X
    Categories: LOVEทดลองอ่านวีรปริยา

ทดลองอ่าน วีรปริยา บทนำ-บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทนำ

 ปริยากรผลักประตูกระจกก้าวเข้าสู่ห้องโถงโปร่งโล่งสีขาวเข้ายุคสมัย เธอกวาดตามองรอบพื้นที่อันร้างไร้ผู้คน นอกจากโซฟาสีโกโก้ที่ดึงดูดสายตาแล้ว ป้ายซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานฝั่งตรงข้ามก็โดดเด่นพอกัน มันเขียนเอาไว้ว่าให้ผู้มาติดต่อกดปุ่มเรียก เธอเลยก้าวตรงไปที่โต๊ะแล้วกดลงบนปุ่มซึ่งน่าจะทำหน้าที่คล้ายออด จากนั้นก็ทิ้งเอวพิงขอบโต๊ะรอ ดวงตาจับจ้องป้ายโลหะเงาวับเขียนชื่อ ‘Archwin’ ที่ตั้งอยู่ใกล้ป้ายประกาศ

บริษัทสถาปนิกเพิ่งย้ายที่ตั้งสำนักงาน อันที่จริงพวกเขาเพิ่งขนย้ายข้าวของเข้ามาและมีการจัดสำนักงานกันในวันนี้นี่เอง ช่วงเย็นหลังจัดการทุกอย่างเรียบร้อยจะมีปาร์ตี้เล็กๆ หญิงสาวได้รับเชิญให้มาร่วมด้วย แม้จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ Archwin ไปมากกว่าการที่ปภาวรินท์ผู้เป็นเพื่อนรักนั้นเป็นแฟนของหนึ่งในสองเจ้าของบริษัท*

อย่างไรก็ตามมันพอจะเข้าใจได้ อาชวินอยากขยับขยายย้ายสำนักงานมาพักหนึ่งแล้วเพราะต้องการพื้นที่เพิ่มเพื่อรองรับจำนวนพนักงานที่มากขึ้น ปภาวรินท์ย่อมต้องช่วยมองหาสำนักงานตามประสาแฟน ปริยากรเองก็ตั้งใจช่วยเพื่อนอีกต่อ โชคดีที่เธอรู้จักเจ้าของตึกนี้ ที่นี่อยู่ห่างจากสำนักงานเดิมเพียงสามสี่ร้อยเมตรเท่านั้น สถาปนิกหนุ่มชอบใจมากเพราะเมื่อไม่ต้องย้ายสำนักงานไปไกลจากที่เดิมก็เท่ากับมันไม่ส่งผลกระทบต่อการเดินทางของเหล่าพนักงาน เขาถึงกับเลี้ยงข้าวขอบคุณเธอทีเดียว และวันนี้ก็ให้ปภาวรินท์ชวนเธอมาด้วย

การเคลื่อนไหวตรงหางตาฉุดให้ดวงหน้าสวยผินไปมอง บันไดของตึกนี้โปร่ง ทันสมัย และกว้างขวางทีเดียวเมื่อคิดว่าเป็นอาคารสำนักงาน มันถูกกั้นไว้ด้วยผนังกระจกซึ่งมีตัวล็อกดิจิตอล ทำให้สามารถเห็นร่างสูงโปร่งของบุรุษผู้หนึ่งที่กำลังเดินลงบันไดมาอย่างชัดเจน

ไม่ใช่อาชวิน…แต่หน้าตาหล่อๆ แบบนี้ น่าจะเป็นวีรากรล่ะมั้ง…ได้เจอกันเสียที

มุมปากของปริยากรยกเป็นรอยยิ้มขณะขยับตัวยืนตรงรอรับผู้มาใหม่

“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวชิงส่งเสียงทักทายสดใสออกไปก่อนเมื่ออีกฝ่ายเปิดประตูออกมา

“สวัสดีครับ น้องปีย่าใช่ไหม” วีรากรค้อมศีรษะรับพร้อมส่งรอยยิ้มเล็กๆ ตอบกลับ

“ค่ะ หวังว่าคงไม่ได้มาช้าเกินไปนะคะ ต้องรอขนมนานกว่าที่คิดนิดหน่อย” เธอยกขนมถุงใหญ่ให้เขาดู

“ถ้ามีขนมก็ถือว่าไม่ช้าทุกกรณีครับ” หนึ่งในสองผู้ก่อตั้ง Archwin ยื่นมือออกมา “ขอบคุณที่อุตส่าห์เอาขนมมาฝากนะครับ ให้พี่ช่วยถือดีกว่า”

ปริยากรยื่นถุงขนมส่งให้อีกฝ่ายรับไปโดยดี จากนั้นก็ก้าวเดินตามการผายมือเชื้อเชิญของเขาเข้าสู่พื้นที่ด้านหลังผนังกระจก

“ตอนนี้อยู่ที่ชั้นสามกันครับ…ชั้นสองเป็นสำนักงาน ส่วนชั้นสามเป็นห้องประชุมแล้วก็พื้นที่เอนกประสงค์” เขาอธิบายก่อนจะทำท่านึกขึ้นได้ “จริงสิ พี่ยังไม่ได้แนะนำตัวเลย โทษทีครับ…พี่ชื่อวี เป็นเพื่อนสนิทของวิน น้องปีย่าน่าจะพอเคยได้ยินชื่อจากน้องปินบ้างแล้ว”

“ค่ะ ปินชมพี่ให้ฟังตลอดเลย” สุ้มเสียงของหญิงสาวสดใสอย่างอารมณ์ดี…ปภาวรินท์เล่าถึงวีรากรบ่อยมากและทั้งหมดล้วนเป็นไปในทางชื่นชม ทำให้เธอนึกอยากเจอเขาขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้เจอสักทีจนกระทั่งวันนี้

อันที่จริงเพื่อนบอกด้วยว่าวีรากรค่อนข้างนิ่งและเงียบขรึมกว่าอาชวิน ทว่าเท่าที่คุยกันจนถึงตอนนี้เขาก็ไม่ใช่คนมนุษยสัมพันธ์แย่แน่ๆ น่าจะอยู่ในเกณฑ์น่ารักกำลังดีด้วยซ้ำ ถือว่าไม่ผิดหวังที่นึกอยากเจอเลย

