‘รีบปิดประตูเร็ว!’ ลู่จยาร้องบอกอย่างเร่งรีบ
เฉิงอี้เหิงไม่มีเวลาจะอาลัยอาวรณ์โทรศัพท์มือถือของตัวเอง เขาลุกขึ้นมาประคองลู่จยาไว้อย่างรวดเร็ว ‘เกิดอะไรขึ้น’
ลู่จยาดันแขนของเขาออกอย่างระมัดระวัง ส่งเสียงออกคำสั่งอย่างโหดๆ ว่า ‘ปิดประตู!’
เฉิงอี้เหิงปิดประตูทันที แต่ปิดไปได้เพียงนิดเดียวก็มีคนที่ถือกล้องแทรกตัวเข้ามาได้ครึ่งตัวแล้วตามมาด้วยเสียงชัตเตอร์ดังแชะๆ รัวๆ จากนั้นชายคนนั้นก็ตะโกนออกมาไม่หยุด
‘คุณลู่! การเสียชีวิตของคุณฮว่าถิงเกี่ยวข้องกับคุณหรือเปล่า ได้ยินมาว่าคุณไม่ต้องการให้เธอชนะการแข่งขันในทัวร์นาเมนต์นี้ ก่อนการแข่งขันเพียงวันเดียวคุณจึงนัดคุณฮว่าถิงออกไปท้าประลอง คุณอธิบายได้ไหมว่าทำไมถึงทำแบบนั้น’
กล้องในมือของนักข่าวส่งเสียงราวกับปืนยาวกำลังกระหน่ำถ่ายภาพของลู่จยาไม่หยุด เธอทำได้แค่นั่งฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะทำงานของเฉิงอี้เหิงเพื่อหลบกล้อง และเพราะก่อนหน้านี้เธอกระหืดกระหอบเขยกตัวกลับมาที่ห้องพักของแพทย์หนุ่ม ตอนนี้จึงได้แต่นั่งหอบอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้
ลู่จยาที่เวลานี้ฟุบหัวลงกับโต๊ะเพื่อหลบนักข่าวกำลังกัดฟันแน่นพร้อมยกมือขึ้นปิดหู สีหน้าของเธอดูทุกข์ทรมานอย่างมาก
เฉิงอี้เหิงเห็นอย่างนั้นจึงใช้ตัวเองบังลู่จยาเอาไว้ เขาพยายามจะผลักนักข่าวออกไป ‘ขอโทษนะครับ ที่นี่เป็นที่ทำงานของผม ไม่อนุญาตให้สัมภาษณ์อะไรใดๆ ทั้งสิ้น’
นักข่าวเบนความสนใจมาที่เฉิงอี้เหิง ‘ขอถามหน่อยนะ คุณเป็นหมอที่รับผิดชอบการรักษาของลู่จยาใช่ไหม คุณมีความคิดเห็นยังไงกับการกระทำของลู่จยา นี่มันฆาตกรชัดๆ แต่เธอกลับหลบเลี่ยงการลงโทษของกฎหมายได้…ระหว่างกฎหมายกับความรู้สึกคุณจะเลือกอะไร’
ปัง!
เสียงของนักข่าวที่น่ารำคาญนั่นถูกกันอยู่ด้านนอกเรียบร้อยหลังจากที่เขาปิดประตูใส่เสียงดัง แต่ในห้องก็ยังได้ยินเสียงตบประตูอยู่เบาๆ
เฉิงอี้เหิงหันกลับไปอีกทีก็พบว่าลู่จยาขึ้นไปนอนคว่ำหน้าอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา ขาของเธอข้างที่เข้าเฝือกอยู่ห้อยออกมา ชุดคนไข้ที่ไม่พอดีตัวนั่นยิ่งทำให้เธอดูผอมบางมาก
ตอนลู่จยาถูกส่งตัวมาที่โรงพยาบาล นักแข่งสาวยังใส่ชุดที่ใส่อยู่เป็นประจำซึ่งพวกสื่อก็ถ่ายภาพเอาไว้ได้ มันเป็นเสื้อแจ็กเก็ตสีดำกับกางเกงหนังและรองเท้าบูต เครื่องสำอางบนใบหน้าของเธอทำให้ดูเหมือนคนหยิ่งยโสไม่เห็นหัวใคร และถึงแม้บนใบหน้านั้นจะมีรอยเลือดเปื้อนอยู่แต่ก็ยังทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกได้ว่าตอนเธอมีสติจะต้องเป็นที่คนน่าเกรงขามมากแน่ๆ
เขาไม่คิดเลยว่าหน้าสดของเธอจะซีดเซียวจืดชืดดูไม่สดใส แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังดูอ่อนโยนมากเช่นกัน
‘คุณไม่เป็นไรใช่ไหม’ เฉิงอี้เหิงวางมือบนไหล่ของลู่จยา เขารู้สึกว่าอยากจะเอาใจใส่เธออีกสักนิด
ลู่จยาผลักมือของเขาออก
‘ไม่ต้องมายุ่ง! ฉันจะออกจากโรงพยาบาล’ ลู่จยาพูดด้วยท่าทางแข็งขืน
เฉิงอี้เหิงชะงักไปเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกา ‘นี่ก็ตีหนึ่งแล้ว แผนกการเงินส่วนกลางก็เลิกทำงานไปตั้งนานแล้วครับ ตอนนี้คงไปทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลไม่ได้หรอก’
ความจริงเฉิงอี้เหิงกำลังโกหกเธอ จริงๆ แล้วแผนกการเงินมีคนทำงานตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
‘คุณไปทำเรื่องให้ฉันหน่อยเถอะ ฉันจะออกจากโรงพยาบาลตอนนี้เลย’ ลู่จยาพูดอย่างเด็ดขาด ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินไปเปิดประตู
เฉิงอี้เหิงดึงข้อมือของเธอเอาไว้ ‘คุณไม่กลัวว่านักข่าวน่ารังเกียจพวกนั้นจะเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูรึไง เขายังไม่ได้กินเนื้อไก่ยังไงก็ไม่มีทางรามือไปง่ายๆ หรอก’
ดวงตาของลู่จยากลอกไปมา ดูเหมือนกำลังทบทวนสิ่งที่เฉิงอี้เหิงพูด
‘ทำไมพวกเขาต้องกินเนื้อไก่ด้วย’
‘…’ เฉิงอี้เหิงคิดว่าลู่จยาคงไม่ค่อยเข้าใจสำนวน ‘เพียงพอนเหลืองมาเยี่ยมเยือนไก่วันปีใหม่’ แต่ถือว่าโชคดีที่เฉิงอี้เหิงใช้เรื่องนักข่าวมาหยุดลู่จยาเอาไว้ได้ เธอจึงไม่ได้เรียกร้องจะออกจากโรงพยาบาลอีก
ลู่จยานั่งอยู่ในห้องพักของเฉิงอี้เหิง ขาข้างที่เข้าเฝือกวางพาดอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา ‘ถ้าวันนี้ฉันหนีไปคุณจะถูกตำหนิไหม’
เฉิงอี้เหิงนิ่งไป ลู่จยาคิดว่าต้องเป็นเพราะแบบนี้แน่ๆ เขาถึงไม่ยอมให้เธอออกจากโรงพยาบาลไป
‘นี่ก็ดึกมากแล้ว ทำไมคุณไม่เลิกงานซะทีล่ะ’
‘ผม…อยู่เวรวันนี้’
‘งั้นคุณช่วยฉันจัดการกับพวกนักข่าวได้ไหม’ ลู่จยาโพล่งออกไป