มนั้นทั้งหมด “หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท ซิงกั๋วไทเฮา ฮองเฮา และสนมทุกท่านเพคะ”
ฮ่องเต้ประทับอยู่หน้าตั่งของเจี่ยงไทเฮา จางฮองเฮาซึ่งเป็นฮองเฮาพระองค์ที่สองนั่งอยู่ข้างฮ่องเต้ ด้านหลังมีคนงามลักษณะคล้ายนางข้าหลวงยืนอยู่หลายคน เจี่ยงไทเฮาเอนกายพิงตั่ง สีหน้าเหนื่อยหน่าย ดวงหน้าเป็นสีเหลืองซีด ครั้นได้ยินว่าลู่เหิงมาแล้ว ดวงเนตรก็เปล่งประกาย รีบเอ่ย “ไม่ต้องมากพิธี”
บอกว่ามาปรนนิบัติคนป่วย แต่ในความเป็นจริงสนมชายาเหล่านี้เพียงแค่มายืนอยู่ตรงนั้น พวกนางเคยพบเจี่ยงไทเฮาแค่ไม่กี่ครั้ง เจี่ยงไทเฮาก็ใช่ว่าจะรู้จักพวกนาง สำหรับเจี่ยงไทเฮาแล้ว สตรีที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกสะใภ้เหล่านี้ยังสนิทสนมกับนางมิเท่าลู่เหิง พอเจี่ยงไทเฮาเอ่ยปาก เหล่าชายาก็หลีกทางอย่างรู้กาลเทศะ เปิดทางตรงกลางให้
ลู่เหิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้จนคุ้นชินแล้ว เขาเดินฝ่ากลุ่มคนไปอย่างเป็นธรรมชาติจนถึงเบื้องพระพักตร์เจี่ยงไทเฮา หวังเหยียนชิงรีบก้มศีรษะเดินตามไป
ลู่เหิงทักทายฮ่องเต้ เจี่ยงไทเฮา และจางฮองเฮาอย่างคล่องแคล่ว เจี่ยงไทเฮาเห็นลู่เหิงแล้ว สีหน้าปลาบปลื้มใจยิ่ง นางชำเลืองมองไปข้างหลังเขาแวบหนึ่ง ดวงเนตรเผยแววเข้าใจ “พวกเจ้ามากันแล้วหรือ”
ใบหน้าลู่เหิงระบายยิ้มน้อยๆ ดุจเดิม เขาเบี่ยงตัวแล้วจูงหวังเหยียนชิงออกมา สีหน้าท่าทีเป็นธรรมชาติยิ่งนัก ดูไม่ออกแม้แต่น้อยว่ากำลังประหม่า “ไทเฮา นี่คือชิงชิงพ่ะย่ะค่ะ”
หวังเหยียนชิงไม่กล้าเงยหน้า รีบยอบกายถวายคำนับ “ถวายพระพรเจี่ยงไทเฮาเพคะ”
สายตาของเจี่ยงไทเฮากวาดผ่านร่างของหวังเหยียนชิง เห็นเพียงสตรีผู้นี้รูปโฉมงามเฉิดฉัน หว่างคิ้วไม่มีความโอหังเอาแต่ใจสักนิด ยามคำนับสุขุมมั่นคง ดูออกว่าเป็นคนที่มีนิสัยนิ่งสงบและหนักแน่นผู้หนึ่ง เจี่ยงไทเฮาพึงพอใจมากยิ่งขึ้น แย้มสรวลเอ่ยว่า “ลุกขึ้นเถอะ ยากนักที่พวกเจ้าจะเข้าวังมาเยี่ยมข้า ไม่ต้องมากพิธี ยกเก้าอี้”
นางกำนัลยกเก้าอี้กลมเข้ามา หวังเหยียนชิงแม้จะจดจำเรื่องในอดีตไม่ได้ก็ยังทราบว่าเมื่ออยู่เบื้องพระพักตร์ของฮ่องเต้และไทเฮามิอาจนั่งลงได้อย่างเต็มที่ นางจึงนั่งเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ลู่เหิงรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างผ่อนคลาย เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “กระหม่อมอยากมาถวายพระพรไทเฮานานแล้ว เพียงแต่ไม่มีเวลาว่างเลย วันนี้อาศัยพระบารมีของฝ่าบาทจึงพานางมาพบท่านได้”
เจี่ยงไทเฮายิ้มอย่างปลื้มปีติ “พวกเจ้าล้วนเป็นเด็กดี ทั้งสองคนแค่มีใจจะมาข้าก็พอใจแล้ว”
ลู่เหิงถือโอกาสนี้ถามไถ่อาการประชวรของไทเฮา สิ่งที่เขาถามมิใช่คำพูดว่างเปล่าอย่าง ‘หมู่นี้สุขภาพของไทเฮาเป็นอย่างไรบ้าง’ แต่เป็นรายละเอียดปลีกย่อยอย่างแท้จริง แทรกคำพูดน่าฟังเข้าไปเป็นครั้งคราว เอาใจเจี่ยงไทเฮาจนรอยยิ้มเต็มหน้า ประเด็นเหล่านี้หวังเหยียนชิงไม่มีส่วนร่วมแต่อย่างใด นางเหมือนเหล่าสนมชายามากมาย เพียงก้มศีรษะอยู่เงียบๆ ยืนด้านข้างเป็นบุปผาประดับผนัง
ฮ่องเต้ประทับอยู่หน้าตั่ง กวาดตามองหวังเหยียนชิงเงียบๆ จากนั้นก็มองดูลู่เหิง ดวงตาฉายแววชมดูเรื่องสนุก
ลู่เหิงดูเหมือนรับมือกับสถานการณ์ได้สบาย แต่ในความเป็นจริงเขากำลังหนักอกหนักใจยิ่งนัก คำพูดแต่ละประโยคของเขาล้วนต้องคิดเผื่อคำพูดต่อไปอีกห้าประโยค รวมถึงท่าทีตอบสนองที่เป็นไปได้ของเจี่ยงไทเฮา ทั้งยังมิอาจเผยพิรุธ เขาช่างหาเรื่องใส่ตัวจริงๆ
ลู่เหิงระวังป้องกันได้อย่างเหมาะสม ประกอบกับอาศัยโชคเล็กๆ น้อยๆ เรื่องราวจึงดำเนินไปอย่างราบรื่นจนน่าแปลก หวังเหยียนชิงคิดว่าคำว่า ‘พวกเจ้า’ ของเจี่ยงไทเฮาคือ ‘พวกเจ้าพี่น้อง’ เจี่ยงไทเฮากลับคิดว่าเป็น ‘พวกเจ้าสามีภรรยา’ สนมชายาทั้งหลาย ณ ที่นั้นต่างเงียบสนิท ไม่มีใครตระหนักถึงความผิดปกติ
มีเพียงลู่เหิงกับฮ่องเต้เท่านั้นที่รู้ความจริง พวกเขาสองคน คนหนึ่งแต่งเรื่อง คนหนึ่งดูอีกคนแต่งเรื่อง นับว่าเข้ากันได้ดีทีเดียว
เจี่ยงไทเฮากวาดตามองไปรอบด้าน ในความทรงจำของนางลู่เหิงกับฮ่องเต้ยังเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปี ทว่าเพียงพริบตาทั้งสองคนต่างก็มีครอบครัวแล้ว สมัครสมานปรองดองอยู่กันพร้อมหน้า ในใจนางรู้สึกสบายใจอย่างแท้จริง เอ่ยด้วยความสะทกสะท้อนปนทอดถอนใจ “ชีวิตนี้ของข้าผ่านลมฝนมาหมดแล้ว ไม่มีสิ่งใดต้องเสียดายอีก เสียดายก็แต่ไม่ได้เห็นลูกของพวกเจ้าสองคน ดังคำกล่าวว่าสร้างครอบครัวก่อนแล้วจึงค่อยสร้างผลงาน พวกเจ้าสองคนต้องเร่งมือหน่อยแล้ว”
ใบหน้าของฮ่องเต้ชะงักไปเล็กน้อย เขาขึ้นครองราชย์มาสิบสามปี จวบจนบัดนี้ในวังยังไม่มีเด็กเลยสักคน เจี่ยงไทเฮาร้อนใจ ฮ่องเต้มีหรือจะไม่ร้อนใจ จางฮองเฮาได้ยินเจี่ยงไทเฮาพูดถึงทายาท สีหน้าเก้อกระดากอย่างห้ามไม่อยู่ ลุกขึ้นพูด “พระโอสถน่าจะเสร็จแล้ว หม่อมฉันขอตัวออกไปดูก่อนเพคะ”