 

ปภาวรินท์คุ้นเคยกับพนักงานของ Archwin ดีเพราะเคยมาช่วยงานอาชวิน ดังนั้นจึงพาปริยากรไปแนะนำทำความรู้จักกับคนได้ทั่ว ปริยากรต้องพบเจอผู้คนมากมายมาตลอด ดังนั้นจึงชินกับการทำความรู้จักผู้คนใหม่ๆ พักเดียวเธอก็สามารถทำตัวกลมกลืนและสนุกสนานร่วมไปกับเหล่าพนักงานได้

วันนี้เป็นวันย้ายสำนักงาน แต่เนื่องจากเป็นวันที่บริษัทคู่ค้าทำงานปกติด้วย เหล่าพนักงานจึงยังต้องทำงานเล็กๆ น้อยๆ อยู่บ้าง ทำให้มีการเดินขึ้นเดินลงระหว่างชั้นสองกับชั้นสามอยู่บ่อยครั้ง บางคนหิ้วคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กขึ้นมาส่งอีเมลไปกินพิซซ่าไปก็มี

อย่างไรก็ตามมันมีอะไรแปลกๆ อยู่บ้างในความรู้สึกของปริยากร…เธอนั่งอยู่กับเพื่อนสนิทและณัฐรัมภา มัณฑนากรสาวเบอร์หนึ่งของบริษัทที่พอจะคุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่ ทั้งสองกำลังแลกเปลี่ยนเรื่องบริษัทประกันภัยรถยนต์กัน เธอนั่งฟังเงียบๆ พร้อมกับจิบน้ำอัดลมไปด้วย และเมื่อความรู้สึกรุนแรงอย่างหนึ่งวูบขึ้นมาอีกระลอก ดวงตาสวยคมซึ่งถูกล้อมกรอบไว้ด้วยเครื่องสำอางอย่างบรรจงก็เหลือบมองไปทางมุมห้องฝั่งหนึ่ง

วีรากรยืนอยู่ตรงนั้นคนเดียว มือหนึ่งของเขาถือครัวซองต์ที่หญิงสาวซื้อมาเป็นของขวัญแสดงความยินดีสำหรับการย้ายสำนักงานใหม่ ส่วนในอีกมือเป็นโทรศัพท์มือถือ ดูเหมือนเขาจะยืนกินไปเล่นมือถือไปอยู่ตรงนั้นโดยแทบไม่ได้ยุ่งกับใครเลย แต่บางครั้งปริยากรกลับรู้สึกว่ากำลังโดนจ้องมอง พอหันไปกลับไม่เจอใครมองมา กระทั่งเมื่อครั้งก่อนที่เหลือบไปแล้วทันได้สบตากับวีรากรแวบหนึ่ง แต่นั่นดูเหมือนจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญตอนเขากำลังจะก้มลงไปหาโทรศัพท์มือถือเท่านั้น

ทว่าสำหรับครั้งนี้ปริยากรได้สบตากับสถาปนิกหนุ่มเต็มๆ เลยทีเดียว หลังจากสบตากันอยู่พักหนึ่งเขาก็ค้อมศีรษะให้เธอเล็กน้อย ก่อนที่จะก้มกลับลงไปเล่นโทรศัพท์มือถืออีกรอบ

ยังไงนะ…สาวสวยประหลาดใจเล็กน้อย แต่อึดใจต่อมาความสนใจก็ถูกดึงกลับไปหาเพื่อนสนิท

“ทำไมเงียบเลยล่ะปีย่า”

“จะไม่เงียบได้ไงล่ะ ฉันไม่ได้กากแบบแกนี่จะได้มีประสบการณ์เคลมประกันเยอะจนแทบได้โล่พร้อมใบประกาศเกียรติคุณ” ปริยากรสวนกลับไปตามความเคยชิน ผลคือณัฐรัมภาทำตาโตแล้วหัวเราะลั่นทีเดียว

“เฮ้ย ฉันไม่ได้เคลมประกันบ่อยขนาดนั้นนะ” ปภาวรินท์ประท้วง

“อย่าบังอาจเถียง เอาแค่ตั้งแต่รู้จักพี่วินมาแกก็เคลมประกันไปสองสามรอบแล้วมั้ง”

“นั่นมันรถคันเก่า มันก็เสื่อมตามอายุ ฉันไม่ได้ขับรถไปชนจนต้องเข้าอู่เสียหน่อย”

“จ้า รถคันใหม่นี่อีกไม่นานก็จะเสื่อมตามอายุเหมือนกันแหละ” ปริยากรแกล้งยกมือขึ้นมาทำท่าดูเล็บอย่างจงใจกวนประสาทเพื่อน

“ปีย่า ฉันเกลียดแก” ปภาวรินท์ร้อง ครั้นเหลือบไปเห็นคนรักเดินมาใกล้ก็รีบคว้ามือเขาไว้แล้วฟ้องทันที “พี่วิน ปีย่าแกล้งปินอะ”

“ก็โดนแกล้งตลอดนี่ ยังไม่ชินอีกเหรอ” อาชวินเลิกคิ้วใส่ ทำเอาสาวร่างเล็กอ้าปากหวอ พอตั้งตัวติดเธอก็ทุบหน้าท้องของเขาเป็นการใหญ่ เขาเลยหัวเราะแล้วอ้าแขนกอดรัดเธอไว้ทั้งที่ยืนอยู่ มือใหญ่กดศีรษะคนรักแนบกับช่วงลำตัวของตนเอง พร้อมกันนั้นก็หันไปหาลูกน้องสาวคนสวย “รัมภา เมื่อกี้พี่ขึ้นมาจากชั้นสอง หมูกำลังตอบเมลลูกค้าคนดีของรัมภาอยู่ อยากลงไปช่วยหน่อยไหม”

