บทที่สิบเอ็ด
“พอได้ยินเรื่องฐานะของแม่นางเชี่ยนอวิ๋น สะใภ้สามประหนึ่งจับจุดอ่อนที่ใหญ่เทียมฟ้าได้ เมื่อวานจึงฉวยโอกาสตอนคุณชายสามตกน้ำไม่ได้สติจับนางมัดไว้ ทรมานเสียจนไม่เป็นผู้เป็นคน แม่นางเชี่ยนอวิ๋นผู้นั้นก็รู้ว่าเมื่อใดที่ยอมรับแล้ว คุณชายสามก็ช่วยนางไม่ได้ จึงกัดฟันทน ภายหลังสะใภ้สามเหนื่อยแล้ว จึงขังนางไว้ในห้องเก็บฟืน เดิมตั้งใจว่าวันนี้จะสอบปากคำด้วยการทรมานต่อ คิดไม่ถึงว่าแม่นางเชี่ยนอวิ๋นจะฉวยโอกาสตอนสะใภ้สามไปคารวะพ่อแม่สามี ติดสินบนหญิงรับใช้สูงวัยที่เฝ้าอยู่ หลังจากคุณชายสามทราบเรื่องก็เดือดดาลขึ้นมาทันที สะใภ้สามกลับมาจากคารวะผู้ใหญ่ เขาก็ลงมือลงไม้ตบตี สะใภ้สามเดิมก็ร้ายกาจไม่ฟังเหตุผลอยู่แล้ว มาถูกตบตี ไหนเลยจะยินยอม ร้องตะโกนอย่างไม่คิดชีวิต บอกคุณชายผู้องอาจผึ่งผายของจวนกั๋วกงแต่งหญิงนางโลมที่พันคนขี่หมื่นคนคร่อมกลับมา นับเป็นอะไรได้”
พูดพลางสี่จวี๋ก็หันกลับไปมองเรือนชิ่นย่วน “กำลังโวยวายจะกลับบ้านเดิม ทั้งจะรายงานนายหญิงใหญ่ และจะพบประมุขตระกูล ไม่ยอมเลิกราแต่โดยดี”
“สวรรค์! ครานี้เอาไม้ไปแหย่รังแตนเข้าจริงๆ แล้ว!”
ได้ยินแล้วป้าสวี่อุทานออกมาด้วยความตื่นตะลึง สี่จวี๋พยักหน้า
“เห็นฐานะของแม่นางเชี่ยนอวิ๋นถูกเปิดโปงแล้ว คุณชายสามก็กลัว ปิดประตูใหญ่ขวางไว้ ไม่กล้าให้สะใภ้สามออกมา กำลังเกลี้ยกล่อมหลอกล่ออยู่ ด้านหนึ่งก็ส่งคนไปเชิญสะใภ้ใหญ่มาไกล่เกลี่ยให้คืนดีกัน ในจวนแห่งนี้ก็มีเพียงสะใภ้ใหญ่ที่เอานางอยู่…บ่าวเห็นท่าไม่ดีจึงวิ่งออกมาก่อน”
ครั้งนี้เกรงว่าเหยาหลันก็คงเอาไม่อยู่แล้ว ฟังต้นสายปลายเหตุเหล่านี้แล้วทุกคนต่างส่ายหน้าทอดถอนใจ
อยากจะกลับตัวเป็นคนดีแต่งงานมีสามีเป็นตัวตน ก็ควรหาครอบครัวคนธรรมดาแต่งงานไปเสีย สามารถรักษาชีวิตให้ปลอดภัยกินอิ่มนอนอุ่น กลับมาละโมบในความรุ่งเรืองเฟื่องฟูของจวนกั๋วกงแห่งนี้ เข้าใจว่านับแต่นี้จะได้บินขึ้นสู่ยอดไม้กลายเป็นหงส์ กลับไม่รู้ว่าประตูจวนแห่งนี้เข้ามาแล้วลึกดุจท้องทะเล ความมั่งมีรุ่งเรืองเฟื่องฟูในสายตาคนนอกก็แค่สุสานของสตรีที่อาภัพจำนวนหนึ่งเท่านั้น ฟังเรื่องเหล่านี้แล้ว หลวนอวิ๋นชูแอบทอดถอนใจด้วยความเสียดาย แต่ไม่ได้พูดอะไรมาก หันไปถาม
“เจ้าเอาของไปให้ สะใภ้สามว่าอย่างไรบ้าง”
สี่จวี๋อึ้งงันไปชั่วขณะ แล้วจึงนึกได้ว่าตนมาที่นี่เพื่อเอาของขวัญมามอบให้ พูดมานานสองนานถึงกับลืมธุระสำคัญไปแล้ว อดใบหน้าร้อนผ่าวไม่ได้
“ตอนบ่าวมาถึง สะใภ้สามกำลังโกรธกระฟัดกระเฟียดใส่คุณชายสาม บ่าวไม่กล้าโอ้เอ้ ถ่ายทอดคำพูดของท่านให้นาง นางถึงกับบอก…ถึงกับบอก…”
เสียงของสี่จวี๋ลดลงมา คิดว่าพานหมิ่นคงพูดจาไม่น่าฟัง ยากจะเอ่ยออกจากปาก
ฝูหรงเห็นแล้วก็รู้ว่าต้องไม่ใช่คำพูดดีอะไร จึงพูดอย่างไม่พอใจ “ถึงกับพูดอะไร อยู่กับคนกันเองยังจะปิดบังอ้ำอึ้งอีกหรือ”
“สะใภ้สามถึงกับบอกนางก็คิดเช่นนั้น สะใภ้สี่ดวงแข็ง ไม่มาเรือนชิ่นย่วนดีที่สุด เรือนชิ่นย่วนจะได้ไม่ซ้ายคนหนึ่งขวาคนหนึ่งถูกหามออกไปข้างนอก ยังบอกนางกำลังจะสั่งคนให้คอยเฝ้าอยู่ที่ประตู ถ้าท่านไม่รู้อะไรควรไม่ควรมาแล้ว เพียงเอาของขวัญทิ้งไว้ก็พอ ในเรือนก็ไม่ต้องเข้าไป ยังดี ท่านยังเป็นคนที่รู้การควรไม่ควร”
สี่จวี๋พูดไปก็แอบมองสีหน้าหลวนอวิ๋นชูไป เห็นนางสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน จึงลอบระบายลมหายใจ
“ก็บอกแล้วปากสุนัขไม่มีงาช้างงอกออกมา!” ฝูหรงมองสี่จวี๋ โมโหจนดวงตากลมโตปูดโปน “นางพูดจาไม่น่าฟังเพียงนี้ เจ้าไม่หมุนตัวเดินออกมาเสีย ยังจะเอายาบำรุงทิ้งไว้อีก ปล่อยให้นางเอาเปรียบไปเปล่าๆ แล้ว!”
“นางรับยาบำรุงไปก่อน ถึงได้เอ่ยคำพูดเหล่านี้!” ถูกต่อว่าจนหน้าแดง เสียงของสี่จวี๋ก็ดังขึ้นมา “จะอย่างไรก็เป็นสะใภ้คนหนึ่ง ข้าจะขอของกลับคืนมาได้อย่างไร”