ใช่แล้ว นางหลบเลี่ยงเขามาตลอด
หลี่รั่วอวี๋ที่มีสติดี ไม่เคยมองเขาเต็มตาสักครั้ง
ฉู่จิ้งเฟิงเป็นคนเย่อหยิ่งมาแต่ไหนแต่ไร มีชาติกำเนิดในตระกูลใหญ่ ตั้งแต่เด็กจนโตมีหญิงสาวมาถวายตัวในอ้อมกอดน้อยเสียเมื่อใด
แต่เขากลับหมายตาบุตรสาวพ่อค้าผู้ต่ำต้อยผู้นี้ ถึงขั้นต้องผ่านการต่อสู้ สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่ถือสากับการปรากฏตัวของนางต่อหน้าทุกคนอีก แต่หลังจากที่วางศักดิ์ศรีลงแล้ว เขากลับพ่ายแพ้ให้กับหญิงสาวเจียงหนานผู้อ่อนแอผู้นี้อย่างราบคาบ…
นึกถึงเรื่องในอดีตแล้ว ฉู่จิ้งเฟิงก็ยากจะสงบใจได้ รู้สึกไม่อยากกลับห้องไปพบหญิงผู้นั้นเลย
รอจนกลองบอกเวลาถูกตีขึ้นอีกครั้ง ประมาณในใจว่านางคงจะนอนหลับแล้ว เขาจึงเดินไปที่ห้อง
นอกห้องยังมีฝนตกอยู่ แต่เพราะฝนตกไม่หนักจึงไม่ต้องกางร่ม ทว่าพอฉู่จิ้งเฟิงเดินไปถึงห้องหอกลับพบว่าหลี่รั่วอวี๋ไม่ได้อยู่ในห้อง บนเตียงมีเพียงผ้าห่มกระจัดกระจายอยู่ เขาตกใจ เบิกตาโต แล้วเรียกหล่งเซียงกับบ่าวหญิงอาวุโสที่อยู่นอกห้องเข้ามา พวกนางเองก็ตกใจเช่นกัน
หล่งเซียงมองดูหน้าต่างที่เปิดออกแล้วพูดเสียงเบาว่า “เรียนซือหม่า ไม่แน่ว่า…คุณหนูอาจจะนึกสนุก ปีนหน้าต่างออกไปแล้ว…”
ฉู่จิ้งเฟิงรีบเดินไปด้านหลังห้อง จริงดังว่า! เห็นเพียงร่างโดดเดี่ยวนั่งอยู่ตรงมุมภูเขาจำลองในสวนดอกไม้
นางสวมเสื้อบางเพียงตัวเดียว คงเพื่อหลบฝน จึงเด็ดใบกล้วยใบใหญ่มาบังบนหัว ร่างเล็กขดเป็นก้อน จากนั้นเงยหน้าขึ้น เหม่อมองท้องฟ้า
“รั่วอวี๋! เจ้าทำอะไรอยู่”
หลี่รั่วอวี๋ถูกเสียงตะคอกดังของชายหนุ่มทำให้ตกใจตัวสั่น จากนั้นก็ถูกดึงเข้าไปในอ้อมอกกว้างและอบอุ่น
ฉู่จิ้งเฟิงรู้สึกว่ามือเท้าของหญิงสาวเย็นเฉียบ น้ำที่รองอยู่บนใบกล้วยก็ไม่ได้เสียเปล่าแม้แต่หยดเดียว รดลงบนตัวนางจนหมด ไม่รู้ว่านั่งอยู่กลางฝนนานเท่าใดแล้ว เสื้อผ้าล้วนเปียกโชก
หญิงโง่ผู้นี้!
ชายหนุ่มสะกดความโกรธไม่อยู่ ปั้นหน้าเย็นชากระชากใบกล้วยที่นางยังชูไว้สูงออกแล้วโยนไปด้านข้าง
ฉู่จิ้งเฟิงเดิมทีเป็นคนเย็นชาอยู่แล้ว ตอนนี้ด้วยความโมโห แม้แต่เด็กที่ไม่รู้ความก็ยังถูกทำให้ตกใจร้องไห้ได้ หลี่รั่วอวี๋เองก็ร้องไห้เช่นกัน แต่แตกต่างจากการร้องไห้อย่างไม่รู้ความก่อนหน้านี้ เห็นเพียงน้ำตาไหลออกมาจากขอบตาแดงก่ำ แต่ไม่ส่งเสียงอะไรแม้แต่น้อย
ฉู่จิ้งเฟิงเดิมทีไม่ได้สังเกต รอจนอุ้มนางเข้าห้องแล้ว จึงพบว่าบนใบหน้าเปียกชื้นนั้นยังมีน้ำตานองอยู่
ความกลัดกลุ้มที่สะสมในตอนเช้า ตอนนี้กลับถูกความสงสารไล่ไปจนหมด เขาถอดเสื้อเปียกของนางออกแล้วใช้ผ้าห่มบางคลุมตัวไว้ จากนั้นสั่งให้บ่าวเตรียมน้ำขิงต้มน้ำตาลใส่ดอกกุ้ยร้อนๆ สำหรับหล่งเซียงกับบ่าวหญิงอาวุโสที่เฝ้าเวรวันนี้ ฉู่จิ้งเฟิงสั่งพ่อบ้านให้นำตัวไปลงโทษอย่างไม่เกรงใจ!