“แหม ต้องไปอยู่แล้วค่ะ ลูกค้าคนดีเหมาะกับรัมภาม้ากมาก ปล่อยให้หมูรับไปคนเดียวไม่ได้หรอก” มัณฑนากรสาวหัวเราะเมื่อได้ยินโค้ดเนมที่เธอตั้งให้กับเหล่าลูกค้าปัญหาเยอะทั้งหลาย ก่อนที่จะผละจากไปอย่างรวดเร็ว

“เลิกงอนได้แล้ว ที่พี่พูดไปก็ความจริงทั้งนั้น” อาชวินก้มกลับลงไปหาแฟนสาวที่กำลังทำหน้าบูด

“จะงอน! พี่วินจะทำไม” ปภาวรินท์พ่นลมหายใจ

“ก็ต้องง้อ แต่เอาไว้กลับถึงห้องแล้วค่อยง้อละกัน” เขาหัวเราะเบาๆ อย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ พอลูบศีรษะของเธอด้วยความเอ็นดูแล้วเขาก็ผละไปหาวีรากรเสียเฉยๆ

“ชิ! หมั่นไส้ เดี๋ยวฉันจะแกล้งแกอีก” ปริยากรประกาศเมื่อเหลือตนอยู่กับเพื่อนสนิทสองคน

“หึ ไม่ต้องทำเป็นมาพูด เมื่อกี้ฉันเห็นนะว่าแกแอบมองไปทางพี่วีตั้งหลายรอบ ปิ๊งเขาล่ะสิ” เจ้าของร่างเล็กยกสองแขนขึ้นกอดอก เรื่องนี้สำคัญมากพอจะทำให้เธอยอมปล่อยเรื่องที่โดนแกล้งผ่านไป ก่อนหน้านี้ณัฐรัมภานั่งอยู่ด้วยเธอเลยอดทนเงียบไว้

“ฉันไม่ได้แอบมองเขา มันมีเหตุ…”

“หา? ยังไงนะ”

“เดี๋ยวค่อยเล่า” ปริยากรส่ายหน้าเบาๆ

“แหม…” ปภาวรินท์มีทีท่าขัดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้โต้แย้งหรือซักไซ้ต่อ เพราะสนิทกับเพื่อนมากพอจะรู้ว่าลองอีกฝ่ายพูดแบบนี้ก็คือสถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมาะจะพูด “เอาเหอะ แกห้ามลืมเล่านะ”

“อย่างกับว่าถ้าฉันลืมเล่าแล้วแกจะไม่ทวงงั้นแหละ”

“ก็จริง…แหม แกซื้อครัวซองต์มาน้อยไปนะ” คนเป็นแฟนเจ้าของบริษัทหันไปสนใจของกิน พอแง้มกล่องดูแล้วเห็นว่าเหลือครัวซองต์แค่ชิ้นเดียวก็รีบฉวยขึ้นมา

“บ่นจริง ร้านนี้ดังมากนะ นี่ก็จองข้ามวันแถมยังต้องไปรอขนมตั้งนาน อยากกินก็บอกพี่วินนู่น”

“บอกอยู่แล้ว และพี่วินก็ต้องซื้อขนมมาเลี้ยงฉันอยู่แล้วด้วย” ปภาวรินท์ลอยหน้าลอยตา

ปริยากรกลอกตาด้วยความหมั่นไส้ แต่ไม่ทันไรก็เหลือบไปเห็นว่าวีรากรเดินลงบันไดหายไปอย่างรวดเร็ว ความสงสัยที่ค้างคาใจเอ่อขึ้นมาอีกคำรบอย่างช่วยไม่ได้…เมื่อกี้เขามองเธออยู่จริงหรือเปล่านะ

 

ก่อนหน้านั้นเล็กน้อย…

“นึกว่าไปแล้วเสียอีก” อาชวินส่งเสียงขณะเดินเข้าไปใกล้เพื่อนสนิท อีกฝ่ายเงยหน้าจากจอโทรศัพท์มือถือขึ้นมามองก่อนจะพยักหน้าเบาๆ

“กำลังจะไปนี่ล่ะ คุยกับลูกค้าติดพันอยู่”

“อ้อ แล้วเรียบร้อยดีไหม”

“อืม” วีรากรยืดตัวยืนตรงพร้อมกับหย่อนโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกง

“แล้วว่าไงบ้าง ช่วยให้ตัดสินใจง่ายขึ้นไหม” อาชวินเหลือบมองไปทางสองสาวเพื่อนซี้ที่นั่งอยู่ด้วยกัน

“พ่อต่างหากที่เป็นคนตัดสินใจ แถมตัดสินใจไปแล้วด้วย นายเองก็เหมือนกัน ฉันมีหน้าที่แค่รับมาคิดและปฏิบัติ” วีรากรบอกเสียงเรียบเรื่อย ทว่าในดวงตามีร่องรอยของความเหนื่อยหน่ายฉายอยู่

“งั้นถามใหม่ เจอกันแบบนี้แล้วช่วยให้คิดและปฏิบัติง่ายขึ้นไหมล่ะ” อาชวินเลิกคิ้วขันๆ

“จะง่ายขึ้นได้ยังไง เนื้องานก็เหมือนเดิม…เอาล่ะ ฉันจะไปแล้ว ไว้เจอกันพรุ่งนี้” วีรากรยกมือขึ้นเป็นเชิงล่ำลา จากนั้นก็เดินตรงไปยังบันได ในหัวมีภาพของปริยากรซึ่งนั่งอยู่กับปภาวรินท์ที่ด้านหลัง

เอาเถอะ เท่าที่คุยกันก็ดูโอเค แล้วยังเป็นเพื่อนสนิทของปภาวรินท์ด้วย…คงไม่แย่นักหรอก

บทที่ 1 งานใหม่ที่ไม่ค่อยเต็มใจรับ

 วีรากรบังคับรถเอสยูวีวนอ้อมน้ำพุไปจอดตรงหน้ามุขคฤหาสน์คลาสสิกสีขาว ไฟเริ่มเปิดสว่างแล้วแม้ท้องฟ้าจะยังไม่ทันมืดดี และทันทีที่เขาลงจากรถ บุรุษในชุดซาฟารีสีเทาก็เดินออกมาจากอาคาร