ลู่เหิงได้ยินเจี่ยงไทเฮาพูดถึงเรื่องนี้ก็รู้ว่าไม่ได้การ เขารีบฉวยโอกาสนี้ส่งสายตาให้หวังเหยียนชิง หญิงสาวเข้าใจความหมายของเขาโดยไม่จำเป็นต้องให้พูด ลุกตามจางฮองเฮาออกไป
หวังเหยียนชิงออกไปแล้ว สีหน้าของลู่เหิงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก ฮ่องเต้ลอบชำเลืองมองลู่เหิงเงียบๆ
ฮองเฮาออกไปตรวจดูยาด้วยตนเอง สนมชายาคนอื่นๆ ย่อมไม่อาจรอเฉยอยู่ที่นี่ ต่างตามฮองเฮาออกไปหมด เพียงพริบตาคนในห้องก็หายไปกว่าครึ่ง รอจนคนน้อยลงแล้ว เจี่ยงไทเฮาจึงเผยแววตำหนิออกมา แสร้งขึงตาใส่ลู่เหิงหนึ่งที “ไหนเจ้าบอกว่าเจอคนที่ถูกใจจะพามาให้ข้าดู บัดนี้ไฉนจึงแอบซุกซ่อนไว้คนเดียว มิให้ข้ารู้”
ฮ่องเต้เฝ้าดูอยู่ด้านข้างเงียบๆ คนแก่มีนิสัยขี้บ่นอย่างช่วยไม่ได้ เจี่ยงไทเฮาหากไม่บ่นลู่เหิงก็บ่นฮ่องเต้ เปรียบกันแล้วยังคงให้บ่นลู่เหิงไปดีกว่า
ตอนนี้ลู่เหิงรู้สึกเพียงอย่างเดียวว่าโชคดีนักที่ตนตอบสนองว่องไว ส่งหวังเหยียนชิงออกไปทันเวลา หาไม่แล้วเจอคำพูดประโยคนี้เข้า สถานการณ์จะเป็นอย่างไรยังมิกล้าคิด
ลู่เหิงรู้ว่าหวังพึ่งผู้อื่นไม่ได้จึงแก้ไขสถานการณ์ด้วยตนเอง “เป็นเพราะยังไม่มีเวลาพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่าหลังจากเสร็จงานช่วงนี้แล้วจะพานางมาพบไทเฮา ไหนเลยจะทราบว่าพระนางข่าวสารฉับไว นำหน้ากระหม่อมไปหนึ่งก้าว”
เจี่ยงไทเฮาไม่ไปถือสาว่าคำพูดนี้ของเขาเป็นจริงหรือเท็จ เอ่ยด้วยความหวังดีอีกครั้ง “ไม่ว่าจะยุ่งเพียงใดก็ต้องสนใจครอบครัวบ้าง คำพูดนี้ข้าไม่ได้พูดกับลู่เหิงเพียงเท่านั้น ฮ่องเต้เองก็เช่นกัน”
คำพูดพวกนี้ฮ่องเต้ฟังจนหูจะแฉะอยู่แล้ว ใจเขาไม่เห็นด้วยโดยสิ้นเชิง ถึงอย่างนั้นปากกลับตอบว่า “เราจะจดจำไว้”
เจี่ยงไทเฮาบงการบุตรชายไม่ได้นานแล้ว สิ่งที่นางพูดได้ล้วนพูดไปจนหมดสิ้น ที่เหลือย่อมขึ้นอยู่กับตัวลูกหลานเอง ตอนนี้ไม่มีคนอื่น เจี่ยงไทเฮาได้เห็นคนรุ่นหลังแล้วเบิกบานใจจึงถือโอกาสเอ่ยถึงเรื่องภายหลังของตน “โรคของข้าน่าจะภายในไม่กี่วันนี้แล้ว รอไว้ข้าตาย ฮ่องเต้ไม่ต้องไว้ทุกข์ให้ข้าหรอก ควรทำสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้นไป รีบให้กำเนิดทายาทเสียจึงจะเรียกว่ากตัญญูต่อข้าอย่างแท้จริง”
ฮ่องเต้ได้ยินคำพูดพวกนี้แล้วสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ลู่เหิงก็เก็บรอยยิ้ม หลุบตาลงเงียบๆ ฮ่องเต้เอ่ยปาก “เสด็จแม่ เถาจ้งเหวินกำลังศึกษาค้นคว้ายาลูกกลอนแบบใหม่ให้ท่าน ท่านจะพูดเรื่องพวกนี้ด้วยเหตุใดกัน”
เจี่ยงไทเฮาตอบ “ข้าไม่ชอบยาลูกกลอนพวกนั้น เจ้าอย่าทรมานข้าอีกเลย บั้นปลายอายุข้ามาถึงแล้ว ช้าเร็วก็ต้องมีวันนี้ ไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยง ถือโอกาสตอนที่ข้ายังพูดได้ จัดการเรื่องราวให้เรียบร้อย รอไว้วันนั้นมาถึงจริงๆ จะได้ไม่ต้องวุ่นวาย”
ฮ่องเต้เงียบงันไม่เอ่ยวาจา ลู่เหิงยิ่งไม่มีทางสานต่อ เจี่ยงไทเฮาจึงพูดต่อ “เรื่องภายหลังของข้าไม่จำเป็นต้องทำให้เอิกเกริก แต่ขอเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น จะต้องฝังข้าไว้กับบิดาเจ้าให้ได้”
ในที่สุดฮ่องเต้ก็ถอนหายใจอย่างจนปัญญา “เสด็จแม่โปรดวางใจ เราเข้าใจแล้ว”
อีกทางหนึ่ง หวังเหยียนชิงรอยาเป็นเพื่อนจางฮองเฮา ภายหลังมีสนมชายาและนางกำนัลทยอยตามมาอีกเป็นพรวน จางฮองเฮาบอกว่าจะมาต้มยาด้วยตนเอง ความเป็นจริงคือไปดูที่ห้องครัวแวบหนึ่ง แม้แต่กลิ่นควันยังไม่ต้องดมด้วยซ้ำ นางก็มานั่งจิบน้ำชาในห้องอุ่นแล้ว รอยาต้มเสร็จย่อมมีนางกำนัลยกมาวางตรงหน้า
หวังเหยียนชิงไม่รู้จักจางฮองเฮาโดยสิ้นเชิง ฮองเฮาและสนมชายาคนอื่นๆ ยามเผชิญหน้ากับครอบครัวของใต้เท้าลู่ก็ไม่มีอะไรให้พูดจริงๆ เหล่าสตรีเผชิญหน้ากันอย่างไร้คำพูด รออยู่ในห้องอุ่นเงียบๆ ควันสีเทาลอยอวล ได้ยินเพียงเสียงเปิดฝาถ้วยชาของจางฮองเฮา
หวังเหยียนชิงไม่ต้องพูดคุยกับใคร ในใจลอบยินดีทีเดียว หาได้สงสัยในความเหินห่างในตอนนี้ไม่ นางคิดว่าตนไม่สนิทสนมกับสตรีเหล่านี้ก็เป็นเรื่องปกติ ต่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างลู่เหิงกับคนในวังจะแน่นแฟ้นเพียงใด เขาก็เป็นเพียงขุนนางภายนอก จะคบหารู้จักกับสนมชายาในตำหนักในได้อย่างไร ลู่เหิงเองยังไม่สนิท ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหวังเหยียนชิงเลย
ทว่าก่อนที่หวังเหยียนชิงจะเข้าวัง ลู่เหิงเล่าความสัมพันธ์ภายในวังให้นางฟังคร่าวๆ แล้ว ฮองเฮาองค์ปัจจุบันนี้แซ่จาง เข้าวังในรัชศกจยาจิ้งปีที่หนึ่ง แต่มิได้เกี่ยวข้องเป็นเครือญาติกับจางไทเฮาแต่อย่างใด เพียงแค่บังเอิญแซ่เหมือนกันเท่านั้น จางฮองเฮาเป็นฮองเฮาพระองค์ที่สองของฮ่องเต้ ฮองเฮาพระองค์แรกแซ่เฉิน เนื่องจากนิสัยริษยาทำให้ฮ่องเต้ไม่พอใจ ตนเองตระหนกตกใจจนแท้งบุตร ล้มป่วยและตายไป หลังจากเฉินฮองเฮาตาย ภายใต้การเร่งรัดของเจี่ยงไทเฮา ฮ่องเต้จึงแต่งตั้งจางซุ่นเฟยที่มีอายุมากที่สุดขึ้นเป็นฮองเฮา หรือก็คือจางฮองเฮาคนปัจจุบัน
