LOVE
ทดลองอ่าน วีรปริยา บทนำ-บทที่ 1
บทนำ
ปริยากรผลักประตูกระจกก้าวเข้าสู่ห้องโถงโปร่งโล่งสีขาวเข้ายุคสมัย เธอกวาดตามองรอบพื้นที่อันร้างไร้ผู้คน นอกจากโซฟาสีโกโก้ที่ดึงดูดสายตาแล้ว ป้ายซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานฝั่งตรงข้ามก็โดดเด่นพอกัน มันเขียนเอาไว้ว่าให้ผู้มาติดต่อกดปุ่มเรียก เธอเลยก้าวตรงไปที่โต๊ะแล้วกดลงบนปุ่มซึ่งน่าจะทำหน้าที่คล้ายออด จากนั้นก็ทิ้งเอวพิงขอบโต๊ะรอ ดวงตาจับจ้องป้ายโลหะเงาวับเขียนชื่อ ‘Archwin’ ที่ตั้งอยู่ใกล้ป้ายประกาศ
บริษัทสถาปนิกเพิ่งย้ายที่ตั้งสำนักงาน อันที่จริงพวกเขาเพิ่งขนย้ายข้าวของเข้ามาและมีการจัดสำนักงานกันในวันนี้นี่เอง ช่วงเย็นหลังจัดการทุกอย่างเรียบร้อยจะมีปาร์ตี้เล็กๆ หญิงสาวได้รับเชิญให้มาร่วมด้วย แม้จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ Archwin ไปมากกว่าการที่ปภาวรินท์ผู้เป็นเพื่อนรักนั้นเป็นแฟนของหนึ่งในสองเจ้าของบริษัท*
อย่างไรก็ตามมันพอจะเข้าใจได้ อาชวินอยากขยับขยายย้ายสำนักงานมาพักหนึ่งแล้วเพราะต้องการพื้นที่เพิ่มเพื่อรองรับจำนวนพนักงานที่มากขึ้น ปภาวรินท์ย่อมต้องช่วยมองหาสำนักงานตามประสาแฟน ปริยากรเองก็ตั้งใจช่วยเพื่อนอีกต่อ โชคดีที่เธอรู้จักเจ้าของตึกนี้ ที่นี่อยู่ห่างจากสำนักงานเดิมเพียงสามสี่ร้อยเมตรเท่านั้น สถาปนิกหนุ่มชอบใจมากเพราะเมื่อไม่ต้องย้ายสำนักงานไปไกลจากที่เดิมก็เท่ากับมันไม่ส่งผลกระทบต่อการเดินทางของเหล่าพนักงาน เขาถึงกับเลี้ยงข้าวขอบคุณเธอทีเดียว และวันนี้ก็ให้ปภาวรินท์ชวนเธอมาด้วย
การเคลื่อนไหวตรงหางตาฉุดให้ดวงหน้าสวยผินไปมอง บันไดของตึกนี้โปร่ง ทันสมัย และกว้างขวางทีเดียวเมื่อคิดว่าเป็นอาคารสำนักงาน มันถูกกั้นไว้ด้วยผนังกระจกซึ่งมีตัวล็อกดิจิตอล ทำให้สามารถเห็นร่างสูงโปร่งของบุรุษผู้หนึ่งที่กำลังเดินลงบันไดมาอย่างชัดเจน
ไม่ใช่อาชวิน…แต่หน้าตาหล่อๆ แบบนี้ น่าจะเป็นวีรากรล่ะมั้ง…ได้เจอกันเสียที
มุมปากของปริยากรยกเป็นรอยยิ้มขณะขยับตัวยืนตรงรอรับผู้มาใหม่
“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวชิงส่งเสียงทักทายสดใสออกไปก่อนเมื่ออีกฝ่ายเปิดประตูออกมา
“สวัสดีครับ น้องปีย่าใช่ไหม” วีรากรค้อมศีรษะรับพร้อมส่งรอยยิ้มเล็กๆ ตอบกลับ
“ค่ะ หวังว่าคงไม่ได้มาช้าเกินไปนะคะ ต้องรอขนมนานกว่าที่คิดนิดหน่อย” เธอยกขนมถุงใหญ่ให้เขาดู
“ถ้ามีขนมก็ถือว่าไม่ช้าทุกกรณีครับ” หนึ่งในสองผู้ก่อตั้ง Archwin ยื่นมือออกมา “ขอบคุณที่อุตส่าห์เอาขนมมาฝากนะครับ ให้พี่ช่วยถือดีกว่า”