“คุณวีรากรจาก Archwin” อีกฝ่ายพูดเหมือนยืนยันกับตัวเองมากกว่าไถ่ถาม “เชิญครับ ท่านบันลือรอพบคุณอยู่”

สถาปนิกหนุ่มเดินตามไปเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร แน่ใจว่าคนนำทางก็ไม่ได้อยากพูดคุยเช่นกัน เขาคุ้นเคยกับคนทำงานลักษณะนี้ดี เพราะพ่อของเขาเคยทำงานแบบนี้เช่นกัน จนกระทั่งตอนนี้ตั้งบริษัทเป็นของตัวเองแล้วด้วยซ้ำ

ชายหนุ่มถูกพาเดินผ่านห้องรับแขกอันกว้างขวางและโถงบันไดโอ่อ่าลึกเข้าไปด้านในตัวคฤหาสน์ หลังจากเดินไปตามโถงทางเดินที่เต็มไปด้วยของประดับตกแต่งหรูหราจากประเทศต่างๆ ครู่หนึ่ง บุรุษในชุดซาฟารีก็หยุดตรงหน้าประตูไม้บานหนึ่ง แต่แทนที่จะเคาะประตูเขากลับเปิดมันเข้าไปทันที

ภายในเป็นห้องขนาดย่อม มีชุดโซฟาตั้งตรงกลาง ผนังสี่ด้านล้วนเป็นตู้หนังสือ พอวีรากรก้าวเข้าไปแล้วประตูก็ถูกปิดตามหลังทันที ผู้นำทางทิ้งเขาไว้กับเครื่องดื่มและของว่างที่ถูกจัดเตรียมไว้บนโต๊ะกาแฟล่วงหน้า ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาเดี่ยว จัดแจงรินน้ำจากเหยือกบริการตัวเอง ดวงตาคมกวาดมองสำรวจไปรอบห้อง ประเมินว่าห้องนี้ถูกตกแต่งในลักษณะเพื่อสร้างบรรยากาศจริงจังกดดันมากกว่าเน้นความสวยงามอย่างด้านนอก แล้วสุดท้ายสายตาของเขาก็ไปหยุดจับจ้องอยู่ที่ตู้หนังสือตู้หนึ่งเขม็ง

ผ่านไปอึดใจ ตู้หนังสือนั้นก็ขยับเปิดเป็นช่อง…มันคือประตูซึ่งถูกซ่อนอยู่ตามที่เขาเดาเอาไว้จริงๆ

“สวัสดี” บันลือทัก ครั้นเห็นชายหนุ่มวางแก้วน้ำลงแล้วทำท่าจะลุกขึ้นก็โบกไม้โบกมือ “ไม่เป็นไร ตามสบายเถอะ อย่าซีเรียส”

เมื่อเป็นอย่างนั้นวีรากรจึงไม่ลุกและเพียงยกมือไหว้ทักทายอีกฝ่ายแทน…เขาเคยเห็นบันลือผ่านๆ ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน สมัยนั้นอีกฝ่ายยังอยู่ในเวทีการเมือง มาเจอกันอีกทีตอนนี้ก็พบว่าบันลือดูไม่แก่ไปจากเดิมเท่าไหร่ มีเพียงรูปร่างที่ดูท้วมขึ้นบ้าง

“อืม คุณนี่เหมือนพ่ออยู่เหมือนกันนะ” บันลือนั่งลงบนโซฟาตัวยาว จากนั้นก็หยิบแก้วแล้วรินน้ำบริการตัวเองบ้าง “ว่าแต่ได้คุยรายละเอียดกับพ่อของคุณแล้วใช่ไหม”

“ครับ” สถาปนิกหนุ่มรับคำ “ผมคิดว่าพอจะเข้าใจเนื้องานที่ท่านต้องการแล้ว แต่พูดตามตรง ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าวิธีนี้จะได้ผลตามที่ท่านต้องการ ยังไงเสียงานของสถาปนิกก็มีขอบเขตจำกัด”

“ผมรู้ แต่ผมมีทางเลือกไม่มาก ยังไงผมก็ส่งปีย่าไปทำงานต่างประเทศตลอดไม่ได้ ตอนนี้ปีย่าเริ่มสงสัยแล้วด้วย” บันลือระบายลมหายใจยาวเมื่อนึกถึงลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน “ผมฝึกลูกสาวมาดีพอสมควรนะ เธอหูตาไวเอาเรื่อง ดังนั้นให้ออกไปอยู่ต่างจังหวัดในแบบที่ทางคุณดูแลได้ สลับกับมาอยู่ในกรุงเทพฯ ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี”

“ปัญหาของทางผมคือขอบเขตงานของสถาปนิกครับ โดยทั่วไปอย่างมากที่สุดเราก็แค่ไปดูที่ดินผืนที่จะใช้ก่อสร้าง เขียนแบบ ประชุม พอเขียนแบบเสร็จและเริ่มก่อสร้าง พวกเราอาจจะแวะไปไซต์งานเป็นระยะเท่านั้น” วีรากรแจกแจง

“ปกติก็มีสถาปนิกจำพวกที่ไปประจำอยู่ในไซต์งานด้วยนี่”

“ครับ แต่ขอบข่ายงานของบริษัทผมไม่รวมถึงการไปประจำไซต์งาน”

“ผมพอรู้ แต่มันก็น่าจะปรับเปลี่ยนกันได้”

สีหน้าของชายหนุ่มนิ่งสนิท ทว่าแท้จริงแล้วนึกเหนื่อยหน่ายอยู่ในใจ…นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่เขามักปล่อยให้อาชวินเป็นคนคุยงานแทน โดยเฉพาะกับพวกคนใหญ่คนโตที่เคยชินกับการได้ทุกอย่างตามต้องการไม่ว่าจะด้วยเงินหรืออำนาจ บันลือเป็นนักธุรกิจมหาเศรษฐี หนำซ้ำก่อนหน้านี้เคยเล่นการเมืองระดับประเทศ มีตำแหน่งใหญ่โตในคณะรัฐบาล ต่อให้ตอนนี้ล้างมือถอยออกมาแล้วแต่ก็ยังเป็นที่นับหน้าถือตา นับว่ามีคุณสมบัติคนใหญ่คนโตครบถ้วน

