องครักษ์หนึ่งในนั้นก้าวออกมาโค้งคำนับพร้อมพูดว่า “ใต้เท้า ในห้องเก็บของว่างเปล่าแล้ว ข้าน้อยลองเคาะผนังดู ไม่มีห้องลับอื่นขอรับ”
ลู่เยี่ยนพยักหน้า ก้มลงมองเสิ่นเจินแล้วพูดว่า “เจ้าบอกมาตามจริง มีเท่านี้หรือ”
เสิ่นเจินเงยหน้ามองเขา แววตาบริสุทธิ์ยิ่ง “เดิมทียังมีอีกบ้าง แต่เมื่อวานถูกคนทำลายทิ้งไป”
ลู่เยี่ยนย้อนคิดเหตุการณ์เมื่อวานครู่หนึ่งจึงส่งเสียงตอบ “อืม”
ไม่ช้าท่านหมอสามคนก็เดินเข้ามา พวกเขาเปิดขวดเหล่านั้นออกทีละขวด ดมดู ใช้นิ้วบด ดมดูอีกครั้ง แล้วใช้นิ้วบดอีกครั้ง หลังจากตรวจสอบทั้งหมดเวลาก็ผ่านไปเต็มหนึ่งชั่วยามแล้ว
พวกเขารายงานทีละคนจากซ้ายไปขวา “เรียนใต้เท้า ตลับหลายใบนี้เป็นผงชาดชั้นเลิศ เป็นของที่หญิงสาวใช้กัน ขวดปากแคบหลายใบนี้เป็นน้ำมันผมหอม ทางนี้ยังมีสีผึ้งทาปากที่เพิ่งทำออกมาไม่นานจำนวนหนึ่ง”
อีกคนพูดว่า “ทางข้าล้วนเป็นผงที่ขนมาจากแดนไกล เป็นผงแป้งขาวของหังโจว”
ทางด้านคนสุดท้ายมีหลายประเภทที่สุด การพูดของเขาค่อนข้างช้า พูดอย่างเนิบนาบว่า “ที่ข้านี้ล้วนเป็นพวกวัตถุดิบเครื่องหอม นอกจากมีชะมดเชียง อบเชย ดอกเบญจมาศ ดอกมะลิ ยังมีกำยานเส้น กำยานขด กำยานก้อน หมอนหอม ไม่มีอย่างอื่นเลย”
ลู่เยี่ยนเป็นรองผู้ว่าการนครหลวงย่อมรู้จักยาจำนวนหนึ่ง หลังจากเขาอดทนฟังจนจบก็ขมวดคิ้วแน่น พูดเสียงเข้มว่า “ตรวจสอบละเอียดแล้วหรือ”
ทั้งสามคนพยักหน้าพร้อมกันและพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ตรวจสอบละเอียดหมดแล้วขอรับ”
เห็นได้ชัดว่าลู่เยี่ยนไม่เชื่อผลลัพธ์นี้ เขาใช้หางตากวาดมองสีหน้าเคร่งเครียดของเสิ่นเจินและมือเล็กที่สั่นเทาแวบหนึ่งก็คิดขึ้นในทันใดว่าต้องมีที่ใดหลุดรอดไปแน่นอน
หลังนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ลู่เยี่ยนจึงหันไปพูดกับทุกคนว่า “พวกเจ้าออกไปก่อน ไม่มีคำสั่งของข้าห้ามปล่อยคนเข้ามา”
เมื่อทุกคนออกไปแล้ว ในเวลานี้ภายในห้องเหลือเพียงพวกเขาสองคน
ลู่เยี่ยนกวาดตามองไปรอบห้องอย่างรวดเร็วหนึ่งรอบ สุดท้ายสายตาก็ไปหยุดที่บนตู้ไม้จันทน์หอมตัวเตี้ยฉลุลายตู้หนึ่ง
บนนั้นวางพัดไว้สองเล่ม เล่มหนึ่งพัดใบผูที่ปักรูปดอกไห่ถังอีกเล่มเป็นพัดจีบที่วาดภาพศาลาริมน้ำจวินอันเอาไว้
เขาเดินเข้าไปหยิบพัดจีบ สะบัดคลี่ให้กางออกแล้วหมุนตัวมา
เสิ่นเจินคิดว่าเมื่อครู่ถือว่าจบเรื่องแล้ว เห็นลู่เยี่ยนเดินมาตนเองอีกครั้งก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าวและพูดว่า “นี่ใต้เท้าจะทำอะไร”
ลู่เยี่ยนไม่พูดอะไรกับนางมาก ใช้ร่างกายที่สูงใหญ่ของเขาและบารมีของการเป็นขุนนางมานานบีบนางไปชิดผนัง
เพียงชั่วพริบตาชุดขุนนางสีม่วงเข้มนั้นก็อยู่ห่างจากเสิ่นเจินเพียงครึ่งเชียะเท่านั้น
เสียงของเขาบางเบาราวกับลมหนาวประหลาดวูบหนึ่ง “คุณหนูเสิ่นให้ความร่วมมือข้าค้นตัวด้วย ยกแขนขึ้นมา”
เสิ่นเจินมีชาติกำเนิดเป็นบุตรสาวภรรยาเอกจวนโหว ไม่เหมือนหญิงสาวทั่วไปที่เห็นคนของทางการแล้วก็กลัวเกรงอย่างมากจนยินยอมทุกอย่าง นางกลัวก็ส่วนกลัว แต่ยังคงมีสติอยู่บ้าง “ข้าว่าใต้เท้าลู่ทำแบบนี้ไม่เหมือนมาทำงานของทางการ แต่เหมือนมารังแกข้าซึ่งเป็นหญิงสาวที่ไม่มีทางสู้ผู้หนึ่ง”
ลู่เยี่ยนได้ยินนางพูดเบี่ยงเบนเป้าประสงค์จึงหัวเราะเยาะพลางเอ่ยว่า “ถ้าข้าคิดรังแกเจ้าย่อมมีเป็นพันหมื่นวิธี อย่าพูดเล่นลิ้น ยกแขนขึ้น”
เสิ่นเจินแม้จะกลัว แต่ยังคงกัดฟันพูดว่า “ที่ว่าการนครหลวงไม่มีเจ้าหน้าที่หญิงหรือ”
ลู่เยี่ยนไม่พูดจา แต่แววตาเย็นชาและพร้อมจู่โจมนั้นกำลังบอกนางว่า ‘อย่าบีบให้ข้าลงมือ’