“ฮ่าๆ ข้าดึงความสนใจของเจ้าขึ้นมาแล้วใช่หรือไม่” เนี่ยหยวนเฉี่ยวพูดอย่างคนขี้แกล้ง “ข้านึกว่าบนโลกนี้ไม่มีเรื่องใดทำให้เจ้าตกใจถึงขนาดนี้ได้เสียอีก เจ้าให้ความสนใจเรื่องของพี่สามเสียจริง แม้ข้าจะมองไม่ออกว่าพี่สามดีที่ตรงไหน ทว่า…ตรงนั้นมีขายเครื่องประดับหยก!” จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่องปุบปับ ผ่านไปครู่หนึ่งนางถึงได้ตระหนักในแผนร้ายของเขา
“ถ้าอยากรู้ก็ไปกับข้า แค่หัวถนนเท่านั้น พอซีเซิงออกมาก็มองเห็นพวกเรา” เขารีบเดินออกห่างร้านหนังสือ ฝนโปรยปราย เสวียนจีที่ถือร่มอยู่ได้แต่รีบซอยเท้าตามไป
ร้านหนังสืออยู่ใจกลางถนนใหญ่ ด้านหน้ามีแผงลอยตั้งประปรายรวมถึงร้านค้าเล็กๆ ขายของกินเล่น เนี่ยหยวนเฉี่ยวหยุดลงหน้าแผงขายเครื่องประดับหยก
“รีบมาสิเสวียนจี ข้าเปียกจนจะไม่สบายอยู่แล้ว”
เสวียนจีไม่เต็มใจอยู่เล็กน้อย ทว่าก็ยังคงก้มหน้าเดินไป นางไม่ค่อยอยากออกมาบนถนนเลยจริงๆ เพราะกลัวว่าจะทำให้เรื่องของนางถูกเปิดโปง แต่ในเมื่อคุณหนูสกุลจางไปคฤหาสน์สกุลเนี่ยก็สมควรจะไม่บังเอิญขนาดอยู่บนถนนก็ยังเจอคนสกุลจางด้วยกระมัง
“เจ้าก้มหน้าต่ำจนใกล้จะชนแผงของคนเขาอยู่แล้วนะเสวียนจี” เนี่ยหยวนเฉี่ยวยิ้มแฉ่ง ก่อนจะดึงผมนางเบาๆ ให้หน้านางเงยขึ้นมาเล็กน้อย “ดูสิ เช่นนี้จึงจะน่ามอง”
หน้าตาเขางดงามจนเหมือนเป็นคนในภาพวาด เพียงไม่นานก็ดึงดูดความสนใจของผู้อื่น หัวถนนมีผู้คนสัญจรไปมาไม่นับว่ามาก แต่ก็เพียงพอจะทำให้เกิดความปั่นป่วนเล็กๆ ได้
หน้าแผงขายน้ำเต้าหู้ บุรุษผู้หนึ่งเงยหน้าขึ้นมองตามเสียง ความประหลาดใจน้อยๆ แสดงออกมาบนใบหน้า ทั้งตัวเขาดูมอมแมมไปด้วยฝุ่น แขนเสื้อยังมีรอยปะหลายรอย เขาจ่ายเหรียญสำริด กำลังจะอมยิ้มเดินไปกลับพบว่าชายฉกรรจ์อายุสามสิบกว่าคนหนึ่งที่อยู่อีกโต๊ะหลังมีสีหน้าตกใจแล้ว ก้นบึ้งดวงตาก็มีความคิดสังหารวาบผ่าน “พ่อค้า แม่นางที่แต่งกายเป็นชายผู้นั้นคือใคร” เขาได้ยินชายฉกรรจ์ผู้นั้นลดเสียงลงสอบถาม
“หืม? ท่านถามถึงนายน้อยสิบสองแห่งคฤหาสน์สกุลเนี่ยหรือขอรับ เขาเป็นบุรุษทั้งแท่ง อย่าไปพูดเช่นนี้ต่อหน้าเขาเชียว มิเช่นนั้นจะถูกตีจนน่วม เอ๊ะ! ท่าน…ท่านยังไม่ได้จ่ายเงินเลย!”