“พ่อคุณบอกว่ามันอาจมีปัญหา เพราะคุณเองต้องทำงานที่บริษัทด้วย คงไปอยู่ที่เขาใหญ่ไม่ได้บ่อยเท่าที่ทางผมอยากให้เป็น ตรงนี้ผมเข้าใจ ที่ผมอยากคุยกับคุณก็เพราะเผื่อว่าเราจะช่วยกันหาทางอื่นในการรั้งปีย่าไว้ที่นั่นได้บ้าง และแน่นอนว่าต้องหาทางที่ไม่รบกวนคุณมากเกินไปด้วย” บันลือแบมือสองข้าง สุ้มเสียงนุ่มนวลประนีประนอมมากขึ้น

อย่างน้อยพ่อของปริยากรก็ไม่ใช่คนใหญ่คนโตที่แย่เท่าไหร่ ยังรู้จักผ่อนหนักผ่อนเบาบ้าง…วีรากรโล่งใจขึ้นเล็กน้อย เพราะอย่างไรสำหรับกรณีนี้เขาก็คงปฏิเสธงานไม่ได้อยู่แล้ว ทรงพลมาคุยกับบันลือเรียบร้อย และพ่อของเขาก็มีทีท่าอยากรับงานนี้ด้วย ยิ่งไปกว่านั้นปริยากรยังเป็นเพื่อนสนิทของปภาวรินท์อีกต่างหาก บันลือเองติดต่อบริษัทพ่อเขาผ่านเพื่อนสนิทลูกสาวด้วยซ้ำ ถ้าเขาปฏิเสธคงมองหน้ากันไม่ติดแน่ๆ

อาชวินคงต้องทำใจเตรียมรับงานหนักในช่วงหลังจากนี้หน่อยล่ะ…

 

ปริยากรกดรีโมตล็อกรถสปอร์ตคันกะทัดรัดของตัวเอง จากนั้นก็หมุนกายตรงไปยังหน้ามุขคฤหาสน์หลังงาม พอสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวแวบๆ แม้จะเห็นไม่ชัดว่าเป็นใครแต่เธอก็โบกไม้โบกมือทันที เพราะปกติจะมีคนงานเยี่ยมหน้ามาดูว่าเธอต้องการให้ช่วยขนของหรือเปล่า เงานั้นหายไปอย่างรวดเร็ว ส่วนเธอก็ก้าวขึ้นบันไดเข้าสู่ตัวบ้าน

“คุณอาคมสันกำลังจะกลับแล้วใช่ไหมคะ…แล้วคุณพ่อล่ะ ท่านยังไม่เข้านอนใช่ไหม” หญิงสาวถามเมื่อเจอกับคมสัน บุรุษวัยกลางคนผู้เป็นเลขานุการคนสนิทของบันลือมายาวนานเกือบยี่สิบปี

“ท่านบันลือยังอยู่ในห้องทำงานครับคุณหนูปีย่า”

“ขอบคุณค่ะ เอาไว้เจอกันนะคะคุณอา” ปริยากรยกมือไหว้ เคารพอีกฝ่ายไม่ต่างกับญาติคนหนึ่ง

หญิงสาวเดินต่อลึกเข้าไปด้านในตัวบ้าน จากนั้นก็เปิดประตูเข้าสู่ห้องหนังสือด้วยความคุ้นเคย ตอนแรกเธอนึกว่าบันลือจะอยู่ในห้องทำงานที่เชื่อมกัน แต่ปรากฏว่าได้พบท่านนั่งอยู่บนโซฟา

“อ้าว กลับมาเร็วกว่าที่พ่อคิดนะเนี่ย แล้ววันนี้สนุกไหม” ผู้เป็นพ่อหันมาทักลูกสาวคนสวยทั้งรอยยิ้ม

“ก็สนุกตามปกติที่ได้เจอยายปินแหละค่ะ แต่พรุ่งนี้ยังเป็นวันทำงานไง พอกินข้าวเย็นเสร็จก็แยกย้ายกันกลับเลย…อืม แต่วันนี้คุณพ่อมีคุณอาคมสันกินข้าวเป็นเพื่อน ไม่เหงาเนาะ” ปริยากรทรุดตัวลงนั่งข้างพ่อและเอนกายไปกอดท่านไว้อย่างรักใคร่

“ต่อให้ไม่มีคมสัน พ่อก็กินข้าวคนเดียวได้น่า”

“แต่มีคนกินข้าวด้วยมันต้องดีกว่าไงคะ”

“ถ้าเป็นคนที่อยากกินข้าวด้วยมันก็ดีนั่นแหละ แต่ถ้าไม่ใช่ก็กินคนเดียวดีกว่า”

บันลือพูดเสียงเรียบเรื่อย ดวงหน้าสวยแหงนมองพ่อนิดหนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับเป็นเชิงเห็นพ้อง

“แต่ต่อไปปีย่าอาจจะต้องกินข้าวคนเดียวบ่อยเหมือนกันนะ”

“ทำไมคะ” ปริยากรถามสวนไปเกือบทันทีด้วยความหวาดระแวง

ช่วงที่ผ่านมาจู่ๆ พ่อก็สนใจจะไปลงทุนที่ต่างประเทศ จึงส่งเธอเดินทางไปนู่นไปนี่บ่อยมาก ตอนแรกเธอไม่ได้คิดอะไร เห็นว่าเป็นเรื่องปกติที่ท่านคิดจะขยับขยายการลงทุนไปยังจุดที่มีโอกาสอันดี และถ้าไม่ไปเอง การส่งเธอไปติดต่อเจรจาแทนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

ทว่าพอผ่านไปสักพักเธอชักเริ่มรู้สึกว่ามันแปลกๆ เพราะการลงทุนที่พ่อสนใจนั้นดูกระจัดกระจาย หนำซ้ำสัญชาตญาณยังกระซิบบอกว่ามีบางอย่างไม่ปกติที่เมืองไทย ปริยากรค่อนข้างเชื่อสัญชาตญาณตัวเอง ทว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าความไม่ปกตินั้นคืออะไร

