LOVE
ทดลองอ่าน วีรปริยา บทนำ-บทที่ 1
บทที่ 1 งานใหม่ที่ไม่ค่อยเต็มใจรับ
วีรากรบังคับรถเอสยูวีวนอ้อมน้ำพุไปจอดตรงหน้ามุขคฤหาสน์คลาสสิกสีขาว ไฟเริ่มเปิดสว่างแล้วแม้ท้องฟ้าจะยังไม่ทันมืดดี และทันทีที่เขาลงจากรถ บุรุษในชุดซาฟารีสีเทาก็เดินออกมาจากอาคาร
“คุณวีรากรจาก Archwin” อีกฝ่ายพูดเหมือนยืนยันกับตัวเองมากกว่าไถ่ถาม “เชิญครับ ท่านบันลือรอพบคุณอยู่”
สถาปนิกหนุ่มเดินตามไปเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร แน่ใจว่าคนนำทางก็ไม่ได้อยากพูดคุยเช่นกัน เขาคุ้นเคยกับคนทำงานลักษณะนี้ดี เพราะพ่อของเขาเคยทำงานแบบนี้เช่นกัน จนกระทั่งตอนนี้ตั้งบริษัทเป็นของตัวเองแล้วด้วยซ้ำ
ชายหนุ่มถูกพาเดินผ่านห้องรับแขกอันกว้างขวางและโถงบันไดโอ่อ่าลึกเข้าไปด้านในตัวคฤหาสน์ หลังจากเดินไปตามโถงทางเดินที่เต็มไปด้วยของประดับตกแต่งหรูหราจากประเทศต่างๆ ครู่หนึ่ง บุรุษในชุดซาฟารีก็หยุดตรงหน้าประตูไม้บานหนึ่ง แต่แทนที่จะเคาะประตูเขากลับเปิดมันเข้าไปทันที
ภายในเป็นห้องขนาดย่อม มีชุดโซฟาตั้งตรงกลาง ผนังสี่ด้านล้วนเป็นตู้หนังสือ พอวีรากรก้าวเข้าไปแล้วประตูก็ถูกปิดตามหลังทันที ผู้นำทางทิ้งเขาไว้กับเครื่องดื่มและของว่างที่ถูกจัดเตรียมไว้บนโต๊ะกาแฟล่วงหน้า ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาเดี่ยว จัดแจงรินน้ำจากเหยือกบริการตัวเอง ดวงตาคมกวาดมองสำรวจไปรอบห้อง ประเมินว่าห้องนี้ถูกตกแต่งในลักษณะเพื่อสร้างบรรยากาศจริงจังกดดันมากกว่าเน้นความสวยงามอย่างด้านนอก แล้วสุดท้ายสายตาของเขาก็ไปหยุดจับจ้องอยู่ที่ตู้หนังสือตู้หนึ่งเขม็ง
ผ่านไปอึดใจ ตู้หนังสือนั้นก็ขยับเปิดเป็นช่อง…มันคือประตูซึ่งถูกซ่อนอยู่ตามที่เขาเดาเอาไว้จริงๆ
“สวัสดี” บันลือทัก ครั้นเห็นชายหนุ่มวางแก้วน้ำลงแล้วทำท่าจะลุกขึ้นก็โบกไม้โบกมือ “ไม่เป็นไร ตามสบายเถอะ อย่าซีเรียส”
เมื่อเป็นอย่างนั้นวีรากรจึงไม่ลุกและเพียงยกมือไหว้ทักทายอีกฝ่ายแทน…เขาเคยเห็นบันลือผ่านๆ ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน สมัยนั้นอีกฝ่ายยังอยู่ในเวทีการเมือง มาเจอกันอีกทีตอนนี้ก็พบว่าบันลือดูไม่แก่ไปจากเดิมเท่าไหร่ มีเพียงรูปร่างที่ดูท้วมขึ้นบ้าง
“อืม คุณนี่เหมือนพ่ออยู่เหมือนกันนะ” บันลือนั่งลงบนโซฟาตัวยาว จากนั้นก็หยิบแก้วแล้วรินน้ำบริการตัวเองบ้าง “ว่าแต่ได้คุยรายละเอียดกับพ่อของคุณแล้วใช่ไหม”
“ครับ” สถาปนิกหนุ่มรับคำ “ผมคิดว่าพอจะเข้าใจเนื้องานที่ท่านต้องการแล้ว แต่พูดตามตรง ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าวิธีนี้จะได้ผลตามที่ท่านต้องการ ยังไงเสียงานของสถาปนิกก็มีขอบเขตจำกัด”