น่าเสียดายที่จางฮองเฮาไม่เป็นที่โปรดปราน เข้าวังมาสิบสามปียังไม่อาจให้กำเนิดบุตรธิดาสักคน บัดนี้จางฮองเฮาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้โปรดปรานคนใหม่ ตำแหน่งของนางประดักประเดิดมากขึ้นทุกที สตรีที่เข้าวังตั้งแต่รัชศกจยาจิ้งปีที่หนึ่งและบัดนี้ยังคงอยู่ในวังมีเพียงจางฮองเฮาเท่านั้น ที่เหลือล้วนเป็นคนใหม่ที่เข้าวังในรัชศกจยาจิ้งปีที่สิบ ซึ่งฮ่องเต้คัดเลือกคนคราวเดียวเก้าคน แต่งตั้งเป็นนางสนมขั้นผิน ทั้งเก้าตามขนบโบราณ ยามนี้เมื่อยืนอยู่ใต้แสงแดดพร้อมกันช่างดูสดใสอ่อนเยาว์จนแทบเปล่งประกาย
หวังเหยียนชิงลอบกวาดตามองสตรีอ่อนเยาว์ที่งามเฉิดฉันในห้องอุ่นแห่งนี้ คิดในใจว่าแต่งเข้าตระกูลเจ้าเหนือหัว โดยเฉพาะเจ้าเหนือหัวอย่างฮ่องเต้ที่เฉลียวฉลาดและขี้ระแวงถึงเพียงนี้ เกรงว่าอาจมิใช่เรื่องดีเสมอไป
หากเป็นนาง นางยินดีใช้ชีวิตอยู่นอกวังมากกว่า ต่อให้ไม่มีแพรพรรณหรูหราอาหารรสเลิศ อย่างน้อยก็มีอิสรเสรี
ยาต้มเสร็จอย่างรวดเร็ว จางฮองเฮายกยากลับไปที่ตำหนักกลางของวังฉือหนิงด้วยตนเอง เจี่ยงไทเฮาไม่รู้กำลังคุยเรื่องใดกับฮ่องเต้ เห็นพวกนางแล้วพยักหน้านิดๆ แต่คำพูดก่อนหน้านี้กลับหยุดชะงักไป เจี่ยงไทเฮาดื่มยาแล้ว สีหน้าฉายแววเหนื่อยล้า ฮ่องเต้มีธุระต้องกลับวังเฉียนชิง ลู่เหิงเห็นดังนั้นจึงถือโอกาสทูลลาและพาหวังเหยียนชิงถอยออกไป
ลู่เหิงต้องไปวังเฉียนชิงด้วย จึงได้แต่ให้คนส่งหวังเหยียนชิงกลับจวน ครั้งนี้ได้พานางไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้กับเจี่ยงไทเฮาอย่างเปิดเผยแล้ว ลู่เหิงไม่ต้องกลัวว่าระหว่างทางจะมีคนสร้างความลำบากใจให้หวังเหยียนชิง กำชับไม่กี่คำก็ส่งนางจากไป
เรื่องเช่นนี้ครั้งแรกไม่คุ้นครั้งที่สองย่อมเชี่ยวชาญ หวังเหยียนชิงนั่งบนรถม้าที่แล่นออกจากวัง สีหน้าสุขุมทีเดียว นางคาดเดาว่าระหว่างที่พวกนางออกไป เจี่ยงไทเฮาน่าจะคุยอะไรบางอย่างกับฮ่องเต้และลู่เหิง ตอนนี้ฮ่องเต้เรียกลู่เหิงไปวังเฉียนชิง เกินครึ่งก็คงต้องการหารือเรื่องนี้
หวังเหยียนชิงขบคิดเล็กน้อยก็โยนเรื่องนี้ทิ้งไป หาได้เก็บมาใส่ใจไม่ กลับจวนแล้วชีวิตของนางยังคงสงบและผ่อนคลายดังเดิม ทว่าลู่เหิงกลับยุ่งง่วน เวลาเขายุ่งก็แทบไม่เห็นเงา หลายครั้งที่หวังเหยียนชิงอยากคุยกับเขาเรื่องฟู่ถิงโจว แต่ล้วนหาโอกาสไม่ได้
ผ่านไปไม่กี่วัน วังหลวงพลันส่งข่าวร้ายออกมา เจี่ยงไทเฮาสิ้นพระชนม์ การไปเข้าเฝ้าเจี่ยงไทเฮาครั้งนั้นของหวังเหยียนชิงกลายเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ หลังความโศกเศร้าผ่านพ้น ฮ่องเต้ปฏิบัติตามคำสั่งเสียของเจี่ยงไทเฮา ใช้วันแทนเดือนไว้ทุกข์ยี่สิบเจ็ดวัน ขณะเดียวกันฮ่องเต้ก็พูดถึงพิธีฝังศพของเจี่ยงไทเฮาในการประชุมขุนนางด้วย
เจี่ยงไทเฮาสิ้นพระชนม์ในเป่ยจิง แต่ซิงเซี่ยนอ๋องพระบิดาของฮ่องเต้ฝังอยู่ในอันลู่ เรื่องนี้จะจัดการอย่างไรดี ข้าราชสำนักบ้างเสนอให้ฝังร่วมกัน บ้างเสนอให้แยกฝังเหนือใต้และก่อตั้งสุสานอาภรณ์ไว้ทั้งสองแห่ง
การฝังแยกสะดวกที่สุด แต่ความปรารถนาเพียงอย่างเดียวของเจี่ยงไทเฮาคือการได้ฝังร่วมกับซิงเซี่ยนอ๋อง ฮ่องเต้ในฐานะบุตรจะฝ่าฝืนคำสั่งเสียของมารดาได้อย่างไร สุดท้ายฮ่องเต้ไม่สนใจเสียงโต้แย้งของข้าราชสำนัก รับสั่งให้ฝังร่วม การฝังร่วมเกี่ยวพันถึงการขนย้ายโลงศพ ฮ่องเต้ทางหนึ่งเลือกทำเลสุสานบนเขาเทียนโซ่ว ทางหนึ่งส่งองครักษ์เสื้อแพรกลับไปอันลู่ ตรวจสอบสุสานเสี่ยนหลิงซึ่งเป็นสถานที่หลับใหลของซิงเซี่ยนอ๋อง
แน่นอนว่างานนี้ตกมาอยู่ที่ลู่เหิง ฮ่องเต้ดูเหมือนขอความเห็นเรื่องพิธีศพจากข้าราชสำนักระหว่างการประชุมขุนนาง แต่ความจริงก่อนที่เจี่ยงไทเฮาจะสิ้นพระชนม์ ฮ่องเต้ได้หารือกับลู่เหิงเรื่องการฝังพระศพร่วมและการขนย้ายหีบพระศพของซิงเซี่ยนอ๋องแล้ว การเอ่ยถึงในการประชุมขุนนางเป็นเพียงการแจ้งให้ทราบเท่านั้น
พิธีฝังศพเป็นเรื่องใหญ่จะเกิดข้อผิดพลาดไม่ได้แม้แต่น้อย ลู่เหิงส่งคนสนิทไปนครเฉิงเทียนตรวจดูสภาพของสุสานเสี่ยนหลิง ยังต้องคัดเลือกทำเลที่ตั้งสุสานของเจี่ยงไทเฮาด้วย ยุ่งง่วนจนวันทั้งวันไม่เห็นคน หวังเหยียนชิงเห็นดังนั้นก็ยิ่งไม่อยากรบกวนเขา นางคิดว่ารอให้ผ่านช่วงนี้ไปแล้ว กระทั่งลู่เหิงมีเวลาว่างค่อยคุยเรื่องของฟู่ถิงโจวก็แล้วกัน
สุดท้ายองครักษ์เสื้อแพรที่กลับจากสุสานเสี่ยนหลิงรายงานว่าห้องโถงของสุสานเสี่ยนหลิงมีน้ำ ฮ่องเต้ได้ยินว่าสุสานของพระบิดามีน้ำเข้าไปก็เสียใจอย่างยิ่ง พวกเขามาอยู่นครหลวงเป็นเวลาสิบกว่าปี บิดาอยู่ในอันลู่คนเดียวตามลำพัง กระทั่งสุสานมีน้ำเข้าไปยังไม่มีใครทราบ หลังความเศร้าสลด ฮ่องเต้ก็ตัดสินใจเสด็จประพาสแดนใต้ กลับบ้านเก่าที่อันลู่ด้วยตนเอง เพื่อไปตรวจดูว่าจะย้ายสุสานหรือไม่และจะฝังร่วมอย่างไร
เดิมทีหวังเหยียนชิงคิดว่าลู่เหิงยุ่งแค่ช่วงหนึ่งก็จะหายยุ่ง สุดท้ายผ่านไปพักใหญ่แล้วเขากลับยุ่งมากกว่าเดิม ฮ่องเต้เสด็จประพาสแดนใต้แค่ขยับปากเท่านั้น ทว่าการคุ้มกัน การตามเสด็จ การตรวจสอบ การอารักขาตรวจตราทั้งหมดล้วนต้องให้องครักษ์เสื้อแพรเป็นผู้รับผิดชอบ