“ลูกจำที่ดินตรงเขาใหญ่ผืนที่มีคนเอามาใช้หนี้พ่อได้ไหม”

“ที่ดินเขาใหญ่…ตั้งแต่สมัยปีย่ายังเด็กๆ ใช่ไหมคะ” ปริยากรถามหลังจากใช้เวลาทบทวนความทรงจำครู่หนึ่ง จำได้ว่าลูกหนี้คนนั้นคือเพื่อนเก่าของพ่อ ภายหลังทำธุรกิจผิดพลาด อีกฝ่ายเลยขอเอาที่ดินมาจ่ายคืนแทนหนี้ที่ติดค้างอยู่ บันลือเห็นว่าอีกฝ่ายมีความจริงใจไม่หนีหนี้เลยรับไว้แล้วล้างหนี้ให้ แม้ในเวลานั้นมูลค่าที่ดินจะไม่เท่ากับมูลหนี้ก็ตาม แต่ปัจจุบันราคาที่ดินผืนนั้นก็เพิ่มสูงขึ้นมากแล้วด้วยความที่เขาใหญ่กลายเป็นจุดหมายปลายทางในการพักตากอากาศของผู้คนในยุคนี้

“นั่นแหละ ช่วงหลังนี้มีคนมาติดต่อขอซื้อบ่อยๆ พวกบริษัทที่ทำอสังหาฯ น่ะ พ่อเลยมานั่งคิดว่าหรือเราจะลงทุนทำเองดี แต่โรงแรมมันต้องมีคนดูแลยุ่งยาก ทำบ้านหรือคอนโดฯ ขายน่าสนใจกว่า ทีเดียวจบ”

“สรุปคือคุณพ่อสนใจจะทำหมู่บ้านขายที่เขาใหญ่” ปริยากรประหลาดใจ เมื่อนานมาแล้วพ่อเคยทำธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์อยู่บ้าง แต่พอท่านกระโดดเข้าสู่เวทีการเมืองก็เลิกไป และพอเลิกเล่นการเมืองแล้วก็ไม่ได้หวนกลับไปทำธุรกิจอสังหาฯ อีก

“อันที่จริงพ่อเริ่มคุยกับบริษัทสถาปนิกแล้ว แฟนของปินไง”

“คุณพ่อคุยกับพวกพี่วินแล้วด้วย?” หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ด้วยความงุนงง โดยธรรมชาติบันลือเป็นคนตัดสินใจฉับไวเด็ดขาด แต่ช่วงหลังท่านไม่ได้ขยับว่องไวขนาดนี้มานานแล้ว เธอจึงอดแปลกใจไม่ได้

“พ่อตั้งใจว่าจะให้ปีย่าดูโครงการนี้นะ”

“คะ?” คนเป็นลูกสาวยิ่งมึนหนักเข้าไปใหญ่

“พ่อรู้ว่าปีย่าไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน แต่ก็เพราะแบบนี้พ่อถึงอยากให้ลอง ตอนนี้พ่อยังอยู่ มีประสบการณ์และช่วยลูกได้ พอถึงวันที่พ่อไม่อยู่แล้วปีย่าจะได้มีประสบการณ์การทำงานหลากหลาย”

“ต่อให้คุณพ่อแค่อยากทำสนุกๆ ปีย่าก็ต้องช่วยอยู่แล้วล่ะค่ะ” หญิงสาวบอก ทว่าก็ยังอดสงสัยไม่ได้ “ว่าแต่คุณพ่อเปลี่ยนใจไม่ไปลงทุนต่างประเทศแล้วเหรอ โครงการที่เขาใหญ่น่าจะต้องใช้ทรัพยากรไม่ใช่เล่นนะ”

“ชะลอไว้ก่อนน่ะ ช่วงนี้การเมืองระหว่างประเทศผันผวน ตลาดเงินตลาดทุนก็คาดเดาไม่ได้…หรือว่าพ่อจะแก่ไปจนตามโลกยุคนี้ไม่ค่อยทันแล้วก็ไม่รู้นะ” บันลือรำพึง

“คุณพ่อยังรู้อะไรเยอะกว่าปีย่าอีก” เธอส่ายหน้าไปมายิ้มๆ “แต่คุณพ่อปักธงเลือกบริษัทแฟนปินเลยเหรอ ปกติปีย่าเห็นเขาประกวดแบบหรือไม่ก็ดูหลายๆ บริษัทหน่อย”

“สมัยก่อนตอนพ่อยังทำอสังหาฯ พ่อมีบริษัทขาประจำนะ เพราะมันคุยง่าย รู้งานกันดีอยู่แล้ว เราต้องเน้นเร็ว คุมราคาได้ และถ้าเป็นบริษัทเดิมทำก็จะรู้อัตลักษณ์ของเราดีอยู่แล้วด้วย” ผู้เป็นพ่ออธิบาย “แต่คราวนี้พ่อตัดสินใจจะลองใช้ Archwin ดู เพราะไหนๆ เราก็ห่างจากบริษัทเก่าไปนานแล้ว แถมเจ้าของบริษัทนี้ยังเป็นแฟนปินด้วย งานเขาดีใช้ได้ ทำงานใหญ่มาพอสมควร และเท่าที่พ่อฟังลูกกับปินเล่าถึงเขามา พ่อก็คาดหวังว่าเขาจะช่วยแนะนำอะไรหลายๆ อย่างให้ปีย่าได้นะ”

ปริยากรพยักหน้าหงึกๆ อย่างเข้าใจว่าพ่อคงอยากให้เธอมีพี่เลี้ยงแบบที่น่าจะพอไว้ใจได้สำหรับงานนี้…อาชวินเองก็ใช่ว่าไม่ร้ายหรอก ทำธุรกิจฝ่าฟันเสือสิงห์กระทิงแรดมาถึงป่านนี้แล้ว แต่เธอก็เชื่อว่าเขาฉลาดพอจะเลือกกลยุทธ์ให้ถูกกับคน