“ผมรู้ แต่ผมมีทางเลือกไม่มาก ยังไงผมก็ส่งปีย่าไปทำงานต่างประเทศตลอดไม่ได้ ตอนนี้ปีย่าเริ่มสงสัยแล้วด้วย” บันลือระบายลมหายใจยาวเมื่อนึกถึงลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน “ผมฝึกลูกสาวมาดีพอสมควรนะ เธอหูตาไวเอาเรื่อง ดังนั้นให้ออกไปอยู่ต่างจังหวัดในแบบที่ทางคุณดูแลได้ สลับกับมาอยู่ในกรุงเทพฯ ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี”
“ปัญหาของทางผมคือขอบเขตงานของสถาปนิกครับ โดยทั่วไปอย่างมากที่สุดเราก็แค่ไปดูที่ดินผืนที่จะใช้ก่อสร้าง เขียนแบบ ประชุม พอเขียนแบบเสร็จและเริ่มก่อสร้าง พวกเราอาจจะแวะไปไซต์งานเป็นระยะเท่านั้น” วีรากรแจกแจง
“ปกติก็มีสถาปนิกจำพวกที่ไปประจำอยู่ในไซต์งานด้วยนี่”
“ครับ แต่ขอบข่ายงานของบริษัทผมไม่รวมถึงการไปประจำไซต์งาน”
“ผมพอรู้ แต่มันก็น่าจะปรับเปลี่ยนกันได้”
สีหน้าของชายหนุ่มนิ่งสนิท ทว่าแท้จริงแล้วนึกเหนื่อยหน่ายอยู่ในใจ…นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่เขามักปล่อยให้อาชวินเป็นคนคุยงานแทน โดยเฉพาะกับพวกคนใหญ่คนโตที่เคยชินกับการได้ทุกอย่างตามต้องการไม่ว่าจะด้วยเงินหรืออำนาจ บันลือเป็นนักธุรกิจมหาเศรษฐี หนำซ้ำก่อนหน้านี้เคยเล่นการเมืองระดับประเทศ มีตำแหน่งใหญ่โตในคณะรัฐบาล ต่อให้ตอนนี้ล้างมือถอยออกมาแล้วแต่ก็ยังเป็นที่นับหน้าถือตา นับว่ามีคุณสมบัติคนใหญ่คนโตครบถ้วน
“พ่อคุณบอกว่ามันอาจมีปัญหา เพราะคุณเองต้องทำงานที่บริษัทด้วย คงไปอยู่ที่เขาใหญ่ไม่ได้บ่อยเท่าที่ทางผมอยากให้เป็น ตรงนี้ผมเข้าใจ ที่ผมอยากคุยกับคุณก็เพราะเผื่อว่าเราจะช่วยกันหาทางอื่นในการรั้งปีย่าไว้ที่นั่นได้บ้าง และแน่นอนว่าต้องหาทางที่ไม่รบกวนคุณมากเกินไปด้วย” บันลือแบมือสองข้าง สุ้มเสียงนุ่มนวลประนีประนอมมากขึ้น
อย่างน้อยพ่อของปริยากรก็ไม่ใช่คนใหญ่คนโตที่แย่เท่าไหร่ ยังรู้จักผ่อนหนักผ่อนเบาบ้าง…วีรากรโล่งใจขึ้นเล็กน้อย เพราะอย่างไรสำหรับกรณีนี้เขาก็คงปฏิเสธงานไม่ได้อยู่แล้ว ทรงพลมาคุยกับบันลือเรียบร้อย และพ่อของเขาก็มีทีท่าอยากรับงานนี้ด้วย ยิ่งไปกว่านั้นปริยากรยังเป็นเพื่อนสนิทของปภาวรินท์อีกต่างหาก บันลือเองติดต่อบริษัทพ่อเขาผ่านเพื่อนสนิทลูกสาวด้วยซ้ำ ถ้าเขาปฏิเสธคงมองหน้ากันไม่ติดแน่ๆ
อาชวินคงต้องทำใจเตรียมรับงานหนักในช่วงหลังจากนี้หน่อยล่ะ…
ปริยากรกดรีโมตล็อกรถสปอร์ตคันกะทัดรัดของตัวเอง จากนั้นก็หมุนกายตรงไปยังหน้ามุขคฤหาสน์หลังงาม พอสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวแวบๆ แม้จะเห็นไม่ชัดว่าเป็นใครแต่เธอก็โบกไม้โบกมือทันที เพราะปกติจะมีคนงานเยี่ยมหน้ามาดูว่าเธอต้องการให้ช่วยขนของหรือเปล่า เงานั้นหายไปอย่างรวดเร็ว ส่วนเธอก็ก้าวขึ้นบันไดเข้าสู่ตัวบ้าน