ลู่เหิงยุ่งจนหัวไม่วางหางไม่เว้น หวังเหยียนชิงยิ่งไม่อาจเอาเรื่องเล็กน้อยมารบกวนเขา กลางดึกคืนหนึ่ง ลู่เหิงยุ่งกับงานจนดวงจันทร์ลอยเด่นกลางท้องนภาแล้วจึงกลับมา หวังเหยียนชิงเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าฤดูร้อนแล้ว นางรินชาร้อนให้เขาพลางพูด “พี่รอง อาหารเอากลับไปอุ่นบนเตาแล้ว ท่านรอสักครู่”
ลู่เหิงรับถ้วยชามา ในใจอดรู้สึกผิดมิได้ “ดึกป่านนี้แล้ว เจ้ากลับไปนอนเถอะ ไม่ต้องรอข้า”
หวังเหยียนชิงส่ายหน้า “ท่านยังไม่กลับ ข้านอนไปก็ต้องฝันร้ายอยู่ดี มิสู้รอท่านอยู่ที่นี่ พี่รอง การเสด็จประพาสแดนใต้ท่านก็ต้องตามเสด็จด้วยหรือ”
ลู่เหิงตอบ “แน่นอน”
ฮ่องเต้เสด็จออกจากวัง เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้หากเขาไม่ไปยึดพื้นที่เอาไว้ ความดีความชอบย่อมถูกผู้อื่นแย่งไปหมด หวังเหยียนชิงไม่แปลกใจกับเรื่องนี้ นางถาม “พี่รอง การเสด็จประพาสแดนใต้อย่างไรก็กินเวลาถึงสองเดือน สัมภาระติดตัวของท่านจะจัดอย่างไร”
การเสด็จประพาสแดนใต้เป็นเรื่องใหญ่ของราชสำนัก พระตำหนักในท้องที่ต่างๆ มีกรมพิธีการเป็นผู้จัดการ ลู่เหิงไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องนี้ ทว่าคำพูดของหวังเหยียนชิงกลับเตือนสติเขา
หากเขาไปแล้ว หวังเหยียนชิงอยู่จวนคนเดียว ฟู่ถิงโจวจะยอมอยู่เฉยๆ หรือ
ลู่เหิงยกถ้วยชาขึ้นมา คิดแล้วคิดอีก สุดท้ายก็คิดว่าจะเปิดโอกาสให้ฟู่ถิงโจวไม่ได้เด็ดขาด เขาตัดสินใจอย่างรวดเร็วแล้วบอกนาง “ชิงชิง เจ้าก็ไปด้วยกันเถอะ”
บทที่ 54
“ข้า?” หวังเหยียนชิงฟังแล้วรู้สึกเหนือความคาดหมาย “การเสด็จประพาสแดนใต้เป็นเรื่องใหญ่ของราชสำนัก ข้าไม่มียศถาบรรดาศักดิ์และไม่มีตำแหน่งขุนนาง ทั้งมิใช่นายหญิงตราตั้งติดตามไปเกรงว่าคงไม่เหมาะกระมัง”
นั่นไม่เหมาะจริงๆ ฮ่องเต้เสด็จประพาสแดนใต้ เรื่องใหญ่ของบ้านเมืองย่อมมิอาจละเลย ขุนนางฝ่ายพลเรือนในสภาขุนนาง ขุนพล และองครักษ์ล้วนต้องตามเสด็จ นับรวมสนมชายาและนางกำนัลขันทีที่ปรนนิบัติรับใช้ฮ่องเต้ แค่จำนวนคนทั้งหมดตอนนี้ก็หมื่นกว่าชีวิตแล้ว คนหมื่นกว่าคนออกเดินทางหาใช่เรื่องเล็กไม่ หากผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อยย่อมบ่มเพาะกลายเป็นหายนะครั้งใหญ่ แรงกดดันเรื่องความปลอดภัยในการเสด็จประพาสแดนใต้มีมาก ขุนนางตามเสด็จต้องลดจำนวนผู้ติดตามให้ได้มากที่สุด หากเป็นขุนนางอายุมากร่างกายอ่อนแอเดินไม่ค่อยไหวแล้วจริงๆ สามารถพาผู้ติดตามไปด้วยคนสองคน แต่ไม่มีใครพาภรรยาหรือครอบครัวไปด้วย ลู่เหิงพาสตรีคนหนึ่งไปด้วยในเวลาเช่นนี้ ไม่ว่าพูดอย่างไรก็สะดุดตาเกินไปหน่อย
ทว่าเรื่องทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับคน เรื่องเช่นนี้สามารถคิดหาหนทางแก้ไขได้ หากทิ้งหวังเหยียนชิงไว้ในนครหลวงแล้วถูกฟู่ถิงโจวชิงตัวไป เขาย่อมไม่อาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้อีก เปรียบเทียบกันแล้วลู่เหิงยอมเสี่ยงทำตัวโดดเด่นจนเป็นภัย ดึงหวังเหยียนชิงมาอยู่ข้างกายเลยดีกว่า
ลู่เหิงพูด “ไม่เป็นไร ผู้อื่นก็ต้องพาสาวใช้ไปเหมือนกัน ข้าลดสาวใช้ลงหนึ่งคน เพิ่มเจ้าเข้าไปแทนก็ใช้ได้แล้ว”
ลู่เหิงเอ่ยอย่างมั่นใจ หวังเหยียนชิงจึงมิได้กังขา รู้สึกสบายใจทันที นางไม่อยากเพิ่มความยุ่งยากให้เขา จึงไม่ได้เรียกร้องอะไรตั้งแต่ต้น ทว่าพอได้ยินว่าสามารถเดินทางไปด้วยได้ สีหน้านางก็ตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
พูดไปแล้วก็น่าละอาย นางฟื้นขึ้นมาห้าเดือนแล้ว ทว่านอกจากลู่เหิง นางอยู่ในจวนสกุลลู่กลับไม่มีใครสามารถพูดคุยด้วยได้สักคน หากสามารถติดตามลู่เหิงไปได้ นางย่อมยินดีอยู่แล้ว
พอคิดเช่นนี้หวังเหยียนชิงก็วิตกขึ้นมาทันใด รีบถาม “การตามเสด็จประพาสแดนใต้ต้องตระเตรียมอะไรบ้าง ข้ายังไม่ได้จัดสัมภาระเลย”
นางพูดพลางทำท่าจะกลับไปจัดข้าวของ ลู่เหิงห้ามนางไว้แล้วบอกว่า “ไม่ต้องรีบ ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างการตรวจนับจำนวนคน อย่างน้อยก็ต้องเตรียมตัวอีกสองเดือนจึงจะออกเดินทาง”
ยังมีเวลาอีกสองเดือน? หวังเหยียนชิงสบายใจขึ้น นางถาม “เหล่าสนมชายาในวังต้องออกเดินทางด้วยหรือไม่”
“ใช่” ลู่เหิงผงกศีรษะ “นี่เป็นการกลับบ้านเกิดครั้งแรกของฝ่าบาทหลังจากขึ้นครองราชย์ เกินครึ่งก็คงเป็นครั้งสุดท้ายเช่นกัน ฮ่องเต้จะเสด็จกลับไปเซ่นไหว้สุสานเสี่ยนหลิง พระองค์ทรงอยากพาเหล่าสนมชายาไปพบซิงเซี่ยนอ๋องเพื่อปลอบประโลมดวงวิญญาณของซิงเซี่ยนอ๋องที่อยู่บนสวรรค์ จางฮองเฮาแจ้งยืนยันแล้วว่าจะร่วมเสด็จเดินทางไปด้วย คนที่เหลือยังคัดเลือกไม่เสร็จ แต่เกินครึ่งน่าจะเป็นฟางเต๋อผิน เหยียนลี่ผิน”
หวังเหยียนชิงผงกศีรษะ นางพยายามย้อนคิดครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงจับคู่ชื่อเหล่านี้กับใบหน้าในหัวสมองได้ ครั้งก่อนตอนไปเยี่ยมไข้ไทเฮานางเคยพบสนมเหล่านี้หนหนึ่ง ฟางเต๋อผินท่าทางเคร่งขรึม ใบหน้าค่อนข้างยาวและเหลี่ยม ดูแข็งกร้าวดุดันมาก นิสัยไม่ชอบแย้มยิ้ม เหยียนลี่ผินดูอ่อนโยนงดงามกว่าหน่อย หน้ากลมอวบอิ่ม รูปร่างเล็กบางสมกับตำแหน่งของนางอย่างแท้จริง*
