ลู่จยาเคาะประตูห้องทำงานของเฉิงอี้เหิงสามครั้ง แพทย์หนุ่มที่กำลังเขียนหนังสืออยู่จึงเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นเธอแล้วเขาก็เผยยิ้มออกมาเล็กน้อยอย่างสุภาพ ‘คุณลู่ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ’
‘คุณหมอเฉิง ฉันได้ยินมาว่าคุณเป็นหมอที่มีอนาคตไกลที่สุดของโรงพยาบาลนี้’ ลู่จยาจ้องไปที่ป้ายบนหน้าอกของเฉิงอี้เหิงก่อนจะพูดต่อ ‘ฉันหวังว่าคุณจะสามารถรักษาขาของฉันเอาไว้ได้ แล้วก็สามารถรักษาอนาคตของคุณเอาไว้ได้ด้วยเช่นกันนะคะ’
เฉิงอี้เหิงยิ้ม ‘สิ่งที่สำคัญไม่ใช่อนาคตของผมหรอกครับ แต่เป็นขาของคุณลู่ต่างหาก เอาเป็นว่าผมจะทำอย่างสุดความสามารถครับ’
ลู่จยาส่ายหัว ‘ไม่ใช่สุดความสามารถ แต่คุณต้องทำได้สำเร็จเลยล่ะ เพราะถ้าฉันเกิดพิการไป ชีวิตที่เหลือของคุณจะต้องลำบากแน่นอน’
การผ่าตัดจะเริ่มขึ้นในอีกสามวันข้างหน้า
เคสของลู่จยานอกจากจะเป็นเคสที่ยากมากสำหรับเฉิงอี้เหิง ยังถือว่าเป็นการผ่าตัดที่เสี่ยงมาก หมอโจวรองหัวหน้าแผนกกระดูกซึ่งเป็นถึงศาสตราจารย์แพทย์จึงได้ตอบรับที่จะเป็นผู้สังเกตการณ์และให้คำชี้แนะอยู่ข้างๆ เผื่อว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมาก็จะได้ช่วยเฉิงอี้เหิงได้ทันท่วงที
ลู่จยาไม่มีความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับแผนการผ่าตัดในครั้งนี้
ในบรรดาคำถามที่คนไข้ชอบถามมากที่สุดนั่นก็คือ การผ่าตัดมีโอกาสสำเร็จกี่เปอร์เซ็นต์ แต่ลู่จยากลับไม่คิดจะถามเลยสักนิด
เพราะสำหรับเธอแล้วหากไม่ใช่หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ นั่นก็เท่ากับศูนย์
ก่อนการผ่าตัดจะเริ่มขึ้น ทางโรงพยาบาลนำเอกสารยินยอมรับการรักษามาให้ลู่จยาและเฉิงอี้เหิงเซ็น ในทีแรกทั้งคู่เห็นไม่ตรงกัน
สำหรับลู่จยาแล้วเธอคิดว่าแค่เฉิงอี้เหิงยอมเสี่ยงชื่อเสียงและอนาคตของตัวเองมาผ่าตัดให้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่กดดันเขาไม่น้อยแล้ว จึงไม่อยากจะเซ็นสัญญาเพื่อเพิ่มความกดดันอะไรให้เขาอีก
ทว่าทันทีที่เฉิงอี้เหิงรู้ว่าลู่จยาไม่ได้เซ็นเอกสาร เขาก็รีบร้อนวิ่งมาหาเธอที่ห้องพักคนไข้
‘คุณลู่! ผมได้ยินมาว่าคุณไม่ได้เซ็นเอกสารใช่ไหม’
‘ใช่’ ลู่จยาตอบเขาอย่างไม่ใส่ใจในขณะที่ดูการแข่งขันเอฟวันพร้อมกับกินผลไม้ไปด้วย
‘จากความเห็นส่วนตัวของผมนะ คุณควรจะเซ็นซะ เพราะหากมีการเปลี่ยนแปลงแผนการรักษาขึ้นมาคุณยังสามารถปฏิเสธที่จะรับการรักษาได้ อีกอย่าง การเซ็นเอกสารยังเป็นผลดีทั้งกับคุณและผม’
‘ไม่มีคำว่าหากคุณหมอเฉิง’ ลู่จยาขัดขึ้นมา ‘คุณไปทำงานเถอะค่ะ ไม่ต้องมาให้ฉันเซ็นเอกสารอะไรนั่นหรอก ยังไงฉันก็ไม่เซ็น’ เธอไม่เห็นว่าเอกสารนั่นจะมีความสำคัญอย่างไรกับการผ่าตัด เพราะยังไงแล้วเธอก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจจะไม่ผ่าตัดอย่างแน่นอน
‘งั้น…’ เฉิงอี้เหิงถามต่อ ‘ครอบครัวของคุณล่ะ คุณจะไม่แจ้งพวกเขาสักหน่อยเหรอ ยังไงซะคุณก็ควรจะหารือกับพวกเขาก่อน’
‘ฉันเป็นเด็กกำพร้า’ ลู่จยาวางส้มในมือลง ‘พ่อกับแม่ของฉันเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตตอนที่ฉันอายุสิบสี่’
‘แล้วยังมีคนอื่น…’
‘ไม่มี’ อารมณ์ของลู่จยาชักเริ่มจะกรุ่นๆ ‘คุณหมอเฉิง คุณรีบไปเถอะค่ะ อย่ามารบกวนตอนฉันดูแข่งรถเลย คุณไปเตรียมแผนการผ่าตัดให้มันออกมาดีๆ เถอะ’
ทว่าหลังจากนั้นเฉิงอี้เหิงก็ได้เข้ามาคุยกับเธออีกครั้งและยื่นไม้ตายว่าหากเธอไม่เซ็นเอกสารเขาก็จะไม่ผ่าขาให้ ลู่จยาจึงต้องยอมเซ็นเอกสารนั่น
ก่อนการผ่าตัดหนึ่งวัน เฉิงอี้เหิงก็เข้ามาตรวจอาการและพูดคุยกับลู่จยาเหมือนเคย ลู่จยาที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยขาถูกแขวนเอาไว้กำลังดูภาพการแข่งขันเมื่ออาทิตย์ก่อนเพื่อวิเคราะห์การแข่งขันที่ผ่านมาของตัวเองว่าเป็นอย่างไรบ้าง
เฉิงอี้เหิงเข้ามายืนมองเธออยู่ใกล้ๆ ก็เอ่ยถามขึ้น “ใกล้จะผ่าตัดอยู่แล้ว คุณไม่กังวลสักนิดเลยเหรอ”
‘เพราะใกล้ผ่าตัดแล้วน่ะสิ อีกไม่นานฉันก็จะกลับไปที่สนามแข่งแล้วเลยต้องรีบๆ ใช้เวลานี้ในการวิเคราะห์การแข่งไงล่ะ’ ลู่จยามั่นใจมากว่าตัวเองจะได้กลับไปสนามแข่งอีกครั้ง
เฉิงอี้เหิงเห็นเธอมั่นใจขนาดนี้ก็พยายามหาเรื่องคุย “ผมเคยดูการแข่งขันของคุณด้วย”
‘เหรอ’ ลู่จยาเลิกคิ้ว ‘แล้ว…’
‘คุณลู่ ผมรู้สึกว่าคุณสุดยอดมาก’
‘ขอบคุณค่ะ ฉันหวังว่าการผ่าตัดของคุณจะสุดยอดเหมือนกับเทคนิคการแข่งรถของฉันนะคะ’ ลู่จยาเอ่ยขึ้น