ปริยากรยื่นถุงขนมส่งให้อีกฝ่ายรับไปโดยดี จากนั้นก็ก้าวเดินตามการผายมือเชื้อเชิญของเขาเข้าสู่พื้นที่ด้านหลังผนังกระจก
“ตอนนี้อยู่ที่ชั้นสามกันครับ…ชั้นสองเป็นสำนักงาน ส่วนชั้นสามเป็นห้องประชุมแล้วก็พื้นที่เอนกประสงค์” เขาอธิบายก่อนจะทำท่านึกขึ้นได้ “จริงสิ พี่ยังไม่ได้แนะนำตัวเลย โทษทีครับ…พี่ชื่อวี เป็นเพื่อนสนิทของวิน น้องปีย่าน่าจะพอเคยได้ยินชื่อจากน้องปินบ้างแล้ว”
“ค่ะ ปินชมพี่ให้ฟังตลอดเลย” สุ้มเสียงของหญิงสาวสดใสอย่างอารมณ์ดี…ปภาวรินท์เล่าถึงวีรากรบ่อยมากและทั้งหมดล้วนเป็นไปในทางชื่นชม ทำให้เธอนึกอยากเจอเขาขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้เจอสักทีจนกระทั่งวันนี้
อันที่จริงเพื่อนบอกด้วยว่าวีรากรค่อนข้างนิ่งและเงียบขรึมกว่าอาชวิน ทว่าเท่าที่คุยกันจนถึงตอนนี้เขาก็ไม่ใช่คนมนุษยสัมพันธ์แย่แน่ๆ น่าจะอยู่ในเกณฑ์น่ารักกำลังดีด้วยซ้ำ ถือว่าไม่ผิดหวังที่นึกอยากเจอเลย
ปภาวรินท์คุ้นเคยกับพนักงานของ Archwin ดีเพราะเคยมาช่วยงานอาชวิน ดังนั้นจึงพาปริยากรไปแนะนำทำความรู้จักกับคนได้ทั่ว ปริยากรต้องพบเจอผู้คนมากมายมาตลอด ดังนั้นจึงชินกับการทำความรู้จักผู้คนใหม่ๆ พักเดียวเธอก็สามารถทำตัวกลมกลืนและสนุกสนานร่วมไปกับเหล่าพนักงานได้
วันนี้เป็นวันย้ายสำนักงาน แต่เนื่องจากเป็นวันที่บริษัทคู่ค้าทำงานปกติด้วย เหล่าพนักงานจึงยังต้องทำงานเล็กๆ น้อยๆ อยู่บ้าง ทำให้มีการเดินขึ้นเดินลงระหว่างชั้นสองกับชั้นสามอยู่บ่อยครั้ง บางคนหิ้วคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กขึ้นมาส่งอีเมลไปกินพิซซ่าไปก็มี
อย่างไรก็ตามมันมีอะไรแปลกๆ อยู่บ้างในความรู้สึกของปริยากร…เธอนั่งอยู่กับเพื่อนสนิทและณัฐรัมภา มัณฑนากรสาวเบอร์หนึ่งของบริษัทที่พอจะคุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่ ทั้งสองกำลังแลกเปลี่ยนเรื่องบริษัทประกันภัยรถยนต์กัน เธอนั่งฟังเงียบๆ พร้อมกับจิบน้ำอัดลมไปด้วย และเมื่อความรู้สึกรุนแรงอย่างหนึ่งวูบขึ้นมาอีกระลอก ดวงตาสวยคมซึ่งถูกล้อมกรอบไว้ด้วยเครื่องสำอางอย่างบรรจงก็เหลือบมองไปทางมุมห้องฝั่งหนึ่ง
วีรากรยืนอยู่ตรงนั้นคนเดียว มือหนึ่งของเขาถือครัวซองต์ที่หญิงสาวซื้อมาเป็นของขวัญแสดงความยินดีสำหรับการย้ายสำนักงานใหม่ ส่วนในอีกมือเป็นโทรศัพท์มือถือ ดูเหมือนเขาจะยืนกินไปเล่นมือถือไปอยู่ตรงนั้นโดยแทบไม่ได้ยุ่งกับใครเลย แต่บางครั้งปริยากรกลับรู้สึกว่ากำลังโดนจ้องมอง พอหันไปกลับไม่เจอใครมองมา กระทั่งเมื่อครั้งก่อนที่เหลือบไปแล้วทันได้สบตากับวีรากรแวบหนึ่ง แต่นั่นดูเหมือนจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญตอนเขากำลังจะก้มลงไปหาโทรศัพท์มือถือเท่านั้น