เมื่อคิดเช่นนี้หวังเหยียนชิงก็พลันตระหนักว่าตอนไปเยี่ยมไข้วันนั้น ท่าทีของเหยียนลี่ผินดูเหมือนจะไม่ปกตินัก นางเอาแต่ยืนชิดมุมห้อง ทั้งยังยกมือขึ้นบ่อยครั้ง บิดผ้าเช็ดหน้าบ้าง ลูบเสื้อผ้าบ้าง ดูประหม่ามาก ลู่เหิงเห็นหวังเหยียนชิงทำท่าครุ่นคิดจึงเอ่ยถาม “เป็นอะไรไป”
หวังเหยียนชิงขมวดคิ้ว ผ่านไปครู่หนึ่งจึงส่ายหน้า “ไม่มีอะไร ข้าคงจะคิดมากไปเอง”
เหยียนลี่ผินในฐานะสนมที่อ่อนเยาว์ไร้เดียงสา ไร้ที่พึ่งพิงคนหนึ่ง ตอนมาปรนนิบัติเจี่ยงไทเฮารู้สึกประหม่าก็เป็นเรื่องปกติ หวังเหยียนชิงคงจะคิดมากไปเองกระมัง
ฮ่องเต้เป็นคนที่ยึดมั่นในความคิดตนเองอย่างยิ่ง หลังจากวางแผนเสด็จประพาสแดนใต้แล้วก็ลงมือดำเนินการทันที เตรียมการอย่างขมีขมันสามทาง ทางหนึ่งขุนนางผู้แทนพระองค์นำพระราชโองการไป ร่วมกับผู้ตรวจราชการท้องถิ่นสร้างพระตำหนักชั่วคราวไว้ตามเส้นทางการเสด็จประพาสแดนใต้ ทางหนึ่งไปอันลู่บูรณะซ่อมแซมจวนเก่าของซิงอ๋อง ทางหนึ่งไปเขาต้าอวี้เตรียมงานฝังพระศพร่วมของซิงเซี่ยนอ๋องและจางเซิ่งเจี่ยงไทเฮา
ทุกคนในราชสำนักต่างยุ่งง่วนกับการเสด็จประพาสแดนใต้ กรมทหารจัดการเรื่องผู้ติดตามและจุดพักเปลี่ยนม้า กรมอากรสั่งการตระเตรียมเสบียงและเงินทองที่ผู้ติดตามต้องใช้ เสนาบดีกรมอากรเข้าวังมาร้องไห้โอดครวญว่ายากจนทุกวัน สุดท้ายฮ่องเต้รำคาญจึงแบ่งเงินยี่สิบหมื่นตำลึงจากคลังสมบัติส่วนพระองค์ออกมา เสนาบดีกรมพิธีการเหยียนเหวยถวายแผนการเสด็จประพาสแดนใต้โดยละเอียดฉบับหนึ่ง รวมถึงวันที่ออกเดินทางจากนครหลวง พิธีเซ่นไหว้ และกำหนดการการเดินทางตรวจตราก็ละเอียดถึงขั้นที่ระบุว่าวันใดเดินทางไปถึงที่ใด แต่ละท้องถิ่นจะรับเสด็จเวลาใด ขุนนาง เซียงเซินอาวุโส และอ๋องทั้งหลายตามรายทางจะเข้าเฝ้าอย่างไร ทั้งหมดล้วนเขียนระบุไว้อย่างชัดเจน ฮ่องเต้ได้รับแผนการฉบับนี้แล้วพึงพอใจมาก ชมเชยเหยียนเหวยเป็นพิเศษในการประชุมขุนนางตอนเช้า
การเสด็จประพาสแดนใต้สำหรับขุนนางฝ่ายพลเรือนเป็นโอกาสในการแย่งกันแสดงความสามารถ พวกเขายุ่งง่วนกับการช่วงชิงผลประโยชน์ ทว่าบรรยากาศของขุนนางฝ่ายทหารกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ปัญหาใหญ่ที่สุดของฮ่องเต้ในการเสด็จประพาสแดนใต้คือความปลอดภัย สำหรับแม่ทัพขุนพล นี่เป็นเผือกร้อนที่โยนทิ้งไม่ได้จะรับไว้ก็ไม่ดี ทำได้ดีเป็นเรื่องสมควร แต่หากเกิดข้อผิดพลาดแม้เพียงน้อยนิด เช่นนั้นก็รอถูกเนรเทศทั้งครอบครัวเถอะ
องครักษ์เสื้อแพรเดิมทีเป็นทหารกองเกียรติยศ รับผิดชอบขบวนเกียรติยศและการอารักขาฮ่องเต้ ถือเป็นหน้าเป็นตาของฮ่องเต้ ด้วยเหตุนี้เองเสื้อผ้าของพวกเขาจึงฉูดฉาดถึงเพียงนั้น ภายหลังเพื่อถ่วงดุลขุนนางผู้มีความดีความชอบ ฮ่องเต้หงอู่มอบอำนาจให้ทหารองครักษ์ของตนไม่หยุด ต่อมาก็ยกเลิกกองเกียรติยศ เปลี่ยนเป็นหน่วยองครักษ์เสื้อแพร ทำให้องครักษ์เสื้อแพรเปลี่ยนจากทหารกองเกียรติยศกลายเป็นกองกำลังที่แยกตัวออกมาในปัจจุบัน มีหน้าที่รวบรวมข่าวกรอง ตรวจสอบจับกุม ตลอดจนรักษาความปลอดภัยให้ฮ่องเต้โดยตรง
ทว่าการตามเสด็จและขบวนเกียรติยศยังคงเป็นงานดั้งเดิมของพวกเขา การเสด็จประพาสแดนใต้ครั้งนี้ใช้องครักษ์เสื้อแพรมากถึงแปดพันคน ทหารหกพันนายคุ้มครองฮ่องเต้ อีกสองพันนายเป็นหน้าเป็นตาให้กับขบวนเกียรติยศ ช่วงนี้ลู่เหิงยุ่งจนเท้าไม่ติดพื้นก็เพราะกำลังคัดเลือกและโยกย้ายกำลังพลขององครักษ์เสื้อแพร นอกจากนี้ยังมีทหารตามเสด็จอีกหกพันนาย กำลังพลส่วนนี้มาจากห้ากองกำลังพิทักษ์นครา บังเอิญว่าฟู่ถิงโจวเป็นคนจัดการ
นี่กระมังที่เรียกว่าศัตรูที่ไม่อยากเจอกลับต้องมาพบหน้า
วันที่สิบหกเดือนเจ็ด การเสด็จประพาสแดนใต้ที่เตรียมการอยู่หลายเดือนก็เริ่มต้นขึ้นในที่สุด ฮ่องเต้นำเหล่าขุนนาง องครักษ์ และข้าราชบริพารหนึ่งหมื่นห้าพันกว่าคนเดินทางออกจากพระราชวัง มุ่งหน้าไปอันลู่อย่างยิ่งใหญ่ แม้ขบวนผู้ติดตามจะมีมากถึงหนึ่งหมื่นห้าพันคน แต่เฉพาะขุนนางที่มีความสำคัญมากที่สุดไม่กี่คนเท่านั้นที่โชคดีได้ตามเสด็จออกมาด้วย กลุ่มชนชั้นสูง ได้แก่ อู่ติ้งโหวกัวซวิน เฉิงกั๋วกงจูซีจง และเจิ้นหย่วนโหวฟู่ถิงโจว นอกจากนี้แล้วยังมีนักพรตคนหนึ่งคือเถาจ้งเหวิน
ฟู่ถิงโจวยามอยู่ในแวดวงชนชั้นสูงผู้มีความดีความชอบตั้งแต่สมัยบุกเบิกแผ่นดิน เขาอ่อนเยาว์จนเป็นที่สะดุดตา ทุกคนภายนอกไม่พูด ลับหลังกลับวิพากษ์วิจารณ์กันว่าฟู่ถิงโจวกำลังจะกลายเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทแล้วหรือ
ระหว่างที่เหล่าขุนนางคาดเดาจิตใจฮ่องเต้ ไม่มีใครสังเกตว่าคนของฝ่ายในที่ตามเสด็จถูกเปลี่ยนเป็นจางฮองเฮา ฟางเต๋อผิน และเฉาตวนผิน ส่วนเหยียนลี่ผินถูกเปลี่ยนตัวออกไปเงียบๆ ในขณะเดียวกันยังมีรถม้าคันหนึ่งปะปนเข้ามาในขบวนด้วย
