หลังจากกินอาหารกลางวันแล้ว ที่บริษัทของเฉินซินอวี่ยังมีงานอีกเธอจึงออกไปก่อน
ซย่าหรงเสวี่ยและจี้ชิงอิ่งก็ไม่ได้อยู่นานเช่นกัน กลับไปทำงานที่วิลล่าซึ่งผู้กำกับกวนเตรียมไว้
ครึ่งค่อนวันต่อจากนั้นจี้ชิงอิ่งก็วาดแบบร่างไปหลายต่อหลายชุด
ถึงตอนสุดท้ายเมื่อไม่มีไอเดียอะไรแล้วจึงได้เลิกงาน
เมื่อเธอกลับถึงบ้านที่มาเช่าใหม่นี้อีกครั้งก็เป็นเวลาสองทุ่มแล้ว
ขณะยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าหมู่บ้าน เธอก็ครุ่นคิดอยู่สองสามวินาทีว่าจะกลับบ้านเลยดีหรือไปเสี่ยงโชคที่โรงพยาบาลดีกว่า ทว่าเธอยังคิดไม่ออกข้อความของซย่าหรงเสวี่ยก็เด้งเข้ามาเสียก่อน
ซย่าหรงเสวี่ย : พี่ชิงอิ่ง ลืมบอกพี่ไปเรื่องหนึ่ง ก่อนหน้านี้ที่พี่ให้ฉันส่งหนังสือและก็พวกเหล้าของพี่น่ะมาถึงหมดแล้วนะ วางไว้บนชั้นที่ห้องรักษาความปลอดภัย พี่อย่าลืมไปเอานะ
จี้ชิงอิ่งเลิกคิ้ว ก้มหน้าลงและอดยิ้มไม่ได้ ‘โอเค’
ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะไม่ให้เธอไปที่โรงพยาบาลเสียแล้ว
ห้องรักษาความปลอดภัยใหญ่มากทีเดียว อยู่ที่ล็อบบี้ในชั้นหนึ่ง โดยมีชั้น G ซึ่งเป็นชั้นระดับพื้นดินเป็นส่วนหน้าของหมู่บ้าน
ทางด้านหนึ่งมีชั้นวางของอยู่สองสามชั้น ใช้วางพัสดุของลูกบ้านที่มารับไม่ทันโดยเฉพาะ
ตอนที่จี้ชิงอิ่งหาเจอก็ทึ่มทื่อไปสองสามวินาที
เธอคงจะลืมบอกซย่าหรงเสวี่ยว่าให้ส่งมาแค่ส่วนหนึ่งก็พอแล้ว เพราะยายเด็กคนนี้ส่งมาทั้งหมดเลยสองกล่องเต็มๆ
จี้ชิงอิ่งหายใจเข้าออกลึกๆ มองไปรอบๆ ทีหนึ่งก็ไม่เห็นรถเข็นคันเล็กเลย
เธอมองเสื้อผ้าที่ตัวเองสวมใส่อยู่ และก้มตัวลงอุ้มกล่องใบเล็กขึ้นมา ส่วนกล่องอีกใบนั้นกลับบ้านไปเปลี่ยนชุดแล้วค่อยว่ากัน
จริงๆ แล้วจี้ชิงอิ่งมีพละกำลังมากทีเดียว เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่อ่อนแออะไร ทว่าชุดกี่เพ้ามันผูกมัดเธอไว้
ตอนที่เข้าไปในลิฟต์จี้ชิงอิ่งก็ไม่ได้สังเกตเห็นว่าข้างหลังมีใครบ้างเดินตามเข้ามาในลิฟต์
เธออุ้มกล่องยืนอยู่ตรงมุม ก้มหน้าเหม่อลอย
“…โชคดีที่ได้คุณหมอเป็นคนรักษาค่ะ ร่างกายของแม่ฉันดีขึ้นมากเลย ขอบคุณคุณหมอฟู่นะคะ”
“เป็นสิ่งที่ผมควรทำอยู่แล้วครับ”
เสียงของชายหนุ่มเย็นชาทว่ากลับคุ้นเคย
จี้ชิงอิ่งตกตะลึง เงยหน้ามองไปด้วยจิตใต้สำนึก
หลังจากมองเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว เธอก็กะพริบตาช้าๆ เกรงว่าจะเกิดภาพหลอน
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาที่เป็นประกายของเธอ ฟู่เหยียนจื้อก็หันหน้ามองมา ทั้งสองคนสี่ตาสบประสาน ในดวงตาของเขามีความประหลาดใจอยู่เล็กน้อย แต่ก็หายวับไปในชั่วพริบตา
หญิงวัยกลางคนยังคงพูดอยู่ “ตอนแรกถ้าไม่ใช่คุณหมอแนะนำให้พวกเรารีบผ่าตัดโดยเร็วที่สุดก็ยังไม่รู้ว่าตอนนี้อาการของแม่ฉันจะเป็นยังไง ยังคงต้องขอบคุณคุณหมอมากๆ ค่ะ”
ฟู่เหยียนจื้อหลุบตาลง มองของที่จี้ชิงอิ่งหอบอยู่ในมือ
น่าจะหนัก เธอเอากล่องยันไว้กับผนังลิฟต์ ทว่าคนกลับยืนตัวตรงแหน็ว
วันนี้กี่เพ้าที่เธอสวมเป็นแบบครึ่งแขนสีเหลืองอ่อน ท่อนแขนเล็กๆ ที่เผยออกมาขาวผ่องจนเปล่งแสง
ต่อลงมาอีกเป็นเอวบางที่โอบได้ด้วยหนึ่งอ้อมแขน กี่เพ้าร่างเค้าโครงส่วนโค้งเว้าของร่างกายเธอ ทำให้ผู้คนต้องมองมากขึ้นอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่
เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วถอนสายตากลับมา “คุณน้าหลิวไม่ต้องเกรงใจครับ นี่เป็นหน้าที่ของพวกเรา”
ลิฟต์ลงมาถึงชั้น G
คุณน้าหลิวขอบคุณฟู่เหยียนจื้อแล้วเดินนำออกไปก่อน
ฟู่เหยียนจื้อตามอยู่ข้างหลัง ในมือยังถือถุงใบใหญ่อีกสองใบ “ผมเอาไปส่งให้คุณน้าแล้วกันครับ”
คุณน้าหลิวพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “งั้นต้องขอบคุณคุณหมอฟู่แล้วค่ะ”
ฟู่เหยียนจื้อพยักหน้า หลังจากเดินไปข้างหน้าสองก้าวเขาก็หันกลับมามองจี้ชิงอิ่ง “หนักเหรอครับ”
จี้ชิงอิ่งตอบรับคำหนึ่ง “อืม”
ฟู่เหยียนจื้อหลุบตามองเธอสองสามวินาทีแล้วเอ่ยขึ้น “ถ้าไม่รีบ รอผมที่นี่แป๊บนึง”
ได้ยินดังนั้นเธอก็โค้งริมฝีปาก ยิ้มตาหยีและเอ่ยว่า “แน่นอนว่าไม่รีบค่ะ”
“…”
หญิงวัยกลางคนมองพวกเขาสองคน งุนงงไปครู่หนึ่ง “คุณหมอฟู่คะ คุณคนนี้คือ?”
เธอมองจี้ชิงอิ่งด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง
“เพื่อนครับ”
ฟู่เหยียนจื้อไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดีจึงใช้คำว่า ‘เพื่อน’ ออกไปโดยไม่ได้ยั้งคิด
หญิงวัยกลางคนร้อง “อ่า” ยังอยากจะพูดอะไรอีกสักหน่อย แต่ถูกฟู่เหยียนจื้อตัดบทเสียแล้ว
มองภาพด้านหลังที่เดินจากไปไกลของคนทั้งสอง จี้ชิงอิ่งก็เดินออกไปข้างนอกสองก้าวแล้ววางกล่องลงบนเก้าอี้ตัวยาวที่มีไว้ให้ลูกบ้านพักผ่อน
เธอไม่ได้คิดจะเกรงใจฟู่เหยียนจื้อ ตั้งแต่จุดรักษาความปลอดภัยตรงประตูทางเข้าหมู่บ้านมาจนถึงตึกที่เธออาศัยอยู่ต้องเดินสองสามนาที
ถ้าเป็นคนแปลกหน้า เธอจะต้องปฏิเสธอย่างแน่นอน ทว่านั่นคือฟู่เหยียนจื้อ คือคนที่เธออยากบังเอิญเจอแม้ต้องคิดจนมันสมองแห้งเหือด มีโอกาสแบบนี้เธอยินดีเป็นที่สุด