ทว่าสำหรับครั้งนี้ปริยากรได้สบตากับสถาปนิกหนุ่มเต็มๆ เลยทีเดียว หลังจากสบตากันอยู่พักหนึ่งเขาก็ค้อมศีรษะให้เธอเล็กน้อย ก่อนที่จะก้มกลับลงไปเล่นโทรศัพท์มือถืออีกรอบ
ยังไงนะ…สาวสวยประหลาดใจเล็กน้อย แต่อึดใจต่อมาความสนใจก็ถูกดึงกลับไปหาเพื่อนสนิท
“ทำไมเงียบเลยล่ะปีย่า”
“จะไม่เงียบได้ไงล่ะ ฉันไม่ได้กากแบบแกนี่จะได้มีประสบการณ์เคลมประกันเยอะจนแทบได้โล่พร้อมใบประกาศเกียรติคุณ” ปริยากรสวนกลับไปตามความเคยชิน ผลคือณัฐรัมภาทำตาโตแล้วหัวเราะลั่นทีเดียว
“เฮ้ย ฉันไม่ได้เคลมประกันบ่อยขนาดนั้นนะ” ปภาวรินท์ประท้วง
“อย่าบังอาจเถียง เอาแค่ตั้งแต่รู้จักพี่วินมาแกก็เคลมประกันไปสองสามรอบแล้วมั้ง”
“นั่นมันรถคันเก่า มันก็เสื่อมตามอายุ ฉันไม่ได้ขับรถไปชนจนต้องเข้าอู่เสียหน่อย”
“จ้า รถคันใหม่นี่อีกไม่นานก็จะเสื่อมตามอายุเหมือนกันแหละ” ปริยากรแกล้งยกมือขึ้นมาทำท่าดูเล็บอย่างจงใจกวนประสาทเพื่อน
“ปีย่า ฉันเกลียดแก” ปภาวรินท์ร้อง ครั้นเหลือบไปเห็นคนรักเดินมาใกล้ก็รีบคว้ามือเขาไว้แล้วฟ้องทันที “พี่วิน ปีย่าแกล้งปินอะ”
“ก็โดนแกล้งตลอดนี่ ยังไม่ชินอีกเหรอ” อาชวินเลิกคิ้วใส่ ทำเอาสาวร่างเล็กอ้าปากหวอ พอตั้งตัวติดเธอก็ทุบหน้าท้องของเขาเป็นการใหญ่ เขาเลยหัวเราะแล้วอ้าแขนกอดรัดเธอไว้ทั้งที่ยืนอยู่ มือใหญ่กดศีรษะคนรักแนบกับช่วงลำตัวของตนเอง พร้อมกันนั้นก็หันไปหาลูกน้องสาวคนสวย “รัมภา เมื่อกี้พี่ขึ้นมาจากชั้นสอง หมูกำลังตอบเมลลูกค้าคนดีของรัมภาอยู่ อยากลงไปช่วยหน่อยไหม”
“แหม ต้องไปอยู่แล้วค่ะ ลูกค้าคนดีเหมาะกับรัมภาม้ากมาก ปล่อยให้หมูรับไปคนเดียวไม่ได้หรอก” มัณฑนากรสาวหัวเราะเมื่อได้ยินโค้ดเนมที่เธอตั้งให้กับเหล่าลูกค้าปัญหาเยอะทั้งหลาย ก่อนที่จะผละจากไปอย่างรวดเร็ว
“เลิกงอนได้แล้ว ที่พี่พูดไปก็ความจริงทั้งนั้น” อาชวินก้มกลับลงไปหาแฟนสาวที่กำลังทำหน้าบูด
“จะงอน! พี่วินจะทำไม” ปภาวรินท์พ่นลมหายใจ
“ก็ต้องง้อ แต่เอาไว้กลับถึงห้องแล้วค่อยง้อละกัน” เขาหัวเราะเบาๆ อย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ พอลูบศีรษะของเธอด้วยความเอ็นดูแล้วเขาก็ผละไปหาวีรากรเสียเฉยๆ
“ชิ! หมั่นไส้ เดี๋ยวฉันจะแกล้งแกอีก” ปริยากรประกาศเมื่อเหลือตนอยู่กับเพื่อนสนิทสองคน