ฟู่ถิงโจวบังคับม้าตามหลังราชรถ สายตาจับจ้องไปยังจุดหนึ่งเงียบๆ เขามองอย่างจดจ่อทำให้คนที่อยู่ใกล้อดมองตามไปยังทิศทางนั้นไม่ได้ กระนั้นนอกจากขบวนรถยาวต่อเนื่องแล้วก็ไม่เห็นสิ่งอื่นใด ผู้มาส่งสารเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจิ้นหย่วนโหว ท่านมองอะไรอยู่หรือ”
ฟู่ถิงโจวได้สติ ถอนสายตากลับมาอย่างแนบเนียน “เปล่า มีอะไรหรือ”
“อ้อ” ผู้มาส่งสารบังคับอาชาใต้ร่างด้วยมือข้างเดียว ชี้ไปด้านหน้า “อู่ติ้งโหวมีเรื่องอยากพบท่าน”
วันนี้เป็นวันที่เก้าของการเดินทางออกจากนครหลวง ตามแผนการคืนนี้น่าจะหยุดพักชั่วคราวในเมืองเว่ยฮุย ฟู่ถิงโจวไปพบอู่ติ้งโหวแล้วถาม “อู่ติ้งโหว ท่านตามข้ามาพบด้วยเรื่องใดหรือ”
อู่ติ้งโหวรับคำเรียบๆ “ประเดี๋ยวจะถึงเว่ยฮุยแล้ว ตอนเข้าพระตำหนักเจ้าต้องระวังให้มาก อย่าให้เกิดข้อผิดพลาด”
ฟู่ถิงโจวผงกศีรษะ “ผู้น้อยทราบแล้ว”
เขาเอ่ยพลางมองไปยังราชรถที่อยู่กึ่งกลางขบวน ราชรถที่ฮ่องเต้ประทับมีองครักษ์เสื้อแพรเป็นผู้คุ้มกัน ถัดจากองครักษ์เสื้อแพรถึงเป็นพลทหารของห้ากองกำลังพิทักษ์นครา ส่วนที่ฟู่ถิงโจวรับผิดชอบคือเส้นทางขวา ทว่าตอนนี้ฟู่ถิงโจวรู้สึกว่าทิศทางของทหารองครักษ์ชั้นนอกของราชรถไม่ปกตินัก จึงมุ่นคิ้วถาม “ใครเป็นผู้รับผิดชอบดูแลองครักษ์เสื้อแพรในวันนี้ เหตุใดการตรวจตราจึงแตกต่างไปจากปกติ”
อู่ติ้งโหวอายุห้าสิบกว่าแล้ว ร่างกายอ้วนท้วน ยามควบขี่อาชาไม่คล่องแคล่วเหมือนในอดีต แต่นัยน์ตาคมดุจเหยี่ยวคู่นั้นยังคงมองออกว่าเขาเคยเป็นทหารมาก่อน รอยเหี่ยวย่นตัดกันไปมาบนใบหน้าเขา มุมปากทั้งสองข้างมีร่องลึก เห็นแล้วชวนให้ผู้คนเกรงขาม เสียงของเขาทุ้มต่ำหนักอึ้งเช่นกัน แยกอารมณ์ไม่ออก “เป็นลู่เหิง เมื่อครู่ฮ่องเต้ทรงนึกสนุก ละทิ้งราชรถ อยากจะขี่อาชาแทน ลู่เหิงจึงไปขี่อาชาเป็นเพื่อนพระองค์”
ฟู่ถิงโจวไม่เอ่ยอะไร เพียงยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มิน่าเขาถึงรู้สึกว่าทิศทางขององครักษ์เสื้อแพรแปลกไป ที่แท้ในราชรถก็ว่างเปล่า
เรื่องที่เกี่ยวพันกับฮ่องเต้ฟู่ถิงโจวไม่สะดวกจะออกความเห็น เขาหัวเราะเบาๆ “ยากนักที่ฮ่องเต้จะทรงมีอารมณ์สุนทรีย์ ผู้บัญชาการลู่ไปเป็นเพื่อนด้วยตนเอง เรื่องความปลอดภัยคงจะไม่น่าเป็นห่วง”
ฟู่ถิงโจวได้ยินอู่ติ้งโหวแค่นเสียงหยันอย่างชัดเจน อู่ติ้งโหวถือว่าตนมีความดีความชอบยิ่งใหญ่ คิดว่าขุนนางทหารในนครหลวงล้วนสมควรยึดเขาเป็นผู้นำ ทว่าตอนนี้คนหนุ่มที่อายุเพียงยี่สิบกว่ากลับท้าทายอำนาจเขาครั้งแล้วครั้งเล่า อู่ติ้งโหวยกมุมปากข้างหนึ่ง แววเหยียดหยันบนใบหน้าปรากฏชัด “เป็นเช่นนั้นย่อมดีที่สุด หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาจริงๆ คนตั้งกี่คนที่ต้องหัวหลุดจากบ่าพร้อมกับเขา เขารับผิดชอบไหวรึ”
ฟู่ถิงโจวหลุบตามิได้ตอบคำ ตำแหน่งขุนนางเมื่อนั่งมาถึงจุดจุดหนึ่ง ต่อให้ไม่เคยมีความแค้นใดต่อกัน สุดท้ายก็ต้องกลายเป็นศัตรู หลายปีก่อนอู่ติ้งโหวยังชมเชยลู่เหิง บัดนี้กลับกลายเป็นศัตรูกันโดยสมบูรณ์แล้ว
ลู่เหิงทำตัวโดดเด่นเกินไป ระยะนี้ไขคดีใหญ่สองคดีติดต่อกัน ผลงานไม่มีใครเกิน ขุนนางฝ่ายพลเรือน ชนชั้นสูง ตลอดจนองครักษ์เสื้อแพรด้วยกันเองเริ่มมีหลายคนไม่ชอบหน้าเขา
บางครั้งการออกตัวเร็วเกินไปใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดี
หลายปีมานี้อู่ติ้งโหวเรียกลมเรียกฝนในนครหลวง ลืมไปนานแล้วว่าความหวาดกลัวเป็นอย่างไร ยามชี้แนะคนรุ่นหลังจึงไม่เกรงกลัวอะไรทั้งนั้น อู่ติ้งโหวพูดถึงลู่เหิงจบ ปรายตามองฟู่ถิงโจวเล็กน้อย “ลู่เหิงกล้าเหิมเกริมเช่นนี้ มิพ้นถือว่าตนเติบโตมากับฮ่องเต้ ฮ่องเต้ยังทรงพระเยาว์แต่กลับทรงพระปรีชาสามารถ บางครั้งก็ทรงอยากพูดคุยกับคนวัยเดียวกัน ลู่เหิงแย่งชิงโอกาสนี้ไปแล้ว เจ้าเองก็ต้องเร่งมือหน่อย”
ฟู่ถิงโจวหลุบตาลงต่ำเผยท่าทีน้อมรับคำชี้แนะ อู่ติ้งโหวต่อว่าเสร็จ สีหน้าเปลี่ยนไปพลางถอนหายใจ “ข้าเข้าใจความกังวลของเจ้า เรื่องเช่นนี้มิอาจรีบร้อน เจ้ากับฮ่องเต้ไม่มีสายสัมพันธ์ในวัยเยาว์ หากรีบร้อนเกินไปผลที่ได้รับกลับตรงกันข้าม ความเหมาะสมในเรื่องนี้จะต้องกะเกณฑ์ให้ดี”
ฟู่ถิงโจวพูดอย่างถูกจังหวะ “ผู้น้อยยังเยาว์วัย ไร้ซึ่งประสบการณ์ ขออู่ติ้งโหวโปรดชี้แนะด้วย”
อู่ติ้งโหวพึงพอใจในความรู้กาลเทศะของฟู่ถิงโจวอย่างมาก เขาเผยรอยยิ้มลำพอง ลูบเคราพลางว่า “ขุนนางอย่างพวกเราประหนึ่งเป็นม้านั่งเย็นต้องมีความอดทนจึงจะประสบความสำเร็จ บางครั้งเจ้าล้มลุกคลุกคลานสิบปี ยังมิสู้ให้คนแก่ชี้แนะหนึ่งคำ สมัยที่ข้าอายุเท่าเจ้ายังวิ่งรับใช้ในค่ายทหารอยู่เลย เจ้าอายุยังน้อยก็ได้เป็นท่านโหวแล้ว เข้าสู่แวดวงขุนนางอย่างราบรื่น จุดเริ่มต้นดีกว่าข้าและปู่ของเจ้ามาก ขอเพียงจัดการให้ดี วันหน้าอนาคตจะต้องไร้ขีดจำกัดแน่นอน”
ฟู่ถิงโจวตระหนักได้ว่าอู่ติ้งโหวจะพูดอะไร เขาหลุบตาจ้องขนแผงคอม้าสีน้ำตาลแดงเขม็ง มือกำแน่นโดยไม่รู้ตัว ม้าถูกคล้องด้วยเชือกบังเหียน สะบัดหัวไปมาอย่างไม่สบายตัวและจามออกมาอย่างแรง ฟู่ถิงโจวดึงสติกลับมา นิ้วมือกำแน่น สุดท้ายค้อมศีรษะเอ่ย “ผู้น้อยจะกล้าเปรียบตนเองกับอู่ติ้งโหวได้อย่างไร ท่านปู่ล่วงลับ บิดาไม่สนใจงานทั่วไป ผู้น้อยไม่มีผู้อาวุโสที่สามารถพึ่งพาได้ ได้แต่หวังว่าอู่ติ้งโหวจะช่วยชี้แนะ”
อู่ติ้งโหวพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ยิ้มพูด “ข้าดูไม่ผิด เจ้าเป็นคนที่ใฝ่หาความก้าวหน้าอย่างแท้จริง แต่คนหนุ่มอย่างพวกเจ้าน่ะ มักคิดแต่จะสร้างผลงานอย่างเดียว ไม่มีความอดทนที่จะสร้างพื้นฐานให้แข็งแกร่ง พวกปัญญาชนมีคำกล่าวหนึ่งที่ว่าขัดเกลาตนเอง สร้างครอบครัว ปกครองบ้านเมือง ทำให้ใต้หล้าสงบสุข พวกเราไม่ยึดติดกับความคร่ำครึเหล่านี้ก็จริง แต่ความหมายโดยรวมไม่ต่างกันเท่าไร ถึงอย่างไรก็ต้องสร้างครอบครัว สร้างพื้นฐานให้มั่นคงเสียก่อน แล้วค่อยไต่ขึ้นไปยังที่สูง”
พูดถึงตรงนี้ความหมายของอู่ติ้งโหวชัดเจนมากแล้ว เขาสามารถสนับสนุนฟู่ถิงโจวได้ แต่ฟู่ถิงโจวต้องเลือกข้างให้แน่ชัดเสียก่อน กำหนดการไว้ทุกข์ของฟู่ถิงโจวผ่านมาห้าเดือนแล้ว จวบจนบัดนี้เขายังไม่ไปเจรจาสู่ขอกับสกุลหง เรื่องนี้ทำให้อู่ติ้งโหวอดคิดมากมิได้
ฟู่ถิงโจวคิดถึงรถม้าคันที่เห็นเมื่อครู่นี้แล้ว ความเจ็บหนึบระลอกหนึ่งวาบผ่านหัวใจไป เขารู้ปมในใจของนางมาโดยตลอด แต่เขาไม่มีหนทางอื่น เขามิใช่แค่ฟู่ถิงโจวเท่านั้น แต่ยังเป็นเจิ้นหย่วนโหวด้วย เขาต้องคิดเผื่อสกุลฟู่ทั้งหมด
การเป็นขุนนางไม่เหมือนกับการเล่าเรียนฝึกยุทธ์สมัยเด็กๆ มิใช่ว่าเจ้าขยันหมั่นเพียรก็จะแก้ไขปัญหาได้ สำหรับการเป็นขุนนางหากเบื้องหลังไม่มีคนสนับสนุน ต่อให้เจ้ามีความสามารถเก่งกาจเพียงใดก็ก้าวเดินไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว คนในสภาขุนนางเหล่านั้น ตอนสอบผ่านจิ้นซื่อใหม่ๆ ใครบ้างที่ไม่ได้เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นกระตือรือร้น วางตัวสูงส่งบริสุทธิ์ ทว่าหลังจากขึ้นๆ ลงๆ ในแวดวงขุนนาง ผ่านการขัดเกลามายี่สิบปี สุดท้ายยังมิใช่ยอมรับอาจารย์กันแต่โดยดีหรือ
ขุนนางฝ่ายพลเรือนพึ่งความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์อาจารย์ ขุนนางฝ่ายทหารพึ่งความสัมพันธ์ทางสายเลือด ฟู่ถิงโจวรู้สึกเสียดายเหลือเกิน หากหวังเหยียนชิงเป็นบุตรีของชนชั้นสูงสักตระกูลจะดีเพียงใด ต่อให้เป็นเพียงทายาทสายรอง ต่อให้มีเพียงแซ่ที่เหมือนกัน เขาก็ยินดีละทิ้งการสมรสเชื่อมสัมพันธ์ ต่อต้านสายสัมพันธ์ขุนนางอื่นเพื่อนาง ทว่านางมิใช่
ช่างน่าเสียดายโดยแท้
สุดท้ายฟู่ถิงโจวยิ้มจางๆ ตอบว่า “ช่วงนี้มัวยุ่งกับการตามเสด็จประพาสแดนใต้ หกพิธียังมิได้จัดเตรียมให้ดีจึงไม่กล้าบุ่มบ่ามไปเยือน เกรงว่าจะล่วงเกินคุณหนูหงเข้า รอให้จบเรื่องการตามเสด็จประพาสแดนใต้ ผู้น้อยจะไปเยือนสกุลหงด้วยตนเองแน่นอน”
ฮ่องเต้ควบขี่อาชาหนึ่งรอบ ในที่สุดก็เล่นสนุกจนหนำใจ กลับมายังราชรถภายใต้การห้อมล้อมของทุกคน ลู่เหิงตามหลังฮ่องเต้ ต่อให้ไม่เห็นเขาก็นึกภาพได้ว่าตอนนี้มีคนมากมายเพียงใดที่รู้สึกขัดหูขัดตาเขา กำลังพยายามจับผิดเขาอย่างเต็มที่ ลู่เหิงลอบถอนหายใจ ทว่าเขาย่อมหนีเรื่องเช่นนี้ไม่พ้น ทุกคนที่ก้าวสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่มีทางหลบเลี่ยงลมฝนหิมะได้ โลกนี้มีเพียงคนธรรมดาเท่านั้นที่ปลอดภัยที่สุด
ฮ่องเต้ได้รับการบำรุงและปรับสมดุลร่างกายจากนักพรตหลายปี แต่พื้นฐานร่างกายยังคงอ่อนแอมาก ออกไปขี่อาชาข้างนอกรอบหนึ่งก็เหนื่อยแล้ว โชคดีที่เดินทางถึงเมืองเว่ยฮุยแล้ว เบื้องหน้าเป็นพระตำหนักชั่วคราวที่จัดเตรียมไว้เรียบร้อย ลู่เหิงลงจากม้า คุ้มกันฮ่องเต้เดินไปยังพระตำหนัก
ลู่เหิงสีหน้าเคร่งขรึมตลอดทาง แต่ความเป็นจริงกลับใจลอยอยู่บ้าง เขาอยากไปหาหวังเหยียนชิง ตลอดทางเนื่องจากกลัวคนอื่นจะมองออกว่าเขาใส่ใจ ตอนกลางวันเขาจึงไม่เฉียดเข้าไปใกล้รถม้าของนางเลย มีเพียงตอนกลางคืนเท่านั้นที่จะได้พบหน้ากัน ลู่เหิงสังเกตเห็นว่าวันนี้ฟู่ถิงโจวจ้องรถม้าของนางอยู่ตลอด เห็นทีฟู่ถิงโจวคงรู้ตำแหน่งของนางแล้ว
ลู่เหิงด่าในใจเป็นครั้งที่เท่าไรก็สุดรู้ เจ้าคนสารเลว ฟู่ถิงโจวไม่มีเรื่องอื่นให้ทำแล้วหรือไร วันๆ ถึงได้เอาแต่จ้องหวังเหยียนชิง
ลู่เหิงรู้สภาพร่างกายของฮ่องเต้ดี เขาคิดว่าฮ่องเต้คงจะเหนื่อยแล้ว ต้องพักผ่อนโดยเร็ว เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจะได้รีบกลับ
เข้าสู่พระตำหนักแล้ว ลู่เหิงก็เริ่มอดรนทนไม่ไหว แต่ธรรมเนียมยิบย่อยของเหล่าขุนนางฝ่ายพลเรือนมีเยอะเป็นพิเศษ เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้เหนื่อยแล้ว เหล่าขุนนางก็เหนื่อยแล้ว ทว่ากรมพิธีการกลับยืนกรานจะให้ขุนนางในเมืองเว่ยฮุยและหรู่อ๋องจูโย่วเพิงปฏิบัติตามขนบธรรมเนียม เข้าเฝ้าฮ่องเต้อย่างเป็นทางการให้ได้
ลู่เหิงกับฮ่องเต้พร้อมใจกันอดทน รอจนเสร็จสิ้นพิธีการ ขุนนางในเมืองเว่ยฮุยแสดงความเคารพด้วยสามกราบเก้าคำนับแล้ว ฮ่องเต้ไต่ถามสารทุกข์สุกดิบของหรู่อ๋องจูโย่วเพิงพอเป็นพิธี วาจาเกรงใจพูดไปได้เพียงสองคำเสียงตะโกนดังลั่นก็พลันดังขึ้นข้างนอก “ฝ่าบาท ไม่เป็นธรรม! ข้าน้อยได้รับความไม่เป็นธรรม!”
