ฉู่จิ้งเฟิงไม่ได้เช็ดเลือดที่มุมหน้าผาก ปล่อยให้มันไหลหยดลงบนคอเสื้อสีขาวของตนเอง ปากกลับพูดเสียงเรียบว่า “เมื่อครู่รั่วอวี๋รู้สึกเบื่อ เลยมาเล่นกับข้า ข้าแค่รับไม่ทันเท่านั้น ในเมื่อใกล้จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว จะโทษนางได้อย่างไร ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อย่าได้คิดมากไปเลย…”
เห็นท่าทางที่ใบหน้าของเขามีเลือดไหลแต่ยังคงนิ่งไม่ไหวติงแล้ว ช่างทำให้คนรอบข้างรู้สึกสะพรึงกลัวจริงๆ นับประสาอะไรกับหญิงสาวที่อยู่แต่ในบ้านผู้หนึ่ง
ยามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ฟังเข้าใจความหมายในคำพูดของฉู่จิ้งเฟิงแล้ว หากเป็นครอบครัวเดียวกัน ทุกอย่างก็พูดกันง่าย แต่ถ้าไม่ใช่…
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เกิดความรู้สึกเสียใจกับการเดินทางมาเมืองซูเฉิงครั้งนี้ขึ้นมาทันใด นางเพิ่งคิดขึ้นมาได้รางๆ ว่าหากไปถึงเมืองซูเฉิง ก็ไปถึงเขตพื้นที่ของเขาฉู่ซือหม่าแล้ว ส่วนบุตรสาวผู้นี้ของนางก็ดูเหมือนว่าใกล้จะรักษาไว้ไม่ได้แล้วเช่นกัน…
ตอนที่คณะเดินทางไปถึงเมืองซูเฉิงก็เป็นเวลาค่ำ งานเลี้ยงจัดขึ้นเป็นวันที่สองแล้ว หลังจากพ่อบ้านจวนกลางสวนจัดให้บรรดาแขกเหรื่อเข้าพักในห้องแล้ว ก็แจ้งเชิญแขกทุกคนว่าอีกครู่ให้ไปที่โถงใหญ่ร่วมงานเลี้ยงยามค่ำซึ่งท่านหญิงไหวอินจะมาร่วมด้วย
เพราะการแสดงออกของหลี่รั่วอวี๋ตลอดการเดินทาง ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่คิดว่าจะให้นางทำขายหน้าอีกไม่ได้ จึงให้นางอยู่ในห้อง สั่งให้หล่งเซียงกับบ่าวหญิงอาวุโสอีกผู้หนึ่งเฝ้านางเอาไว้ อย่าให้นางออกไปข้างนอก
จวนกลางสวนนี้ทิวทัศน์งดงาม ห้องที่พวกนางอยู่ด้านนอกเป็นสวนดอกไม้เล็กๆ ท่านหญิงไหวอินเป็นคนที่ชอบรับแขก แม้สาวใช้และบ่าวหญิงอาวุโสที่แขกพามาด้วยก็มีจานผลไม้รวมที่จัดอย่างประณีตเอาไว้กินได้
ดังนั้นหลังจากหล่งเซียงจัดให้คุณหนูกินอาหารเย็นแล้ว เห็นนางนอนเล่นบนเตียงอย่างสงบ จึงเดินออกจากห้อง นั่งอยู่ตรงหน้าประตูร่วมกับบ่าวหญิงอาวุโส กินผลไม้ไปพลางพูดคุยถึงสิ่งที่ได้ยินได้เห็นหลังจากเข้าจวนนี้มา
ดังนั้นพวกนางจึงไม่สังเกตเห็นว่า มีเงาดำเงาหนึ่งแวบผ่านเข้ามาทางหน้าต่างหลังห้อง
หลี่รั่วอวี๋เล่นของเล่นในมือจนเหนื่อย ตอนเงยหน้าขึ้นก็เห็นฉู่จิ้งเฟิงนั่งอยู่ข้างกายตนเอง เลือดที่มุมหน้าผากของเขาหยุดแล้ว แต่ตำแหน่งใกล้โคนผมมีรอยแผลน่ากลัวรอยหนึ่ง
เขายื่นมือไปดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด ใช้ปลายจมูกแตะปลายจมูกนางแล้วพูดเสียงเบาว่า “เหตุใดวันนี้ขว้างของใส่ข้า”
แท้จริงแล้วยามเห็นเขามีเลือดออก นางก็นึกเสียใจแล้ว โดยเฉพาะตอนนี้นั่งอยู่ในอ้อมอกของเขา ได้กลิ่นหอมของยาสมุนไพรบนตัวเขา นางก็รู้สึกขึ้นมาทันใดว่า เขาไม่ได้น่ากลัวเหมือนอย่างในฝัน
หลี่รั่วอวี๋ในอ้อมกอดของเขาไม่พูดอะไรเช่นกัน แต่นิ้วมือกลับขยับดุกดิก ขยับขึ้นบนหน้าผากของเขาอย่างแผ่วเบา บริเวณที่ถูกหมอนกระแทกโดนบวมขึ้นเล็กน้อย ลูบดูแล้วมีความร้อน นางเลยลองจิ้มที่บาดแผลนั่น…
หากมีคนบอกว่าหลี่รั่วอวี๋มีเพียงรูปโฉมที่งดงาม นั่นเป็นเพราะยังไม่ได้ดูสองมือของนางอย่างละเอียด สิบนิ้วที่ราวกับต้นหอม เล็บมือเป็นมันวาว งดงามราวกับหยกที่ผ่านการสลักอย่างดีจากช่างฝีมือ…
และในตอนนี้ นิ้วมือนี้จิ้มๆ แตะๆ ไปบนใบหน้าของฉู่จิ้งเฟิง จากนั้นก็เลื่อนลงต่ำมาถึงจุดตันเถียน* ที่ใต้สะดือ ทันใดนั้นนิ้วมือก็ออกแรงแทงตรงเข้าไป…
ความเจ็บในฝันใช่ว่าจะอธิบายได้ด้วยคำพูด ให้เขาได้สัมผัสสักนิดว่าหากความเจ็บที่หน้าผากย้ายมาตรงหน้าท้องที่อ่อนนุ่ม มันจะเจ็บจนถึงขั้วหัวใจอย่างไร
ไม่ผิดไปจากที่นางคาดไว้จริงๆ แทงไปตรงนี้ก็เห็นผลทันตา! ดวงตาที่น่าดูคู่นั้นถูกแทงราวกับเป็นการแก้แค้นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วทันที เขาสบถเสียงเข้ม เสียงนั้นเป็นความประหลาดที่พูดไม่ออก เป็นเสียงครางที่แฝงความเจ็บปวดแต่ก็เหมือนการอุทาน เสียงสั้นและหนักลอดออกมาจากริมฝีปากบาง กลายเป็นไอร้อนพ่นใส่ลำคอของนาง…
หลี่รั่วอวี๋ถูกการกระทำที่เตรียมการมาอย่างดีของตนเองนี้ทำให้ตกใจ
หลายวันก่อนน้องชายขโมยหนังสือภาพเก่าๆ เล่มหนึ่งมาจากสหายร่วมเรียน ทุกครั้งที่ถูกท่านแม่บิดหูพาเข้าห้องหนังสือไปอ่านตำราเรียนของอาจารย์ น้องชายมักจะอ่านอย่างเคร่งเครียด หลังจากท่านแม่ออกไปแล้ว ก็จะหยิบหนังสือเก่าขนาดเท่าฝ่ามือนั้นออกมาจากกางเกง อ่านอย่างออกรสชาติ