นางลืมตาขึ้น ภาพเบื้องหน้าเป็นภาพที่ไม่คุ้นเคยอีกแล้ว ทั้งยังปวดเมื่อยไปทั้งตัว รู้สึกเหมือนย้อนกลับไปวันแรกๆ ที่มาคฤหาสน์สกุลเนี่ย มีแต่งานใช้แรง แทบจะไม่มีแม้แต่ระยะให้พักหายใจ
เสวียนจีปิดปากหาวและพลิกตัว ก่อนตาที่หยิบหยีจะมองเห็นบุรุษผู้หนึ่งกำลังมองนางอยู่…บุรุษที่คุ้นตายิ่ง เขานอนอยู่ข้างนาง ตามองตา…
“นี่ต้องกำลังฝันอยู่แน่ๆ…” นางพึมพำ ในดวงตามีรอยยิ้ม ยื่นมือไปแตะใบหน้าเขา
“ตอนนี้เจ้าลงจากเตียงได้แล้ว”
“อ๊ะ?!” มือที่ยื่นไปสัมผัสใบหน้าและเสียงพูดของเขากลับบอกว่านางไม่ได้ฝันไป นางรีบลุกขึ้นนั่ง ร่างเปลือยเปล่าอันบอบบางย้ำเตือนนางถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน หน้านางเห่อแดง ก่อนจะรีบคลานผ่านสองขาของเขาลงจากเตียง
นางหยิบชุดสีเหลืองอ่อนขึ้นมา หันหลังให้เขาก่อนสวมลงบนตัวด้วยท่าทางคล่องแคล่ว
“เจ้าลืมเอี๊ยม” เสียงของเขาดังขึ้นจากด้านหลังนาง
“อ้อ”
การออกเสียงพยางค์เดียวของนางทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว เขายันตัวขึ้นพิงเสาเตียง หรี่ตาจ้องมองร่างกายที่ถูกเสื้อคลุมไว้ของนาง
“เจ้าร้องจนข้านอนไม่ได้ทั้งคืน” น้ำเสียงเขาปราศจากแววโมโหขุ่นเคือง แต่กลับเหมือนหยั่งเชิงดู
“อืม”
ริมฝีปากเขาเหยียดออกด้านข้างและยกขึ้นอยู่บ้าง “เจ้าหันมานี่”
นางหันตัวไปเผชิญหน้ากับเขาอย่างว่าง่าย บนหน้าไม่มีแววเขินอายหน้าแดง เพียงแต่คลำหาสายผูกบนตัวด้วยตาที่ปิดปรือ
หลายครั้งที่นางยกอ่างล้างหน้ามาก็มีท่าทางเหมือนยังไม่ตื่นเช่นนี้ ระหว่างอยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นนางคล้ายจะเชื่อฟังเป็นพิเศษ
“เมื่อคืนเจ้าฝันร้ายอีกแล้วหรือ” เขาถาม เพราะว่าตอนดึกขณะนางนอนหลับได้ส่งเสียงละเมอออกมาทำให้เขาตื่น
เสียงละเมอของนางไม่ได้ดัง แต่ในน้ำเสียงมีลักษณะเหมือนทุกข์ทรมานยิ่งยวด โดยเฉพาะ…หลังจากได้ตัวนางแล้ว ขณะนางหลับลึกก็ยังคงถูกฝันร้ายรบกวน
“ข้าฝันร้ายเป็นประจำ” นางตอบอย่างเชื่องเชื่อ ก่อนจะพยายามกลั้นหาวเอาไว้
“ฝันร้ายอะไร”
“กลิ่นเหม็นหึ่งไปทั่ว…ท่านแม่สิบแขวนคอตาย ท่านแม่ห้าลอบคบชู้ในห้อง ข้าเห็นเข้า นางจึงคิดจะกำจัด…กำจัด…” นางหยุดพูดลงอย่างเชื่องช้า คล้ายงุนงงว่าตนเองพูดอะไรออกไป ก่อนจะตบแก้มขาวผ่องเบาๆ แล้วยอบตัวคารวะเขาทันที “นายน้อยสามจะล้างหน้าหรือเจ้าคะ”
“เจ้ามานี่” การพลาดที่จะได้รู้ที่มาของฝันร้ายของนางทำให้เขาไม่ชอบใจ สามารถเรียก ‘ท่านแม่สิบ’ กับ ‘ท่านแม่ห้า’ ออกมาได้แสดงว่าต้องมีตัวตนอยู่จริงๆ แม่สิบต้องการกำจัดใคร นางหรือ
ตัวของฉินเสวียนจีก็เป็นปริศนาเช่นเดียวกับภาพกลอนเสวียนจี ถึงจะอ่านซ้ำไปซ้ำมาอย่างไรก็ยังคงอ่านความลับของนางได้ไม่หมด ภูมิหลังนางต้องมิใช่บุตรสาวอาจารย์สอนหนังสืออย่างที่นางบอกเด็ดขาด ปัญญาชนทั่วไปล้วนมีกลิ่นหนังสือติดที่ตัวบ้างมากบ้างน้อย ทว่าสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมือนกันทำให้บุคลิกลักษณะที่มีนั้นแตกต่างกันไปด้วย บุตรสาวอาจารย์สอนหนังสือในชนบทธรรมดาๆ นางหนึ่งไม่มีทางฝันร้ายกลางดึกว่ามีคนจะฆ่านางเด็ดขาด
เสวียนจีเดินมาหยุดเบื้องหน้าเขา ริมฝีปากมีรอยยิ้มอยู่บ้าง กลิ่นหอมของกระดาษยังคงอยู่ แต่จางลงไม่น้อย และบนตัวนางก็มีกลิ่นของเขาติดอยู่ด้วย
“เจ้ายิ้มอะไร”
“บ่าวกำลังยิ้มหรือเจ้าคะ” นางยกมือขึ้นแตะปากตนเอง
ริมฝีปากแดงนั้นเมื่อคืนทั้งขาดประสบการณ์ทั้งอ่อนนุ่ม…ดวงตาเขาหรี่ลง
“ใช่ เจ้ากำลังยิ้ม” ยามนี้นางแทนตนเองว่า ‘บ่าว’ แสดงว่านางตื่นเต็มตาแล้ว บางทีแม้แต่ตัวนางเองอาจจะไม่สังเกตเลยว่าเวลานางกลับมาเป็นสาวใช้ที่เรียบร้อยเฉลียวฉลาดว่าง่าย นางจะแทนตนเองว่า ‘บ่าว’
“เช่นนั้นก็คงเป็นเพราะสองขาของนายน้อยสามมีความหวังจะหายดีแล้วแน่นอนเจ้าค่ะ” นางโค้งตาพูดยิ้มๆ
เขาจ้องนางอย่างไม่กะพริบตา พลันยื่นมือมาคว้าเอวนาง
“นายน้อยสาม?”
“เอี๊ยมเจ้าโผล่ออกมาแล้ว” เขาพูด เป็นเขาคิดมากไปอย่างนั้นหรือ เมื่อครู่รอยยิ้มของนางทำให้นางดู…เลือนรางอยู่บ้าง เกือบจะคิดว่านางจะหายไป เป็นฝันร้ายของนางทำให้เขาเกิดภาพหลอนขึ้นมากระมัง เขาจ้องนางพลางขยับพลิกเสื้อไปมาอย่างหงุดหงิด ชุดตัวนอกลื่นตกลงจากไหล่ข้างหนึ่ง เผยผิวนุ่มเนียนขาวปานหิมะออกมา…