หัวสมองของลู่เหิงที่ความคิดล่องลอยออกไปแจ่มชัดขึ้นในพริบตา มือเขากดลงบนด้ามดาบ ปราดเข้ามาขวางหน้าฮ่องเต้ทันที สั่งการเสียงเย็น “คุ้มกันฝ่าบาท”
ผู้คนในพระตำหนักยังไม่ทันรู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น องครักษ์เสื้อแพรก็ล้อมฮ่องเต้ไว้หลายชั้น ทุกคนถึงได้เหมือนตื่นจากฝัน บ้างตะโกนเรียกคน บ้างคุ้มกันฮ่องเต้วุ่นวายไปหมด เจ้าเมืองเว่ยฮุยเฉิงโยวไห่สีหน้าย่ำแย่
ชาวบ้านตะโกนว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมนอกพระตำหนักชั่วคราวของฮ่องเต้ นี่มิใช่แสดงให้เห็นว่าเขาปกครองไม่ดีหรือ เจ้าเมืองเฉิงขอรับผิดกับฮ่องเต้ เอ่ยหน้าแดง “กระหม่อมมีความผิด ไม่รู้ว่าชาวบ้านป่าเถื่อนพวกนี้มาจากที่ใด ทรงสร้างความตระหนกให้ฝ่าบาท กระหม่อมจะไล่พวกเขาไปเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้กลับโบกมือ เอ่ยเสียงเรียบ “นางตั้งใจวิ่งมาถึงหน้าพระตำหนักร้องว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม คงมีเรื่องใหญ่อยากจะพูดจริงๆ ลองถามนางดูก่อนเถอะว่าเหตุใดจึงร้องว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรม”
เสียงตะโกนเรียกร้องความเป็นธรรมเมื่อครู่หายไปแล้ว คนน่าจะถูกองครักษ์หรือขันทีคุมตัวไว้ เมื่อฮ่องเต้มีรับสั่ง ทุกคนไม่กล้าฝ่าฝืน ลู่เหิงถอยกลับไปด้านหลังฮ่องเต้เงียบๆ องครักษ์เสื้อแพรคนอื่นๆ ได้รับสัญญาณจากลู่เหิงจึงเปลี่ยนการตั้งแถวเพื่อมิให้บดบังสายตาของฮ่องเต้ แต่ยังคงคุ้มกันอยู่ข้างกาย ขันทีคนหนึ่งเดินลงมาจากแท่นที่ประทับ ก้าวฉับๆ ออกไปข้างนอก
ผ่านไปครู่หนึ่ง ขันทีกลับมารายงาน “ฝ่าบาท ข้างนอกมีสตรีสองคน พวกนางบอกว่าเป็นแม่สามีกับลูกสะใภ้จากหมู่บ้านเหอกู่ในอำเภอฉี เสาหลักของครอบครัวหายตัวไปไม่ทราบเบาะแส พวกนางตามหาอยู่นานแล้วไม่พบ ได้ยินว่าฝ่าบาทประทับอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราวจึงมาเรียกร้องความเป็นธรรมพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ปรายตามองเจ้าเมืองเฉิงเรียบๆ เจ้าเมืองเฉิงใบหน้าซีดเผือด เหงื่อเย็นหลั่งริน คุกเข่าลงกับพื้นทันใด โขกศีรษะคำนับพลางพูด “กระหม่อมบกพร่องต่อหน้าที่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้มิได้ว่ากระไร ถามว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน”
เจ้าเมืองเฉิงหรือจะรู้เรื่องราวของแม่สามีกับลูกสะใภ้ไร้ชื่อคู่หนึ่งที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของตน เสียงของเขาติดขัดอยู่ในลำคอ เอ่ยคำพูดอื่นใดไม่ออก ได้แต่พูดประโยคเดิมซ้ำไปมา “กระหม่อมบกพร่องต่อหน้าที่ ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เหล่าขุนนางในพระตำหนักชั่วคราวตามองจมูก จมูกมองใจ ชั่วขณะหนึ่งที่บรรยากาศเงียบกริบจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตก เสียงฝีเท้าระลอกหนึ่งดังใกล้เข้ามาท่ามกลางความเงียบ เฉินอิ๋นก้าวฉับๆ เข้ามา เห็นฮ่องเต้แล้วก็คุกเข่าคำนับทันใด “กระหม่อมมาคุ้มกันล่าช้า มีโทษสมควรตายพ่ะย่ะค่ะ”
กับเจ้าเมืองเฉิงฮ่องเต้ยังนับว่าใจเย็น แต่พอเห็นเฉินอิ๋นโทสะบนใบหน้าก็ควบคุมไว้ไม่อยู่ ฮ่องเต้ตำหนิ “เจ้าเป็นผู้บังคับบัญชาขององครักษ์เสื้อแพร รับผิดชอบดูแลความปลอดภัยของพระตำหนักชั่วคราว แต่มีคนเข้าใกล้พระตำหนักเช่นนี้แล้วยังไม่รู้เรื่องรู้ราว วันนี้ผู้มาเป็นแม่สามีกับลูกสะใภ้คู่หนึ่ง หากเป็นคนร้ายจะทำอย่างไร”
ฮ่องเต้ทางหนึ่งโมโหเฉินอิ๋นที่มิได้ดูแลพระตำหนักชั่วคราวให้ดี อีกทางหนึ่งโกรธเฉินอิ๋นที่ละเลยหน้าที่ องครักษ์เสื้อแพรเป็นเขี้ยวเล็บและแขนขาของฮ่องเต้ ทว่าตอนที่เกิดอันตรายขึ้นเฉินอิ๋นกลับไม่ได้อยู่ข้างกายพระองค์ด้วยซ้ำ
แขนขาเช่นนี้จะเก็บเอาไว้ทำอันใด
เฉินอิ๋นไร้คำพูดจะกล่าว ได้แต่ก้มศีรษะน้อมรับคำตำหนิแต่โดยดี
ฮ่องเต้ตำหนิเฉินอิ๋นด้วยความกริ้ว ขุนนางคนอื่นๆ ไม่กล้าปริปาก ล้วนแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ลู่เหิงกวาดตามองดูรอบหนึ่ง หลุบตาคิดเล็กน้อย ก่อนจะก้าวออกไป “ฝ่าบาท กระหม่อมยินดีแบ่งเบาภาระของผู้บัญชาการสูงสุดเฉิน สืบคดีไม่เป็นธรรมนี้ให้กระจ่างพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินอิ๋นได้ยินคำพูดนี้ของลู่เหิงแล้วเหลือบตาขึ้นโดยพลัน ประกายเยียบเย็นในดวงตาแทบอยากจะฉีกลู่เหิงออกเป็นชิ้นๆ ลู่เหิงไม่แม้แต่จะปกปิดอีกแล้ว เหยียบย่ำเขาเพื่อไต่ขึ้นไปอย่างชัดเจน สีหน้าของราชเลขาธิการจางจิ้งกงแปลกประหลาดเล็กน้อย รองราชเลขาธิการหลี่สือเห็นสีหน้าของจางจิ้งกงแล้วก้าวออกมาพูด “ทว่าแผนการเสด็จประพาสแดนใต้ถูกกำหนดไว้แล้ว พรุ่งนี้ควรต้องออกเดินทางไปฉือโจว ผู้บัญชาการลู่จะสืบคดีอย่างไร”
ลู่เหิงตอบด้วยน้ำเสียงสุขุม “ทราบว่าเกิดเหตุไม่เป็นธรรมแล้วไม่ใส่ใจ หากแพร่ออกไปย่อมกระทบต่อชื่อเสียงฮ่องเต้ผู้ปราดเปรื่องของฝ่าบาท กระหม่อมเพียงอยากช่วยแบ่งเบาภาระของฝ่าบาทเท่านั้น”
ฮ่องเต้ไม่เอ่ยอะไร จางจิ้งกงมองเสนาบดีกรมพิธีการเหยียนเหวยแล้วถาม “เหยียนเหวย หากหยุดพักที่เว่ยฮุยจะกระทบต่อแผนการเสด็จประพาสแดนใต้ต่อจากนี้หรือไม่”
เหยียนเหวยถูกโยนเผือกร้อนหัวหนึ่งมาให้โดยไม่ทันตั้งตัว เขาทำท่าครุ่นคิด แท้จริงแล้วกำลังคาดเดาท่าทีของฮ่องเต้ ฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงบารมี ในเมื่อมิได้บอกว่า ‘ไม่อนุญาต’ ก็หมายความว่าคงไม่ถือสาหากการเดินทางจะล่าช้าไปวันสองวัน อีกทั้งเร่งเดินทางติดต่อกันมาเก้าวัน ไม่แน่ฮ่องเต้อาจจะเหนื่อยแล้ว อยากถือโอกาสนี้พักผ่อนก็เป็นได้
เหยียนเหวยประเมินผลได้ผลเสียแล้ว สุดท้ายเอ่ยอย่างระมัดระวัง “วันที่สิบแปดฝ่าบาททรงกระชับพิธีการขั้นตอนให้เรียบง่ายขึ้นทำให้ตอนนี้เดินทางได้เร็วกว่ากำหนดเดิมที่วางไว้ หากหยุดพักชั่วคราวน่าจะไม่กระทบอะไรพ่ะย่ะค่ะ”
จางจิ้งกงสีหน้าเคร่งเครียด ถามอีกครั้ง “เช่นนั้นตามความเห็นของเจ้าอย่างมากที่สุดสามารถล่าช้าได้กี่วัน”
เหงื่อของเหยียนเหวยจะหยดลงมาอยู่รอมร่อ คำถามนี้จะให้เขาตอบอย่างไรดี ไม่ว่าตอบอย่างไรล้วนเป็นการล่วงเกินผู้อื่นทั้งสิ้น ระหว่างที่บรรยากาศชะงักงัน ลู่เหิงเป็นฝ่ายกุมหมัดเอ่ยว่า “กระหม่อมจำได้ว่าในแผนการดั้งเดิมของใต้เท้าเหยียนควรจะหยุดพักที่เว่ยฮุยในวันที่ยี่สิบแปด วันที่ยี่สิบเก้าออกเดินทางไปฉือโจว กระหม่อมสามารถสืบหาความจริงให้กระจ่างได้ก่อนวันที่ยี่สิบเก้า ไม่ทำให้การเสด็จประพาสแดนใต้ล่าช้าอย่างแน่นอน”
ขุนนางในตำหนักไม่ว่าฝ่ายพลเรือนหรือฝ่ายทหารล้วนเฝ้าดูอยู่ด้านข้างเงียบๆ ฟังถึงตรงนี้สีหน้าของพวกเขาจึงเกิดการเปลี่ยนแปลง วันนี้เป็นวันที่ยี่สิบห้า อีกทั้งยังเป็นเวลาโพล้เพล้แล้ว หากนับเต็มๆ ลู่เหิงก็มีเวลาเพียงสามวันเท่านั้น สามวันกับการสืบหาความจริงในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยท่ามกลางผู้คนที่ไม่รู้จัก ลู่เหิงกล้าอวดดีถึงเพียงนี้เชียวหรือ
เหยียนเหวยคล้ายกำลังก้มหน้า แต่อันที่จริงหางตาลอบชำเลืองมองฮ่องเต้ ฮ่องเต้มีสีหน้าสุขุมมั่นคง ผงกศีรษะนิดๆ “ดี เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ หากไม่มีอะไรแล้ว พวกเจ้าก็ออกไปเถอะ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 ส.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.