หลังแน่ใจว่าลู่จยาหมดสติแล้ว เฉิงอี้เหิงก็กลับไปทำการผ่าตัดต่อทันที
เมื่อการผ่าตัดสิ้นสุดลง ลู่จยาก็ถูกเข็นมายังห้องพักผู้ป่วย ครึ่งชั่วโมงต่อมายาสลบก็ค่อยๆ หมดฤทธิ์ ลู่จยาได้สติฟื้นขึ้นมาแล้วก็รีบคลำหาโทรศัพท์ของโรงพยาบาลซึ่งอยู่ข้างหัวเตียงเพื่อโทรหาเฉิงอี้เหิงทันที
‘คุณหมอเฉิง คุณรักษาอนาคตของคุณไว้ได้ใช่ไหม’
เฉิงอี้เหิงที่เพิ่งหลับไปได้ไม่นานถูกเสียงโทรศัพท์ปลุกให้ตื่น เขาตอบกลับเธอด้วยน้ำเสียงแหบพร่าและอ่อนแรง ‘รักษาไว้ได้’
‘ยินดีด้วยนะ’ ลู่จยาพูดจบก็วางสายไป
เฉิงอี้เหิงเหนื่อยจนหมดแรงจึงหลับลึกต่อไปอีกครั้ง
เมื่อเฉิงอี้เหิงตื่นขึ้นก็ตกใจแทบแย่ที่เห็นลู่จยาใช้ไม้ค้ำมายืนอยู่ตรงหน้าต่างติดทางเดินของห้องทำงานเธอกำลังมองเขาอยู่นิ่งๆ ไม่ขยับไปไหน มองจนเขาเย็นสันหลังวาบ
‘คุณลู่มีอะไรหรือเปล่า’
‘ฉันจะได้ออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไหร่เหรอ’
ได้ยินเช่นนั้นเฉิงอี้เหิงก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ที่แท้เธอมาถามเรื่องนี้นี่เอง แต่ท่าทางของลู่จยาตอนถามคล้ายกับท่าทางของนักฆ่าที่ถามว่า ‘ตอนนี้ฉันฆ่าคุณได้ไหม’ ทำเอาเขาตกใจจนขนลุกขนพอง
ตั้งแต่ที่เขารับเคสของลู่จยามาดูแล และลู่จยาได้ใช้คอมพิวเตอร์ในห้องทำงานของเขาสั่งซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ให้ตัวเองแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ลู่จยาต้องโทรศัพท์มาหาเขาโดยไม่สนใจว่าจะเป็นตอนเช้าตรู่หรือยามดึกดื่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะเป็นตอนเขาทำงานอยู่หรือเลิกงานไปแล้ว
สำหรับลู่จยาเวลาไม่ใช่ประเด็น
‘คุณยังต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลต่ออีกสักระยะ และต่อให้ออกจากโรงพยาบาลไปแล้วก็ยังต้องติดตามอาการหลังผ่าตัดอยู่ ถ้าคุณฟื้นตัวได้ดี สักประมาณเดือนนึงก็น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้แล้วครับ แต่ถ้าฟื้นตัวได้ไม่ดีเท่าที่ควรเวลาที่ต้องอยู่ในโรงพยาบาลก็จะนานขึ้น’ เฉิงอี้เหิงรู้ว่าลู่จยาจะต้องถามถึงระยะเวลาที่ชัดเจน ดังนั้นเขาจึงพยายามตอบไปให้ครอบคลุมที่สุด ‘นั่นมันนานเกินไปน่ะสิ’ ลู่จยาตัดพ้อ
‘ไม่ถือว่านานนะครับ บาดเจ็บที่กระดูกหรือเส้นเอ็นยังต้องรักษาเป็นร้อยวัน…’ ขณะที่เฉิงอี้เหิงพูดอยู่ ลู่จยาก็ใช้ไม้ค้ำค่อยๆ เขยกพาตัวเองออกไปจากห้องพักของเขา ในตอนนั้นเองเขาถึงเพิ่งจะรู้ว่า ‘นั่นมันนานเกินไปน่ะสิ’ คือคำพูดที่ลู่จยาพูดกับตัวเอง ไม่ได้พูดกับเขา
เขารู้สึกว่าเธออาจจะกำลังหาวิธีร่นระยะเวลาในพักฟื้นของตัวเอง
เห็นท่าทางของลู่จยาแล้ว เฉิงอี้เหิงก็อยากจะหัวเราะขึ้นมาซะยังงั้น แต่อาจเป็นเพราะเขาเหนื่อยจากการผ่าตัดที่ยาวนานจึงทำให้ปฏิกิริยาของร่างกายทำงานช้ากว่าสมอง และแล้วเฉิงอี้เหิงเปล่งเสียงหัวเราะออกมาจริงๆ
ลู่จยาได้ยินเสียงหัวเราะก็หยุดเดินแล้วหันกลับมามองด้วยความฉงน ‘คุณหมอเฉิงหัวเราะอะไรเหรอ’
เฉิงอี้เหิงรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาด้วยอาการร้อนรน ‘ในนี้มีข้อความตลกๆ น่ะครับ’
และเป็นเพราะเขาร้อนรนมากจึงถือโทรศัพท์ไว้ไม่แน่นพอจนทำมันตกกระแทกพื้นหน้าจอแตกเป็นรอยร้าวเหมือนใยแมงมุม
เฉิงอี้เหิงส่งเสียงร้องเบาๆ ด้วยความตกใจ ขณะที่ลู่จยามองรอยร้าวที่หน้าจอโทรศัพท์ของแพทย์หนุ่มด้วยสายตาเรียบเฉยก่อนใช้ไม้ค้ำพยุงตัวเองเดินจากไป
แต่แล้วเธอก็ต้องหันกลับมาที่ห้องพักของเฉิงอี้เหิงอย่างรวดเร็ว ท่าทางของเธอดูร้อนรน การเคลื่อนไหวก็ดูไม่ค่อยสะดวกนัก ลู่จยาเดินตุปัดตุเป๋ ไม้ค้ำก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน