LOVE
ทดลองอ่าน วีรปริยา บทนำ-บทที่ 1
“นั่นแหละ ช่วงหลังนี้มีคนมาติดต่อขอซื้อบ่อยๆ พวกบริษัทที่ทำอสังหาฯ น่ะ พ่อเลยมานั่งคิดว่าหรือเราจะลงทุนทำเองดี แต่โรงแรมมันต้องมีคนดูแลยุ่งยาก ทำบ้านหรือคอนโดฯ ขายน่าสนใจกว่า ทีเดียวจบ”
“สรุปคือคุณพ่อสนใจจะทำหมู่บ้านขายที่เขาใหญ่” ปริยากรประหลาดใจ เมื่อนานมาแล้วพ่อเคยทำธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์อยู่บ้าง แต่พอท่านกระโดดเข้าสู่เวทีการเมืองก็เลิกไป และพอเลิกเล่นการเมืองแล้วก็ไม่ได้หวนกลับไปทำธุรกิจอสังหาฯ อีก
“อันที่จริงพ่อเริ่มคุยกับบริษัทสถาปนิกแล้ว แฟนของปินไง”
“คุณพ่อคุยกับพวกพี่วินแล้วด้วย?” หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ด้วยความงุนงง โดยธรรมชาติบันลือเป็นคนตัดสินใจฉับไวเด็ดขาด แต่ช่วงหลังท่านไม่ได้ขยับว่องไวขนาดนี้มานานแล้ว เธอจึงอดแปลกใจไม่ได้
“พ่อตั้งใจว่าจะให้ปีย่าดูโครงการนี้นะ”
“คะ?” คนเป็นลูกสาวยิ่งมึนหนักเข้าไปใหญ่
“พ่อรู้ว่าปีย่าไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน แต่ก็เพราะแบบนี้พ่อถึงอยากให้ลอง ตอนนี้พ่อยังอยู่ มีประสบการณ์และช่วยลูกได้ พอถึงวันที่พ่อไม่อยู่แล้วปีย่าจะได้มีประสบการณ์การทำงานหลากหลาย”
“ต่อให้คุณพ่อแค่อยากทำสนุกๆ ปีย่าก็ต้องช่วยอยู่แล้วล่ะค่ะ” หญิงสาวบอก ทว่าก็ยังอดสงสัยไม่ได้ “ว่าแต่คุณพ่อเปลี่ยนใจไม่ไปลงทุนต่างประเทศแล้วเหรอ โครงการที่เขาใหญ่น่าจะต้องใช้ทรัพยากรไม่ใช่เล่นนะ”
“ชะลอไว้ก่อนน่ะ ช่วงนี้การเมืองระหว่างประเทศผันผวน ตลาดเงินตลาดทุนก็คาดเดาไม่ได้…หรือว่าพ่อจะแก่ไปจนตามโลกยุคนี้ไม่ค่อยทันแล้วก็ไม่รู้นะ” บันลือรำพึง
“คุณพ่อยังรู้อะไรเยอะกว่าปีย่าอีก” เธอส่ายหน้าไปมายิ้มๆ “แต่คุณพ่อปักธงเลือกบริษัทแฟนปินเลยเหรอ ปกติปีย่าเห็นเขาประกวดแบบหรือไม่ก็ดูหลายๆ บริษัทหน่อย”
“สมัยก่อนตอนพ่อยังทำอสังหาฯ พ่อมีบริษัทขาประจำนะ เพราะมันคุยง่าย รู้งานกันดีอยู่แล้ว เราต้องเน้นเร็ว คุมราคาได้ และถ้าเป็นบริษัทเดิมทำก็จะรู้อัตลักษณ์ของเราดีอยู่แล้วด้วย” ผู้เป็นพ่ออธิบาย “แต่คราวนี้พ่อตัดสินใจจะลองใช้ Archwin ดู เพราะไหนๆ เราก็ห่างจากบริษัทเก่าไปนานแล้ว แถมเจ้าของบริษัทนี้ยังเป็นแฟนปินด้วย งานเขาดีใช้ได้ ทำงานใหญ่มาพอสมควร และเท่าที่พ่อฟังลูกกับปินเล่าถึงเขามา พ่อก็คาดหวังว่าเขาจะช่วยแนะนำอะไรหลายๆ อย่างให้ปีย่าได้นะ”
ปริยากรพยักหน้าหงึกๆ อย่างเข้าใจว่าพ่อคงอยากให้เธอมีพี่เลี้ยงแบบที่น่าจะพอไว้ใจได้สำหรับงานนี้…อาชวินเองก็ใช่ว่าไม่ร้ายหรอก ทำธุรกิจฝ่าฟันเสือสิงห์กระทิงแรดมาถึงป่านนี้แล้ว แต่เธอก็เชื่อว่าเขาฉลาดพอจะเลือกกลยุทธ์ให้ถูกกับคน
“เอาล่ะ ลูกเพิ่งกลับมา ไปพักเถอะ แล้วพรุ่งนี้ก็ลองดูคิวงานหน่อยว่าว่างไปคุยกับทาง Archwin วันไหนยังไง พ่อเกริ่นบอกทางนั้นไว้แล้วล่ะว่าคงจะเริ่มเร็วๆ นี้เลย ไม่ได้ทำอสังหาฯ มานาน พอคิดจะทำแล้วก็อยากเห็นมันเป็นรูปเป็นร่างไวๆ” บันลือตบไหล่ลูกสาวคนสวย
“แหม ถ้าคุณพ่อบอกเร็วกว่านี้หน่อย ปีย่าคงจะคุยกับเขาตั้งแต่เมื่อเย็นเลย ไหนๆ ก็บุกไปบริษัทเขามาแล้วด้วย” หญิงสาวหัวเราะ จากนั้นก็ยื่นหน้าไปจูบแก้มสากของพ่อ “งั้นปีย่าขึ้นห้องก่อนนะคะ ส่วนเรื่องงานไม่ต้องห่วง คุณพ่ออยากทำอะไรปีย่าช่วยหมดอยู่แล้ว คุณพ่ออย่านอนดึกนะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้”
บุรุษสูงวัยมองลูกสาวออกจากห้องไป ครั้นประตูห้องปิดลงแล้วท่านก็ระบายลมหายใจยาวออกมา ใบหน้าแหงนขึ้นเล็กน้อยจับจ้องแสงไฟจากโคมระย้าคลาสสิกที่แขวนอยู่ตรงกลางเพดาน ทว่าในหัวนึกถึงภาพของบุรุษผู้ซึ่งจากไปก่อนที่ปริยากรจะกลับมาไม่นาน
ดูจากแววตามั่นคงนั่นแล้ววีรากรน่าจะ ‘ใช้ได้’…ปกติแล้วบันลือไม่กลัวที่จะต้องตัดสินใจ และท่านก็พร้อมยอมรับความผิดพลาดที่อาจตามมาเสมอ แต่สำหรับครั้งนี้ท่านหวังอย่างยิ่งว่าจะตัดสินใจไม่ผิด
ขณะเดียวกันที่อีกด้านของเมือง วีรากรเพิ่งฝ่าการจราจรยามค่ำคืนกลับถึงบ้าน มันยังไม่ดึกมากนัก ไฟในบ้านยังเปิดสว่างไสว และพ่อของเขาก็กำลังนั่งดูข่าวอยู่ในห้องรับแขกตามที่คาดไว้
“ไง กินอะไรมาหรือยัง” ทรงพลร้องถามทันทีที่เห็นลูกชายเดินเข้าสู่ตัวบ้าน
“ฮื่อ แวะกินกลางทาง” ชายหนุ่มตอบขณะเก็บรองเท้าหนังเข้าสู่ตู้…อันที่จริงวันนี้มีการนัดแนะกันไว้ว่าจะให้ปภาวรินท์ชวนเพื่อนกินมื้อเย็นด้วย แต่มันก็ยังยากจะคาดการณ์อยู่ดีว่าปริยากรจะกลับถึงบ้านเมื่อไหร่ ดังนั้นเขาเลยรีบคุยธุระและกลับออกจากบ้านปิยะไพศาลแม้เจ้าของบ้านจะชวนกินมื้อเย็นด้วยก็ตาม
“ไปคุยกับคุณบันลือมาเป็นไงบ้างล่ะ”
“ก็คุยรายละเอียดกัน ยังไงผมก็ต้องรับงานนี้อยู่แล้วนี่” วีรากรตอบเสียงเรียบเรื่อย
“แล้วรายละเอียดที่ว่าน่ะมันมีอะไรบ้างล่ะ”
“ผมคงต้องไปๆ มาๆ เขาใหญ่บ่อยหน่อย กับไอ้วินคงต้องหัวปั่นด้วย” เขาถอนหายใจเบาๆ “เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยคุยกันดีกว่า ผมขอไปอ่านรายละเอียดให้ครบและคิดก่อนว่าจะต้องทำอะไรยังไงบ้าง”
พอพูดจบสถาปนิกหนุ่มก็เดินดุ่มๆ ขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของบ้าน ซึ่งทรงพลก็ไม่ได้รั้งไว้แม้ว่าเขาจะแทบไม่รู้อะไรมากไปกว่าเดิมสักเท่าไหร่เลย นอกจากการที่วีรากรตกลงใจจะทำงานนี้ถึงจะดูไม่เต็มใจนัก
ครั้นเดินเข้าห้องนอนแล้วชายหนุ่มก็โยนกระเป๋าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กลงตรงปลายเตียงนอนตามความเคยชิน ดวงตาคมจับจ้องไปยังกระดานบอร์ดไม้ก๊อกขนาดย่อม เขาใช้มันเป็นที่แปะข้อมูลหรือกระทั่งไอเดียเกี่ยวกับงานในความรับผิดชอบทั้งหมด แม้จะยืนอยู่ไกลแต่เขาก็แทบจะเห็นตัวอักษรทุกตัวบนกระดาน ด้วยความที่อ่านเนื้อหาบนนั้นแทบทุกวัน
ช่วงหลังมานี้ Archwin งานค่อนข้างแน่น จนต้องรับพนักงานใหม่เพิ่มเรื่อยๆ และขยับขยายสำนักงานในที่สุด โดยทั่วไปอาชวินจะเป็นคนหาลูกค้า ส่วนเขาอยู่โยงดูแลงานในสำนักงานเป็นหลัก แต่ถ้าเขาต้องไปทำงานให้บันลือ อย่างไรก็ต้องไม่มีเวลาทำงานในสำนักงานเท่าเดิมแน่นอน
วีรากรระบายลมหายใจขณะแกะกระดุมเสื้อเชิ้ต ในหัวครุ่นคิดถึงบทสนทนาเมื่อเย็น…อันที่จริงหลักใหญ่ใจความของมันเรียบง่ายมาก บันลือได้รับข่าวที่เชื่อถือได้ว่ามีคนคิดปองร้ายลูกสาว แต่ไม่มีข้อมูลว่าเป็นใครและจะลงมือเมื่อไหร่ ช่วงแรกเขาเลยป้องกันด้วยการส่งปริยากรไปต่างประเทศ ระหว่างนั้นก็พยายามสืบหาข้อมูล ทว่าสุดท้ายก็ไม่พบอะไรเพิ่มเติม กระทั่งบันลือรู้สึกว่าหญิงสาวเริ่มสงสัยมากขึ้นจึงเปลี่ยนแนวทางคิดจะให้ลูกกลับมาอยู่ในไทย แต่ต้องเป็นแบบที่สามารถควบคุมดูแลความปลอดภัยได้ง่าย ตรงนี้เองที่ปภาวรินท์กลายเป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างบันลือกับทรงพล
ตอนแรกที่คุยกับปภาวรินท์ เขาคิดว่าตนเองเป็นแค่ตัวกลาง ไม่นึกว่าสุดท้ายจะโดนดึงมายุ่งด้วย บันลือต้องการใช้คนนอกในการดูแลสืบเสาะเกี่ยวกับแผนการปองร้ายลูกสาว เพราะมีเหตุให้สงสัยว่าอาจมีคนใกล้ตัวเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ด้วย แรกสุดอีกฝ่ายจ้างแค่ทรงพล ทว่าหลังได้รับการยืนยันซ้ำในประเด็นคนใกล้ตัว แม้ข่าวคราวจะเงียบหายจนน่าเชื่อว่าคนในเงามืดอาจล้มเลิกความตั้งใจไปแล้ว แต่บันลือยังไม่อาจปล่อยวางเรื่องนี้ได้ ท่านต้องการควานหาคนคนนั้นให้เจอ ซึ่งก็พอเข้าใจได้ วีรากรจึงถูกชักนำให้เข้ามาพัวพันกับงานนี้ด้วยในที่สุด
หลังจากใช้เวลาไตร่ตรองหาทางอีกพักใหญ่ บันลือก็ผุดโครงการสร้างหมู่บ้านขึ้นมา ด้วยความที่ลูกชายของทรงพลอย่างเขาเป็นสถาปนิก มันจึงสามารถเป็นช่องทางในการให้คนของทรงพลเข้ามาดูแลปริยากรอย่างใกล้ชิดได้แบบไม่น่าสงสัย จริงอยู่มันอาจไม่ง่ายนักแต่ก็ถือว่ามีโอกาสดีกว่าทางอื่น
ปัญหาใหญ่คือถ้าจะดูแลปริยากร วีรากรต้องกระโจนลงไปทำงานนี้เอง ลำพังเนื้องานนั้นไม่เท่าไหร่ แต่มันจะกระทบกับงานของ Archwin ไม่น้อยแน่
อาชวินเพิ่งรู้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่นาน บันลืออนุญาตให้ทรงพลเล่าให้ฟังเนื่องจากเห็นว่ามันกระทบกับบริษัทสถาปนิก เพื่อนเขาคงทำใจไว้แต่แรกแล้ว เพราะอย่างไรคนที่เดือดร้อนอยู่ก็คือเพื่อนสนิทของปภาวรินท์ ไม่มีทางเลยที่อาชวินจะเมินเฉยไม่ช่วยได้ถ้าหากยังอยากรักกับแฟนอย่างมีความสุข อีกอย่างบันลือเองก็เคยช่วยเหลือ Archwin เอาไว้ และถ้าทุกอย่างผ่านไปด้วยดี อีกฝ่ายก็จะถือเป็นคอนเน็กชั่นชั้นดีต่อไปด้วย
‘ศัตรูผมเยอะ’ บันลือยอมรับความจริง ‘ผมมีศัตรูในทางธุรกิจอยู่บ้าง ถึงตอนเล่นการเมืองผมจะระวังยังไงมันก็เลี่ยงไม่ได้หรอกที่จะอาจไปขัดผลประโยชน์ใครเข้า แต่ทั้งหมดนี้มันก็นานแล้ว และผมก็นึกไม่ออกว่าใครที่จะอยากเล่นงานปีย่าแทนเล่นงานผมโดยตรง แต่ใครจะรู้จริงไหม’
วีรากรฉวยผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ พร้อมกันนั้นก็ใคร่ครวญเรื่องการจัดการงานในความรับผิดชอบไปด้วย ความคิดของเขาไหลไปเรื่อย กระทั่งตอนที่ปล่อยให้น้ำเย็นรินรดลงบนศีรษะ ภาพปริยากรกับรอยยิ้มสว่างไสวของเธอก็ผุดขึ้นในหัว
‘ผมฝึกปีย่ามาบ้าง เผื่อเกิดเหตุคับขันปีย่าก็พอเอาตัวรอดได้ หูตาเธอไวพอตัว นั่นเป็นเหตุผลที่ผมอยากใช้คนนอกและต้องพยายามสรรหาเรื่องมากลบเกลื่อน…พูดถึงปีย่ามากไปก็จะกลายเป็นพ่อโฆษณาลูก แต่มีอย่างหนึ่งที่ผมกล้ารับรองคือปีย่าไม่ใช่คุณหนูหยิบโหย่ง หวังว่าข้อนี้จะทำให้คุณสบายใจขึ้นบ้าง’
ชายหนุ่มยกมือขึ้นเสยผมที่เปียกชื้น…เขาคงสบายใจกว่านี้ถ้าหากไม่ได้รู้ว่าบันลือถึงขั้นจัดแจงเคลียร์พื้นที่ที่ดินเขาใหญ่เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ซ้ำยังบอกว่าให้ทำอย่างไรก็ได้เพื่อเริ่มการก่อสร้างให้เร็วที่สุด จะเอาแบบบ้านเก่าๆ ที่เคยทำมารียูสก็ได้ หลังจากนั้นค่อยขยับขยายทีหลัง
สุดท้ายบันลือก็ยังคงเป็น ‘คนใหญ่คนโต’ นั่นแหละ…เขาได้แต่หวังว่าปริยากรจะไม่ได้รับสืบทอดนิสัยนี้มามากนัก
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 9 มี.ค. 65 เวลา 12.00 น.