“หึ ไม่ต้องทำเป็นมาพูด เมื่อกี้ฉันเห็นนะว่าแกแอบมองไปทางพี่วีตั้งหลายรอบ ปิ๊งเขาล่ะสิ” เจ้าของร่างเล็กยกสองแขนขึ้นกอดอก เรื่องนี้สำคัญมากพอจะทำให้เธอยอมปล่อยเรื่องที่โดนแกล้งผ่านไป ก่อนหน้านี้ณัฐรัมภานั่งอยู่ด้วยเธอเลยอดทนเงียบไว้
“ฉันไม่ได้แอบมองเขา มันมีเหตุ…”
“หา? ยังไงนะ”
“เดี๋ยวค่อยเล่า” ปริยากรส่ายหน้าเบาๆ
“แหม…” ปภาวรินท์มีทีท่าขัดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้โต้แย้งหรือซักไซ้ต่อ เพราะสนิทกับเพื่อนมากพอจะรู้ว่าลองอีกฝ่ายพูดแบบนี้ก็คือสถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมาะจะพูด “เอาเหอะ แกห้ามลืมเล่านะ”
“อย่างกับว่าถ้าฉันลืมเล่าแล้วแกจะไม่ทวงงั้นแหละ”
“ก็จริง…แหม แกซื้อครัวซองต์มาน้อยไปนะ” คนเป็นแฟนเจ้าของบริษัทหันไปสนใจของกิน พอแง้มกล่องดูแล้วเห็นว่าเหลือครัวซองต์แค่ชิ้นเดียวก็รีบฉวยขึ้นมา
“บ่นจริง ร้านนี้ดังมากนะ นี่ก็จองข้ามวันแถมยังต้องไปรอขนมตั้งนาน อยากกินก็บอกพี่วินนู่น”
“บอกอยู่แล้ว และพี่วินก็ต้องซื้อขนมมาเลี้ยงฉันอยู่แล้วด้วย” ปภาวรินท์ลอยหน้าลอยตา
ปริยากรกลอกตาด้วยความหมั่นไส้ แต่ไม่ทันไรก็เหลือบไปเห็นว่าวีรากรเดินลงบันไดหายไปอย่างรวดเร็ว ความสงสัยที่ค้างคาใจเอ่อขึ้นมาอีกคำรบอย่างช่วยไม่ได้…เมื่อกี้เขามองเธออยู่จริงหรือเปล่านะ
ก่อนหน้านั้นเล็กน้อย…
“นึกว่าไปแล้วเสียอีก” อาชวินส่งเสียงขณะเดินเข้าไปใกล้เพื่อนสนิท อีกฝ่ายเงยหน้าจากจอโทรศัพท์มือถือขึ้นมามองก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
“กำลังจะไปนี่ล่ะ คุยกับลูกค้าติดพันอยู่”
“อ้อ แล้วเรียบร้อยดีไหม”
“อืม” วีรากรยืดตัวยืนตรงพร้อมกับหย่อนโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกง
“แล้วว่าไงบ้าง ช่วยให้ตัดสินใจง่ายขึ้นไหม” อาชวินเหลือบมองไปทางสองสาวเพื่อนซี้ที่นั่งอยู่ด้วยกัน
“พ่อต่างหากที่เป็นคนตัดสินใจ แถมตัดสินใจไปแล้วด้วย นายเองก็เหมือนกัน ฉันมีหน้าที่แค่รับมาคิดและปฏิบัติ” วีรากรบอกเสียงเรียบเรื่อย ทว่าในดวงตามีร่องรอยของความเหนื่อยหน่ายฉายอยู่
“งั้นถามใหม่ เจอกันแบบนี้แล้วช่วยให้คิดและปฏิบัติง่ายขึ้นไหมล่ะ” อาชวินเลิกคิ้วขันๆ
“จะง่ายขึ้นได้ยังไง เนื้องานก็เหมือนเดิม…เอาล่ะ ฉันจะไปแล้ว ไว้เจอกันพรุ่งนี้” วีรากรยกมือขึ้นเป็นเชิงล่ำลา จากนั้นก็เดินตรงไปยังบันได ในหัวมีภาพของปริยากรซึ่งนั่งอยู่กับปภาวรินท์ที่ด้านหลัง
เอาเถอะ เท่าที่คุยกันก็ดูโอเค แล้วยังเป็นเพื่อนสนิทของปภาวรินท์ด้วย…คงไม่แย่นักหรอก