“คุณอาคมสันกำลังจะกลับแล้วใช่ไหมคะ…แล้วคุณพ่อล่ะ ท่านยังไม่เข้านอนใช่ไหม” หญิงสาวถามเมื่อเจอกับคมสัน บุรุษวัยกลางคนผู้เป็นเลขานุการคนสนิทของบันลือมายาวนานเกือบยี่สิบปี
“ท่านบันลือยังอยู่ในห้องทำงานครับคุณหนูปีย่า”
“ขอบคุณค่ะ เอาไว้เจอกันนะคะคุณอา” ปริยากรยกมือไหว้ เคารพอีกฝ่ายไม่ต่างกับญาติคนหนึ่ง
หญิงสาวเดินต่อลึกเข้าไปด้านในตัวบ้าน จากนั้นก็เปิดประตูเข้าสู่ห้องหนังสือด้วยความคุ้นเคย ตอนแรกเธอนึกว่าบันลือจะอยู่ในห้องทำงานที่เชื่อมกัน แต่ปรากฏว่าได้พบท่านนั่งอยู่บนโซฟา
“อ้าว กลับมาเร็วกว่าที่พ่อคิดนะเนี่ย แล้ววันนี้สนุกไหม” ผู้เป็นพ่อหันมาทักลูกสาวคนสวยทั้งรอยยิ้ม
“ก็สนุกตามปกติที่ได้เจอยายปินแหละค่ะ แต่พรุ่งนี้ยังเป็นวันทำงานไง พอกินข้าวเย็นเสร็จก็แยกย้ายกันกลับเลย…อืม แต่วันนี้คุณพ่อมีคุณอาคมสันกินข้าวเป็นเพื่อน ไม่เหงาเนาะ” ปริยากรทรุดตัวลงนั่งข้างพ่อและเอนกายไปกอดท่านไว้อย่างรักใคร่
“ต่อให้ไม่มีคมสัน พ่อก็กินข้าวคนเดียวได้น่า”
“แต่มีคนกินข้าวด้วยมันต้องดีกว่าไงคะ”
“ถ้าเป็นคนที่อยากกินข้าวด้วยมันก็ดีนั่นแหละ แต่ถ้าไม่ใช่ก็กินคนเดียวดีกว่า”
บันลือพูดเสียงเรียบเรื่อย ดวงหน้าสวยแหงนมองพ่อนิดหนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับเป็นเชิงเห็นพ้อง
“แต่ต่อไปปีย่าอาจจะต้องกินข้าวคนเดียวบ่อยเหมือนกันนะ”
“ทำไมคะ” ปริยากรถามสวนไปเกือบทันทีด้วยความหวาดระแวง
ช่วงที่ผ่านมาจู่ๆ พ่อก็สนใจจะไปลงทุนที่ต่างประเทศ จึงส่งเธอเดินทางไปนู่นไปนี่บ่อยมาก ตอนแรกเธอไม่ได้คิดอะไร เห็นว่าเป็นเรื่องปกติที่ท่านคิดจะขยับขยายการลงทุนไปยังจุดที่มีโอกาสอันดี และถ้าไม่ไปเอง การส่งเธอไปติดต่อเจรจาแทนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ทว่าพอผ่านไปสักพักเธอชักเริ่มรู้สึกว่ามันแปลกๆ เพราะการลงทุนที่พ่อสนใจนั้นดูกระจัดกระจาย หนำซ้ำสัญชาตญาณยังกระซิบบอกว่ามีบางอย่างไม่ปกติที่เมืองไทย ปริยากรค่อนข้างเชื่อสัญชาตญาณตัวเอง ทว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าความไม่ปกตินั้นคืออะไร
“ลูกจำที่ดินตรงเขาใหญ่ผืนที่มีคนเอามาใช้หนี้พ่อได้ไหม”
“ที่ดินเขาใหญ่…ตั้งแต่สมัยปีย่ายังเด็กๆ ใช่ไหมคะ” ปริยากรถามหลังจากใช้เวลาทบทวนความทรงจำครู่หนึ่ง จำได้ว่าลูกหนี้คนนั้นคือเพื่อนเก่าของพ่อ ภายหลังทำธุรกิจผิดพลาด อีกฝ่ายเลยขอเอาที่ดินมาจ่ายคืนแทนหนี้ที่ติดค้างอยู่ บันลือเห็นว่าอีกฝ่ายมีความจริงใจไม่หนีหนี้เลยรับไว้แล้วล้างหนี้ให้ แม้ในเวลานั้นมูลค่าที่ดินจะไม่เท่ากับมูลหนี้ก็ตาม แต่ปัจจุบันราคาที่ดินผืนนั้นก็เพิ่มสูงขึ้นมากแล้วด้วยความที่เขาใหญ่กลายเป็นจุดหมายปลายทางในการพักตากอากาศของผู้คนในยุคนี้