เวลาสามทุ่ม
ฟู่เหยียนจื้อออกมาจากห้องผ่าตัด เช้าวันนี้มีการส่งตัวผู้ป่วยหัวใจวายเฉียบพลันเข้ามา หลังจากพูดคุยสื่อสารแล้วก็ทำการผ่าตัดทันที ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้การผ่าตัดเสร็จสิ้นไปอย่างราบรื่น
เขาถอดถุงมือและมาสก์ออกแล้วไปล้างมือที่ห้องน้ำ ก้มใบหน้าลง วางนิ้วมืออันเรียวยาวไว้ใต้ก๊อกน้ำ ปล่อยให้น้ำไหลผ่านไปเพื่อชะล้างมือให้สะอาด
ไม่กี่นาทีต่อมาฟู่เหยียนจื้อก็กลับมาที่แผนก
เขาเข้าไปด้านในแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ยังไม่ทันได้ตอบกลับข้อความก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ฟู่เหยียนจื้อช้อนตามอง
“หมอฟู่คะ”
เป็นพยาบาลที่เข้าเวร
เขาพยักหน้าน้อยๆ แล้วกล่าวว่า “ของผมไม่ต้องสั่งอาหารนะครับ”
พยาบาลยิ้ม “ไม่ได้สั่งให้หมอค่ะ มีคนส่งอาหารมาให้หมอ”
ฟู่เหยียนจื้อมองไปด้วยสีหน้าราบเรียบ
พยาบาลเอากล่องอาหารมาวางไว้บนโต๊ะของเขา
ฟู่เหยียนจื้อหรี่ตามอง เป็นของร้านซานสือ นิ้วมือของเขาชะงักไปครู่หนึ่ง เพิ่งคิดจะดันออกไปเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา…เป็นหลินเฮ่าหราน
“มีเรื่องอะไร”
“เห็นวีแชต* ที่ฉันส่งให้นายไหม” เวลานี้หลินเฮ่าหรานกำลังพักผ่อนอยู่ที่บ้าน “วันนี้คุณจี้คนสวยไปหานายที่โรงพยาบาล แต่นายกำลังผ่าตัดอยู่”
ฟู่เหยียนจื้อไม่ได้พูดอะไร
หลินเฮ่าหรานร้อง “จิ๊” อย่างไม่เข้าใจ “ทำไมคนสวยๆ แบบนั้นต้องชอบนายด้วย นายมีเสน่ห์อะไรกันแน่”
ฟู่เหยียนจื้อคร้านจะสนใจคำพูดบ้าบอของเขา ถามด้วยเสียงเย็นชา “ยังมีธุระอีก?”
“ไม่มีแล้ว” หลินเฮ่าหรานกล่าวต่อ “แต่ฉันวางแผนจะเป็นแม่สื่อให้พวกนาย จริงสิ เธอถามฉันว่าสามารถส่งอาหารให้นายได้ไหม ฉันบอกว่าได้ เธอส่งให้นายหรือยัง”
ได้ยินดังนั้นฟู่เหยียนจื้อก็มองถุงที่อยู่ตรงหน้าอยู่พักใหญ่และแกะออก
ด้านในวางกระดาษโน้ตไว้แผ่นหนึ่ง
‘หมอฟู่ อย่าลืมกินข้าวนะคะ’
ลายมืองดงาม ตัวอักษรดูหวัดๆ เล็กน้อย ไม่ได้ลงชื่อ
หลังวางสายโทรศัพท์แล้วฟู่เหยียนจื้อก็ใช้นิ้วมือเคาะโต๊ะเบาๆ
นี่เป็นความเคยชินขณะครุ่นคิดของเขา
ไม่กี่วินาทีให้หลังเขาก็ถอดเสื้อกาวน์ออกแล้วแขวนไว้อีกด้านหนึ่ง
เขาเดินออกไปแล้วมองไปยังพยาบาลที่อยู่ด้านนอก “ผมจะออกไปข้างนอกหน่อย อีกเดี๋ยวถ้ามีเรื่องด่วนก็โทรหาผม หรือไม่ก็ไปหาหมอสวีนะ”
“ได้ค่ะ”
ค่ำคืนในฤดูใบไม้ผลิมีความเย็นสบายที่อธิบายออกมาไม่ได้ ที่จริงแล้วจี้ชิงอิ่งไม่ได้มีความคิดว่าจะต้องเจอฟู่เหยียนจื้อให้ได้ เธอแค่รู้สึกเบื่อๆ
หลังออกมาจากโรงพยาบาลเธอก็ไปดูบ้านใหม่กับเฉินซินอวี่ แต่ยังดูไม่เสร็จเฉินซินอวี่ก็ถูกเรียกกลับไปทำโอทีแล้ว เธออยู่คนเดียวก็ไม่เป็นไร จับพลัดจับผลูมาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง
เธอก้มหน้ามองเวลาในโทรศัพท์
ใกล้จะสี่ทุ่มแล้ว ไม่รู้ว่าการผ่าตัดของฟู่เหยียนจื้อเสร็จหรือยัง
เธอเดินอยู่บนถนนตรงข้ามโรงพยาบาล ระหว่างที่รอสัญญาณไฟแดงยังมองเห็นแสงไฟในโรงพยาบาลเชื่อมต่อเข้าด้วยกันเสมือนเส้นชีวิตอย่างไรอย่างนั้น
เสียงแตรบนถนนดังไม่ขาดสาย พลุกพล่านจอแจราวกับม่านราตรีไม่เคยมาถึงก็ไม่ปาน
จี้ชิงอิ่งยืนแกว่งเท้า ฟังเสียงพูดคุยของคนแปลกหน้าข้างๆ หู
ไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียว เธอดึงความคิดที่ล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวกลับมาและก้าวเท้าเดินไปฝั่งตรงข้าม
ท่ามกลางผู้คนที่ขวักไขว่ไปมา เธอช้อนตาขึ้นมองเห็นคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล
แสงของไฟถนนตกลงบนกายของเขา ทอดเงาของเขาให้ยืดยาว
เขารูปร่างสูงใหญ่ มือหนึ่งล้วงกระเป๋ายืนอยู่ตรงนั้น ดูสูงโปร่งเหมือนต้นสน และราวกับสัมผัสได้ถึงสายตาของจี้ชิงอิ่ง เขาจึงช้อนตาขึ้นและมองมาทางเธอ
บนทางม้าลายมีผู้คนจำนวนมาก ไฟรถทั้งสองฝั่งเปิดอยู่ แสงไฟตัดสลับกัน สายตาของทั้งสองสบประสาน คลื่นใต้น้ำโหมกระหน่ำ
จี้ชิงอิ่งกะพริบตา ก้าวเดินไปบนทางม้าลายอย่างแช่มช้าโดยไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย
เธอหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้วเงยหน้าขึ้น ดวงตาโค้งและแย้มยิ้ม “หมอฟู่ กินข้าวหรือยังคะ” เธอเป็นฝ่ายรุกทั้งยังกล่าวตรงๆ ว่า “ถ้ายังไม่ได้กิน ให้เกียรติมาร่วมกินด้วยกันไหมคะ”
ฟู่เหยียนจื้อหลุบตาลงมองเธออยู่ครู่ใหญ่และกล่าวนิ่งๆ ว่า “คุณไม่ได้ส่งมาแล้วเหรอครับ”
จี้ชิงอิ่ง “…”