ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เคยได้ยินเรื่องพระญาติหญิงของต้าฉู่ผู้นี้มาบ้าง ทว่าสกุลหลี่แม้จะร่ำรวย คบหากับขุนนางไม่น้อย แต่คนที่เป็นพระญาติแท้จริงอย่างท่านหญิงไหวอิน ก็ได้แต่เฝ้ามองไกลๆ ด้วยความเคารพ อย่างไรเสียก็ไม่ใช่คนที่อยู่ในแวดวงเดียวกัน จะปีนขึ้นไปสูงเช่นนั้นได้อย่างไร ทว่าทุกครั้งที่มีงานฉลอง ทางสกุลหลี่จะจัดขบวนเรือเครื่องบรรณาการเชื้อพระวงศ์โดยเฉพาะและเคยขนเครื่องบรรณาการจากเมืองหลวงไปที่จวนของท่านหญิงผู้นี้ด้วย
ตอนนี้พอได้ยินว่าเป็นสองผู้นี้ที่มาเยือนคฤหาสน์สกุลหลี่ แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ที่เข้าออกจวนขุนนางเป็นประจำก็ยังทำอะไรไม่ถูกจึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วให้สาวใช้ประคองรีบรุดไปที่ประตูเรือนทันที
รอจนไปถึงหน้าประตูก็เห็นว่ามีรถม้าหรูหราคันหนึ่งจอดอยู่หน้าประตูจริงๆ ทั้งที่ผู้สูงศักดิ์ท่านนี้พยายามเตรียมขบวนรถม้าให้เรียบง่ายแล้ว ทว่าองครักษ์ที่ตามติดด้านหลังรถม้าก็ยังคงต่อแถวยาวไปจนถึงปากตรอก
มีชาวเมืองจำนวนมากยื่นหน้ามาดู แต่กลับถูกทหารที่เปิดทางด้านหน้าขอให้หลบไป ห้ามออกจากประตูมาดูความยิ่งใหญ่ของขบวนรถงดงามนี้
ท่านซือหม่าขี่ม้ามา ร่างในชุดยาวสีขาวนวลคอตั้งปักขลิบทองลายมงคล แถบรัดเอวใหญ่ทำให้ดูแผ่นหลังตรงยิ่งขึ้น ผมสีเงินทั้งหัวบรรจงถักเปียแล้วรวบไว้ในครอบผมเงินฝังไข่มุกทะเลหนานไห่ คิ้วดกดำ แววตาเย็นเยือก ในตอนนี้แม้ไม่ได้สวมชุดเกราะติดกาย แต่ก็ยังคงดูงามสง่าเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน
หลังจากที่เขาลงจากหลังม้าก็ยืนอยู่หน้าประตูคฤหาสน์ แส้หนังวัวสีดำเส้นหนึ่งในมือเคาะเสาผูกม้าเบาๆ ราวกับเป็นเทพประจำประตู แม้บ่าวที่เฝ้าประตูจะรับคำสั่งให้เชิญแขกทรงเกียรติทั้งสองท่านเข้าไปรอที่โถงด้านหน้า แต่เขายังคงยืนอยู่หน้าประตูไม่พูดไม่จา
รอจนฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ออกมา ม่านขลิบทองบนรถม้าจึงถูกนางกำนัลที่อยู่ด้านข้างพลิกเปิดขึ้น ก่อนที่หญิงสาวเกล้าผมสูง สวมชุดกระโปรงยาวลากพื้นแขนยาวสีม่วง งามสง่าเหนือผู้ใดผู้หนึ่งจะถูกนางกำนัลประคองลงมาจากรถม้าอย่างช้าๆ
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่รู้ว่าคนผู้นี้ต้องเป็นท่านหญิงไหวอินแน่นอน จึงรีบย่อตัวคารวะเป็นการทักทายแขกทรงเกียรติทั้งสองทันที
ท่านซือหม่าที่ยืนอยู่หน้าประตูในตอนนี้จึงได้หยิบเทียบเยือนที่เคลือบขอบสีทอง มอบถึงมือฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ด้วยสองมือ “มาโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า ขอฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อภัยด้วย”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จะพูดอะไรได้ แม้จะถูกขบวนคนตรงหน้าทำให้ตกใจไม่น้อย แต่จะกล้าตำหนิคนทั้งสองที่เป็นถึงพระญาติฮ่องเต้ได้อย่างไร นางถึงขั้นไม่กล้าถามจุดประสงค์ที่มา ได้แต่เชิญทั้งสองท่านเข้าไปที่โถงรับแขกสกุลหลี่ก่อน แล้วสั่งให้พ่อบ้านไปหยิบชุดชากระเบื้องเคลือบเขียวชุดใหม่มาต้อนรับแขกทรงเกียรติทั้งสองนี้
ท่านหญิงไหวอินผู้นี้มีอายุใกล้เคียงกับฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ แต่ดูแลผิวพรรณอย่างดี จึงดูแล้วสาวกว่าอายุ ตอนที่นางเดินเข้าไปในโถงชั้นหน้าของคฤหาสน์สกุลหลี่ก็แอบมองสำรวจไปรอบๆ รู้สึกว่าความชื่นชอบของครอบครัวพ่อค้านี้ไม่เลว ภาพอักษรที่แขวนไว้ในโถงรับแขกแม้จะไม่ใช่ฝีมือของปราชญ์อักษรชื่อดังในตอนนี้ แต่ดูอย่างละเอียดแล้วก็พบว่าเป็นผลงานของบัณฑิตในราชวงศ์ก่อน ซึ่งดูเข้ากับการจัดตกแต่งในห้องรับแขกนี้มาก หากไม่รู้เบื้องลึกของสกุลหลี่ คงคิดว่ามาถึงบ้านบัณฑิตคนใดเสียอีก
สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือภาพวาดภาพหนึ่งที่ปลายพู่กันแข็งแรง ทรงพลังอย่างมาก…ดูไม่ออกเลยว่ามาจากฝีมือของผู้ใด
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เห็นท่านหญิงไหวอินมองภาพเรือล่องบนเกลียวคลื่นที่แขวนในห้องรับแขกอย่างสนใจ จึงหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ย “นี่เป็นภาพวาดฝีมือยังใช้ไม่ได้ของรั่วอวี๋บุตรสาวข้าน้อยเอง ฝีมือหยาบกระด้าง ทำให้ท่านหญิงขบขันแล้ว”
ท่านหญิงไหวอินตกใจเล็กน้อย ดูจากแรงบนปลายพู่กัน ดูไม่ออกเลยว่าเป็นฝีมือของหญิงสาวอายุน้อยผู้หนึ่ง นางจึงพูดชมออกมา “คลื่นใหญ่น่ากลัว ล่องเรือยามเช้า ดูความหมายจากภาพแล้วก็รู้ว่าคนวาดเป็นหญิงพิเศษที่มีความคิดอ่านที่ดี…”
คำชมเช่นเดียวกันนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่รู้ว่าได้ยินมามากเท่าใดแล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้นางยังสามารถยิ้มรับได้ แต่ตอนนี้มาฟังคำชมบุตรสาวเช่นนี้อีกครั้งกลับมีความเป็นทุกข์ขมขื่นออกมาจากใจ
หลังจากนางเชิญท่านหญิงไหวอินนั่งลงแล้วก็ฝืนยิ้มแล้วเอ่ยถามว่า “ขอบคุณท่านหญิงที่ชม ไม่ทราบว่าท่านหญิงกับท่านซือหม่ามาที่นี่ มีธุระอันใดหรือ”
ท่านหญิงไหวอินยิ้มกล่าว “ได้ยินจิ้งเฟิงน้องชายข้าพูดว่าคุณหนูรองของสกุลท่านงามสง่าเพียบพร้อม เป็นหญิงสาวที่น่ารักมาก นึกได้ว่าก่อนตรุษจีนนางเคยส่งของบรรณาการไปให้ข้าที่จวนกลางสวนในเมืองซูเฉิง แต่ว่าตอนนั้นข้าไปท่องเที่ยวกับสามี คลาดกับนาง ไม่เคยได้พบหน้ากัน วันนี้บังเอิญมาเยี่ยมน้องชายที่เมืองเหลียวเฉิง จึงอยากจะมาที่คฤหาสน์พบหน้าแม่นางรั่วอวี๋ผู้นี้ด้วยตัวเองสักครั้ง”
ท่านหญิงไหวอินพูดจาเกรงใจ แต่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่รู้ว่าแม้ตอนนั้นท่านหญิงไหวอินจะอยู่ในจวน ก็ไม่แน่ว่าจะออกมาพบหลี่รั่วอวี๋ด้วยตนเอง สกุลหลี่ต่อให้ร่ำรวยเทียบแคว้น ในสายตาของหญิงชั้นสูงที่เป็นถึงพระญาติเหล่านี้ก็เป็นเพียงตระกูลพ่อค้าธรรมดาๆ เท่านั้น จะแตกต่างอะไรกับพ่อค้าส่งผักส่งน้ำในจวนอ๋องเหล่านั้น แล้วจู่ๆ ไม่มีธุระใดจะลดตัวลงมาพบหน้าด้วยตนเองได้อย่างไร