มีดสั้นเลื่อนตกลงมาจากในแขนเสื้อ ชายฉกรรจ์กำด้ามไว้แล้วเดินไปที่แผงขายหยกอย่างรวดเร็ว
“เสวียนจี เจ้าชอบชิ้นไหน ข้าจะซื้อให้เจ้าเป็นรางวัลที่เจ้าออกมาเที่ยวเป็นเพื่อนข้าวันนี้” เนี่ยหยวนเฉี่ยวถือจี้หยกที่รูปแบบดูพิเศษสองสามชิ้นไว้ในมือ มากกว่าครึ่งล้วนเป็นของปลอม ไม่ว่าพ่อค้าจะบรรยายเสียน่าฟังอย่างไร ของปลอมก็ไม่อาจกลายเป็นของจริงได้ เรื่องนี้ต้องขอบคุณในคำสั่งสอนตั้งแต่เล็กของพี่สี่ที่บ่มเพาะเขาจนมีสายตาแหลมคมประดุจเหยี่ยวจนมองออก
“ขอบคุณนายน้อยสิบสองเจ้าค่ะ แต่เสวียนจีมิได้ขาดอะไร”
“ดูเจ้าใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คงมิใช่กำลังคิดถึงพี่สามของข้ากระมัง…ระวัง!” ยามนั้นเองตาเขามองไปด้านหลังเสวียนจี พลันคว้ามือนางไว้แล้วดึงตัวนางเข้าหา
มีดแทงเจอเพียงอากาศ!
“เจ้าเป็นใครมาจากไหน!” เนี่ยหยวนเฉี่ยวตวาด เขาไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน โดยทั่วไปตั้งแต่เล็กจนโตพี่สี่ล้วนปกป้องเขาจนเหมือนไข่ในหิน ไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ให้เขาได้ลับฝีมือ ทว่าเขายังถามไม่ทันจบ ชายฉกรรจ์ก็ยกมีดแทงมาอีกแล้ว
นัยน์ตาดำงดงามของเขาหรี่ลง พบว่ามีดของอีกฝ่ายแทงเข้าหาเสวียนจีก็ดึงตัวนางไปอยู่ด้านหลัง ก่อนจะใช้เท้าหนึ่งเตะมีดสั้นในมืออีกฝ่ายกระเด็นไป
“ยังไม่ไปเรียกเจ้าหน้าที่มาอีก?!” เนี่ยหยวนเฉี่ยวตะโกนใส่ผู้คนรอบๆ ด้วยโทสะ “อยากเห็นคนตายอยู่ตรงนี้หรือไร!”
ชายฉกรรจ์กระโจนมาประมือกับเขาอีกหลายกระบวนท่าอย่างไม่ถอดใจ เขาได้ประลองฝีมือในสถานการณ์จริงเช่นนี้เป็นครั้งแรก รู้สึกเพียงว่าอีกฝ่ายวิ่งเข้าชนแรงมากราวกับวัว ส่วนเขาอาศัยความว่องไว แต่จะเอาชนะได้หรือไม่ก็บอกได้ยาก
“กลับร้านหนังสือไป เสวียนจี!” เขาร้องบอกก่อนผลักตัวนาง
เสวียนจีตกตะลึงและใจสั่นก่อนจะค่อยๆ ได้สติกลับมา สองมือนางไร้แม้แรงจะมัดไก่ อยู่ตรงนี้ต่อมีแต่จะพาให้ยุ่งยากยิ่งขึ้น “เจ้าค่ะ ข้าจะไปหาคนมาช่วยเดี๋ยวนี้!” นางตอบพลางหมุนตัวจะวิ่งไปทางร้านหนังสือ
ชายฉกรรจ์เห็นดังนั้นก็คว้าไม้คานบนแผงลอยขึ้นมา ทำท่าเหมือนจะฟาดใส่เนี่ยหยวนเฉี่ยว แต่กลับเปลี่ยนทิศทางไปหานางในตอนท้าย
“จางไหวอัน ข้าต้องการให้เจ้าตาย!”
ทำนองเสียงของชายฉกรรจ์ติดสำเนียงท้องถิ่นอย่างหนัก จึงทำให้ฟังไม่ชัดเจนอยู่บ้าง เนี่ยหยวนเฉี่ยวไม่มีเวลาให้สนใจว่าเขาพูดอะไร กระโจนเอาตัวมาขวางท่อนไม้ยาวที่มาด้วยกำลังแรง กอดเสวียนจีเอาไว้
ทว่า…ท่อนไม้ไม่ได้ฟาดลงมา