“เอาล่ะ ลูกเพิ่งกลับมา ไปพักเถอะ แล้วพรุ่งนี้ก็ลองดูคิวงานหน่อยว่าว่างไปคุยกับทาง Archwin วันไหนยังไง พ่อเกริ่นบอกทางนั้นไว้แล้วล่ะว่าคงจะเริ่มเร็วๆ นี้เลย ไม่ได้ทำอสังหาฯ มานาน พอคิดจะทำแล้วก็อยากเห็นมันเป็นรูปเป็นร่างไวๆ” บันลือตบไหล่ลูกสาวคนสวย

“แหม ถ้าคุณพ่อบอกเร็วกว่านี้หน่อย ปีย่าคงจะคุยกับเขาตั้งแต่เมื่อเย็นเลย ไหนๆ ก็บุกไปบริษัทเขามาแล้วด้วย” หญิงสาวหัวเราะ จากนั้นก็ยื่นหน้าไปจูบแก้มสากของพ่อ “งั้นปีย่าขึ้นห้องก่อนนะคะ ส่วนเรื่องงานไม่ต้องห่วง คุณพ่ออยากทำอะไรปีย่าช่วยหมดอยู่แล้ว คุณพ่ออย่านอนดึกนะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้”

บุรุษสูงวัยมองลูกสาวออกจากห้องไป ครั้นประตูห้องปิดลงแล้วท่านก็ระบายลมหายใจยาวออกมา ใบหน้าแหงนขึ้นเล็กน้อยจับจ้องแสงไฟจากโคมระย้าคลาสสิกที่แขวนอยู่ตรงกลางเพดาน ทว่าในหัวนึกถึงภาพของบุรุษผู้ซึ่งจากไปก่อนที่ปริยากรจะกลับมาไม่นาน

ดูจากแววตามั่นคงนั่นแล้ววีรากรน่าจะ ‘ใช้ได้’…ปกติแล้วบันลือไม่กลัวที่จะต้องตัดสินใจ และท่านก็พร้อมยอมรับความผิดพลาดที่อาจตามมาเสมอ แต่สำหรับครั้งนี้ท่านหวังอย่างยิ่งว่าจะตัดสินใจไม่ผิด

 

ขณะเดียวกันที่อีกด้านของเมือง วีรากรเพิ่งฝ่าการจราจรยามค่ำคืนกลับถึงบ้าน มันยังไม่ดึกมากนัก ไฟในบ้านยังเปิดสว่างไสว และพ่อของเขาก็กำลังนั่งดูข่าวอยู่ในห้องรับแขกตามที่คาดไว้

“ไง กินอะไรมาหรือยัง” ทรงพลร้องถามทันทีที่เห็นลูกชายเดินเข้าสู่ตัวบ้าน

“ฮื่อ แวะกินกลางทาง” ชายหนุ่มตอบขณะเก็บรองเท้าหนังเข้าสู่ตู้…อันที่จริงวันนี้มีการนัดแนะกันไว้ว่าจะให้ปภาวรินท์ชวนเพื่อนกินมื้อเย็นด้วย แต่มันก็ยังยากจะคาดการณ์อยู่ดีว่าปริยากรจะกลับถึงบ้านเมื่อไหร่ ดังนั้นเขาเลยรีบคุยธุระและกลับออกจากบ้านปิยะไพศาลแม้เจ้าของบ้านจะชวนกินมื้อเย็นด้วยก็ตาม

“ไปคุยกับคุณบันลือมาเป็นไงบ้างล่ะ”

“ก็คุยรายละเอียดกัน ยังไงผมก็ต้องรับงานนี้อยู่แล้วนี่” วีรากรตอบเสียงเรียบเรื่อย

“แล้วรายละเอียดที่ว่าน่ะมันมีอะไรบ้างล่ะ”

“ผมคงต้องไปๆ มาๆ เขาใหญ่บ่อยหน่อย กับไอ้วินคงต้องหัวปั่นด้วย” เขาถอนหายใจเบาๆ “เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยคุยกันดีกว่า ผมขอไปอ่านรายละเอียดให้ครบและคิดก่อนว่าจะต้องทำอะไรยังไงบ้าง”

พอพูดจบสถาปนิกหนุ่มก็เดินดุ่มๆ ขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของบ้าน ซึ่งทรงพลก็ไม่ได้รั้งไว้แม้ว่าเขาจะแทบไม่รู้อะไรมากไปกว่าเดิมสักเท่าไหร่เลย นอกจากการที่วีรากรตกลงใจจะทำงานนี้ถึงจะดูไม่เต็มใจนัก

ครั้นเดินเข้าห้องนอนแล้วชายหนุ่มก็โยนกระเป๋าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กลงตรงปลายเตียงนอนตามความเคยชิน ดวงตาคมจับจ้องไปยังกระดานบอร์ดไม้ก๊อกขนาดย่อม เขาใช้มันเป็นที่แปะข้อมูลหรือกระทั่งไอเดียเกี่ยวกับงานในความรับผิดชอบทั้งหมด แม้จะยืนอยู่ไกลแต่เขาก็แทบจะเห็นตัวอักษรทุกตัวบนกระดาน ด้วยความที่อ่านเนื้อหาบนนั้นแทบทุกวัน

ช่วงหลังมานี้ Archwin งานค่อนข้างแน่น จนต้องรับพนักงานใหม่เพิ่มเรื่อยๆ และขยับขยายสำนักงานในที่สุด โดยทั่วไปอาชวินจะเป็นคนหาลูกค้า ส่วนเขาอยู่โยงดูแลงานในสำนักงานเป็นหลัก แต่ถ้าเขาต้องไปทำงานให้บันลือ อย่างไรก็ต้องไม่มีเวลาทำงานในสำนักงานเท่าเดิมแน่นอน