หล่งเซียงแม้จะเป็นบ่าวผู้ซื่อสัตย์ แต่มักจะทำงานเลินเล่อ ตอนนี้คุณหนูของนางไม่ใช่คนที่ฉลาดเฉลียวเหมือนก่อนอีกแล้ว ทั้งที่รู้ว่านางชอบลอบออกไปข้างนอกตอนกลางคืน แต่กลับไม่ระวัง หากถูกคนคิดร้ายหาโอกาสจะเป็นอย่างไร ต้องลงโทษให้หนัก จึงจะเป็นการสั่งสอนได้ในระยะยาว!
หลี่รั่วอวี๋เหมือนจะรู้ว่าหล่งเซียงถูกลงโทษเพราะตนเอง น้ำตาจึงไหลลงมามากยิ่งขึ้น
ท่าทางน่าสงสารทำให้ฉู่จิ้งเฟิงอยากจะเอานางมาใส่ไว้ในใจ ดังนั้นเขาจึงยื่นมืออยากจะเช็ดน้ำตาให้นาง แต่นางกลับขดตัวหลบ ขยับหนีเหมือนที่ผ่านมา…
แต่ตอนนี้นางอยู่บนเตียงของเขา จะหลบพ้นได้อย่างไร ฝ่ามือใหญ่อ้อมไปที่หลังหัวของนาง ก่อนที่นางจะถูกดึงตัวเข้ามาในอ้อมกอดของเขา
นางเอาแต่ก้มหน้า เผยต้นคอให้เขาเห็น ฉู่จิ้งเฟิงยื่นมือไปเชยปลายคางของนาง พยายามใช้เสียงพูดอ่อนโยน ยังไม่ถามนางว่าเหตุใดจึงร้องไห้ เพียงแค่ถามว่า “รั่วอวี๋เมื่อครู่นั่งอยู่ในลานบ้านดูอะไร”
หลี่รั่วอวี๋แอบอิงอยู่ในอ้อมอกของฉู่จิ้งเฟิง รู้สึกว่าร่างที่เย็นเฉียบค่อยๆ อุ่นขึ้น จึงผ่อนคลายร่างกายลงช้าๆ นางไม่ได้มองเขา เพียงหลุบตาลง ขนตาโค้งงอนยังมีหยดน้ำตาเกาะอยู่ พลางเอ่ยพูดด้วยเสียงเบาว่า “ดูดาว…”
ฉู่จิ้งเฟิงช้อนตาขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่าง ฝนตกตอนฟ้ามืด ท้องฟ้าราวกับสีหมึก จะมีดวงดาวได้อย่างไรกัน
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เห็นหลี่รั่วอวี๋ท่าทางซื่อๆ แบบนี้ ฉู่จิ้งเฟิงก็รู้สึกวางใจ แตะริมฝีปากไปบนแก้มนุ่มชื้นของนาง แล้วถามต่อไปว่า “เหตุใดต้องดูดาว”
“พวกเขาด่าว่ารั่วอวี๋เป็นคนบ้าปัญญาอ่อน รั่วอวี๋ถาม…ถามท่านแม่ว่าปัญญาอ่อนคืออะไร ท่านแม่บอกว่ารั่วอวี๋ไม่ได้ปัญญาอ่อน เพียงแค่ดวงดาวที่คอยดูแลความฉลาดขึ้นไปบนสวรรค์… รั่วอวี๋อยากรู้ว่าดวงดาวเมื่อใดจะกลับมา…”
จากคำพูดติดๆ ขัดๆ ของหลี่รั่วอวี๋ ฉู่จิ้งเฟิงฟังความหมายได้อย่างคร่าวๆ หลี่รั่วอวี๋ในอดีต ทุกคนล้วนบอกว่าเป็นเทพดาวเหวินฉวี่* ที่ดูแลความฉลาดมาประทับร่างผิดบนตัวนาง คงเป็นฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ใช้ปลอบตอนที่มีคนพูดเสียดสีหลี่รั่วอวี๋ อ้างว่าดาวนั้นสะสมบารมีครบแล้วต้องขึ้นไปบนสวรรค์…