ตอนแรก วันและเวลาในการผ่าตัดได้ถูกกำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว แต่จู่ๆ หมออู๋รองหัวหน้าแผนกกระดูกอีกคนก็เกิดไม่พอใจขึ้นมา เขาไม่ยอมให้เฉิงอี้เหิงเป็นหัวหน้าทีมผ่าตัดของลู่จยา
เหตุผลง่ายๆ ที่รองหัวหน้าแผนกอู๋บอกก็คือ
‘ตอนนี้ลู่จยาถือว่าเป็นคนดังมาก และการผ่าตัดครั้งนี้ทั้งยาก ทั้งยังมีโอกาสสำเร็จน้อยมากอยู่แล้ว หากการผ่าตัดล้มเหลวขึ้นมาก็จะต้องมีคนสงสัยในความสามารถของโรงพยาบาลของเราอย่างแน่นอน และยังเป็นการทำลายภาพลักษณ์ของแผนกกระดูกอีกด้วย แต่ถ้าผ่าตัดสำเร็จขึ้นมา…พวกผู้คนข้างนอกนั่นกำลังพูดกันว่าเธอเป็นคนทำให้ฮว่าถิงเสียชีวิตและกำลังโจมตีเธออยู่ โรงพยาบาลของเราก็จะเดือดร้อนไปด้วย’
คุณหมอโจวซึ่งเป็นรองหัวหน้าแผนกกระดูกเช่นกัน ทั้งยังเป็นอาจารย์ของเฉิงอี้เหิงก็ออกมาช่วยโต้แย้ง ‘คนเป็นหมอมีจิตใจเมตตาประหนึ่งบิดามารดา ต่อให้เป็นผู้ร้ายทำความผิด ควรจะช่วยพวกเราก็ต้องช่วย หน้าที่ของเราคือช่วยชีวิต การตัดสินคนผิดมันเป็นหน้าที่ของศาล’
‘แล้วถ้าการผ่าตัดล้มเหลวขึ้นมา หมอโจวจะลาออกเพื่อรับผิดชอบไหมล่ะ’ หมออู๋โต้กลับอย่างไม่เกรงใจ
บรรยากาศตรงนั้นเต็มไปด้วยความตึงเครียด ทุกคนต่างรู้ว่าตอนนี้หัวหน้าแผนกกำลังจะเกษียณเพื่อไปเป็นคณบดีกิตติมศักดิ์ ดังนั้นตำแหน่งหัวหน้าแผนกกระดูกจึงว่างลง ทำให้รองหัวหน้าแผนกทั้งสองคนที่ต่างก็รอเวลานี้กันมานานจึงไม่มีใครยอมปล่อยโอกาสไปง่ายๆ ความสามารถและชื่อเสียงของแพทย์ทั้งสองคนต่างก็มีพอๆ กัน ในตอนนี้จึงไม่สามารถตัดสินได้ว่าใครเหนือกว่าใคร หมออู๋และหมอโจวจึงได้แต่พยายามหากำลังมาสนับสนุนตัวเองเพื่อที่จะได้มีแต้มต่อในการเจรจาตกลงขั้นสุดท้าย
หมอโจวจึงได้แต่กัดฟันรับข้อเสนอของหมออู๋
การแย่งชิงตำแหน่งนี้ดำเนินไปอย่างดุเดือด
ด้านเฉิงอี้เหิงเองก็รู้สึกกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะหากเขายังยืนกรานที่จะทำการผ่าตัดให้ลู่จยา นอกจากจะเป็นการเดิมพันด้วยชื่อเสียงและอนาคตของตัวเองแล้ว ยังต้องเดิมพันด้วยอนาคตของคนที่เป็นทั้งอาจารย์และเป็นเพื่อนอย่างหมอโจวซึ่งคอยดูแลเขามาตลอดด้วย
หลังจากลู่จยาได้ยินเรื่องราวความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เธอก็ใช้ไม้ค้ำพาตัวเองไปหาเฉิงอี้เหิง ตั้งใจว่าจะไปหยอกล้อเขาสักหน่อย
‘ไม่คิดเลยว่าฉันจะมีความสามารถมากขนาดนี้ ถึงกับทำให้หมอกระดูกคนกล้าเซไปเลย…’
เพราะเฉิงอี้เหิงนั่งหันหลังอยู่จึงไม่รับรู้ถึงการมาของลู่จยา เขากำลังมองมือถือด้วยท่าทางเหม่อลอย พอได้ยินเสียงของลู่จยาก็ตกใจ รีบปิดหน้าจอมือถือ
ทว่าก่อนที่เฉิงอี้เหิงจะปิดหน้าจอมือถือ ลู่จยาก็เห็นรูปของผู้หญิงคนหนึ่งในนั้น แต่เพราะเขาปิดจอโทรศัพท์ลงอย่างรวดเร็วเธอจึงเห็นรูปไม่ชัดนัก รู้แค่ว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ผู้หญิงที่สามารถทำให้เฉิงอี้เหิงมานั่งดูรูปถ่ายในสภาวะที่มีแต่ความกดดันมากมายขนาดนี้ได้ก็คงจะเป็นคนที่เขาชอบอยู่ล่ะมั้ง
เฉิงอี้เหิงท่าทางเหมือนคนถูกจับได้ว่าทำผิด รีบลุกขึ้นอย่างร้อนรน ‘คุณลู่รีบกลับไปพักผ่อนที่ห้องเพื่อรอการผ่าตัดเถอะครับ ออกมาเดินไปทั่วแบบนี้มันไม่ดีกับขาคุณเลยนะ’
ลู่จยาเบะปากแล้วกลับไปยังห้องพัก
เวลาผ่าตัดถูกกำหนดไว้ในตอนเช้า ซึ่งจะใช้เวลาผ่าตัดทั้งหมดสิบเอ็ดชั่วโมงด้วยกันคือตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนพระอาทิตย์ตก เฉิงอี้เหิงต้องเปลี่ยนชุดเพราะมันเปียกชื้นถึงสามครั้ง และระหว่างการผ่าตัดเขาต้องหยุดพักไปถึงห้าครั้ง
เมื่อไฟหน้าห้องผ่าตัดดับลง ลู่จยาและเฉิงอี้เหิงก็ถูกเข็นออกมาพร้อมกัน
ในตอนที่เขาเย็บแผลเข็มสุดท้ายและตรวจสอบทุกอย่างเรียบร้อยแล้วนั้น เฉิงอี้เหิงก็หมดแรงจนทรุดตัวลงกับพื้น พยาบาลจึงต้องพยุงเขาขึ้นมานั่งบนวีลแชร์จากนั้นก็เข็นออกมา หมอโจวซึ่งยืนดูการผ่าตัดอยู่ตลอดวางมือหนักๆ ลงบนบ่าของเขา ‘เฉิงอี้เหิง ไม่เสียทีที่นายเคยเป็นนักเรียนแพทย์ที่ดีที่สุดของฉัน นับว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่อนาคตไกลจริงๆ’
เมื่อการผ่าตัดประสบความสำเร็จ หมออู๋ก็สะบัดแขนเดินออกไปทันที ส่วนหมอโจวนั้นก็ดูหน้าตาอิ่มเอิบ สถานการณ์ในตอนนี้พลิกกลับอย่างชัดเจน
ในระหว่างการผ่าตัดที่ยาวนานนั้นมีบางครั้งที่ลู่จยาสะลึมสะลือขึ้นมาระหว่างการผ่าตัด เฉิงอี้เหิงซึ่งอยู่ในชุดผ่าตัดเต็มยศเหลือบตาขึ้นจากขาของเธอที่เขากำลังผ่าอยู่ เขาชะโงกตัวไปมองลู่จยาผ่านแว่นกันของเหลวเห็นเหงื่อเม็ดโตๆ ผุดขึ้นมาบนหน้าผากของเธอ วิสัญญีแพทย์เห็นดังนั้นจึงรีบเข้ามาเพิ่มยาสลบให้กับลู่จยาทันที