วีรากรระบายลมหายใจขณะแกะกระดุมเสื้อเชิ้ต ในหัวครุ่นคิดถึงบทสนทนาเมื่อเย็น…อันที่จริงหลักใหญ่ใจความของมันเรียบง่ายมาก บันลือได้รับข่าวที่เชื่อถือได้ว่ามีคนคิดปองร้ายลูกสาว แต่ไม่มีข้อมูลว่าเป็นใครและจะลงมือเมื่อไหร่ ช่วงแรกเขาเลยป้องกันด้วยการส่งปริยากรไปต่างประเทศ ระหว่างนั้นก็พยายามสืบหาข้อมูล ทว่าสุดท้ายก็ไม่พบอะไรเพิ่มเติม กระทั่งบันลือรู้สึกว่าหญิงสาวเริ่มสงสัยมากขึ้นจึงเปลี่ยนแนวทางคิดจะให้ลูกกลับมาอยู่ในไทย แต่ต้องเป็นแบบที่สามารถควบคุมดูแลความปลอดภัยได้ง่าย ตรงนี้เองที่ปภาวรินท์กลายเป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างบันลือกับทรงพล

ตอนแรกที่คุยกับปภาวรินท์ เขาคิดว่าตนเองเป็นแค่ตัวกลาง ไม่นึกว่าสุดท้ายจะโดนดึงมายุ่งด้วย บันลือต้องการใช้คนนอกในการดูแลสืบเสาะเกี่ยวกับแผนการปองร้ายลูกสาว เพราะมีเหตุให้สงสัยว่าอาจมีคนใกล้ตัวเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ด้วย แรกสุดอีกฝ่ายจ้างแค่ทรงพล ทว่าหลังได้รับการยืนยันซ้ำในประเด็นคนใกล้ตัว แม้ข่าวคราวจะเงียบหายจนน่าเชื่อว่าคนในเงามืดอาจล้มเลิกความตั้งใจไปแล้ว แต่บันลือยังไม่อาจปล่อยวางเรื่องนี้ได้ ท่านต้องการควานหาคนคนนั้นให้เจอ ซึ่งก็พอเข้าใจได้ วีรากรจึงถูกชักนำให้เข้ามาพัวพันกับงานนี้ด้วยในที่สุด

หลังจากใช้เวลาไตร่ตรองหาทางอีกพักใหญ่ บันลือก็ผุดโครงการสร้างหมู่บ้านขึ้นมา ด้วยความที่ลูกชายของทรงพลอย่างเขาเป็นสถาปนิก มันจึงสามารถเป็นช่องทางในการให้คนของทรงพลเข้ามาดูแลปริยากรอย่างใกล้ชิดได้แบบไม่น่าสงสัย จริงอยู่มันอาจไม่ง่ายนักแต่ก็ถือว่ามีโอกาสดีกว่าทางอื่น

ปัญหาใหญ่คือถ้าจะดูแลปริยากร วีรากรต้องกระโจนลงไปทำงานนี้เอง ลำพังเนื้องานนั้นไม่เท่าไหร่ แต่มันจะกระทบกับงานของ Archwin ไม่น้อยแน่

อาชวินเพิ่งรู้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่นาน บันลืออนุญาตให้ทรงพลเล่าให้ฟังเนื่องจากเห็นว่ามันกระทบกับบริษัทสถาปนิก เพื่อนเขาคงทำใจไว้แต่แรกแล้ว เพราะอย่างไรคนที่เดือดร้อนอยู่ก็คือเพื่อนสนิทของปภาวรินท์ ไม่มีทางเลยที่อาชวินจะเมินเฉยไม่ช่วยได้ถ้าหากยังอยากรักกับแฟนอย่างมีความสุข อีกอย่างบันลือเองก็เคยช่วยเหลือ Archwin เอาไว้ และถ้าทุกอย่างผ่านไปด้วยดี อีกฝ่ายก็จะถือเป็นคอนเน็กชั่นชั้นดีต่อไปด้วย

‘ศัตรูผมเยอะ’ บันลือยอมรับความจริง ‘ผมมีศัตรูในทางธุรกิจอยู่บ้าง ถึงตอนเล่นการเมืองผมจะระวังยังไงมันก็เลี่ยงไม่ได้หรอกที่จะอาจไปขัดผลประโยชน์ใครเข้า แต่ทั้งหมดนี้มันก็นานแล้ว และผมก็นึกไม่ออกว่าใครที่จะอยากเล่นงานปีย่าแทนเล่นงานผมโดยตรง แต่ใครจะรู้จริงไหม’

วีรากรฉวยผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ พร้อมกันนั้นก็ใคร่ครวญเรื่องการจัดการงานในความรับผิดชอบไปด้วย ความคิดของเขาไหลไปเรื่อย กระทั่งตอนที่ปล่อยให้น้ำเย็นรินรดลงบนศีรษะ ภาพปริยากรกับรอยยิ้มสว่างไสวของเธอก็ผุดขึ้นในหัว

‘ผมฝึกปีย่ามาบ้าง เผื่อเกิดเหตุคับขันปีย่าก็พอเอาตัวรอดได้ หูตาเธอไวพอตัว นั่นเป็นเหตุผลที่ผมอยากใช้คนนอกและต้องพยายามสรรหาเรื่องมากลบเกลื่อน…พูดถึงปีย่ามากไปก็จะกลายเป็นพ่อโฆษณาลูก แต่มีอย่างหนึ่งที่ผมกล้ารับรองคือปีย่าไม่ใช่คุณหนูหยิบโหย่ง หวังว่าข้อนี้จะทำให้คุณสบายใจขึ้นบ้าง’

ชายหนุ่มยกมือขึ้นเสยผมที่เปียกชื้น…เขาคงสบายใจกว่านี้ถ้าหากไม่ได้รู้ว่าบันลือถึงขั้นจัดแจงเคลียร์พื้นที่ที่ดินเขาใหญ่เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ซ้ำยังบอกว่าให้ทำอย่างไรก็ได้เพื่อเริ่มการก่อสร้างให้เร็วที่สุด จะเอาแบบบ้านเก่าๆ ที่เคยทำมารียูสก็ได้ หลังจากนั้นค่อยขยับขยายทีหลัง

สุดท้ายบันลือก็ยังคงเป็น ‘คนใหญ่คนโต’ นั่นแหละ…เขาได้แต่หวังว่าปริยากรจะไม่ได้รับสืบทอดนิสัยนี้มามากนัก

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 9 มี.. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: