ชิวเยี่ยถอนหายใจ สิ่งที่นางทำได้มีเพียงเท่านี้ การสะกิดเตือนอย่างอ้อมๆ นับว่าเห็นแก่ที่ฉู่จิ่นเหยาถูกขายจากครอบครัวชาวนามายังจวนโหวแล้ว นางเข้าใจความรู้สึกอีกฝ่ายดี ในใจรู้สึกสงสารฉู่จิ่นเหยาที่เติบโตมาในครอบครัวชาวนาเช่นเดียวกับตน ทว่ามากกว่านั้นนางคงทำอะไรไม่ได้
ในตระกูลใหญ่โตความจริงแล้วก็แล้งน้ำใจเช่นนี้
จางหมัวมัวออกมาจากห้องรองทางทิศตะวันตก ท่าทางไม่พอใจอย่างยิ่ง “เมื่อครู่ใครเปิดม่าน ฮูหยินเพิ่งตื่น บนร่างยังมีเหงื่อ หากฮูหยินเจ็บไข้ได้ป่วยไป พวกเจ้าคนใดจะรับผิดชอบไหว”
ชิวเยี่ยก้มหน้ารับผิดทันควัน ฉู่จิ่นเหยาถูกทำให้ตกใจแล้ว นางรีบเอ่ยปากว่า “ไม่เกี่ยวกับพี่ชิวเยี่ย เป็นข้าเปิดเองตอนเข้ามา”
จางหมัวมัวไม่เคยเห็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์เป็นฝ่ายออกมายอมรับผิดเลยสักครั้ง ปกติมีคุณหนูท่านใดไม่ให้บ่าวรับใช้ข้างกายรับผิดแทนบ้าง ต่อให้ตนเองกระทำความผิดก็ไม่มีทางยอมรับ เพียงหันไปมองก็มีบ่าวรับใช้ก้าวออกมาขอรับโทษแทนแล้ว นับประสาอะไรกับฉู่จิ่นเหยาที่มิได้กระทำความผิดนี้ ครั้นเห็นฉู่จิ่นเหยาพูดเช่นนี้ จางหมัวมัวก็ไม่สะดวกจะบันดาลโทสะ แม้นางจะเป็นสาวใช้ที่ติดตามฮูหยินออกเรือนมาก็ยังคงเป็นบ่าว ไฉนเลยจะสามารถต่อว่าต่อขานเจ้านายได้แม้เพียงคำเดียว
จางหมัวมัวได้แต่เปลี่ยนสีหน้าแล้วเค้นรอยยิ้มกล่าวทันที “ที่แท้เป็นคุณหนูห้ามาเยือน คุณหนูห้ามาคารวะแต่เช้าจริงๆ ฮูหยินกำลังแต่งตัวอยู่ด้านใน รีบเข้ามาเถิดเจ้าค่ะ”
ฉู่จิ่นเหยากล่าวขอบคุณจางหมัวมัวแล้วจึงเดินไปทางห้องรองทางทิศตะวันตกอย่างเบามือเบาเท้า
จางหมัวมัวเบี่ยงตัวให้ฉู่จิ่นเหยาเดินไปก่อน จากนั้นตนเองถึงเดินตามไป นางมองแผ่นหลังของฉู่จิ่นเหยา เห็นว่าอีกฝ่ายจงใจเคลื่อนไหวอย่างแผ่วเบา ในใจก็รู้สึกซับซ้อนยิ่ง
ฉู่จิ่นเหยาเป็นคุณหนูสายตรงอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เป็นบุตรสาวที่น่าภาคภูมิใจซึ่งคลานออกมาจากครรภ์ของจ้าวซื่อ จำเป็นต้องเกรงอกเกรงใจระมัดระวังถึงเพียงนี้เสียที่ใด หากเปลี่ยนเป็นคุณหนูสี่ที่เติบโตมาเบื้องหน้าฮูหยินคงเริ่มส่งเสียงพูดคุยตั้งแต่เข้าประตูมา จากนั้นก็วิ่งตึงตังเข้าห้องรอง โถมตัวเข้าคลอเคลียในอ้อมแขนฮูหยินอย่างแน่นอน มีหรือจะสนใจว่าฮูหยินกำลังแต่งตัวอยู่หรือไม่ แต่ครั้นเป็นฉู่จิ่นเหยาบุตรสาวที่แท้จริงของฮูหยิน นางกลับระมัดระวังถึงเพียงนี้
จางหมัวมัวถอนหายใจ ใครจะคิดว่าเรื่องที่แม้แต่ในบทละครก็ยังไม่กล้าเขียนพรรค์นี้ถึงกับเกิดขึ้นในตระกูลมั่งคั่งทรงอำนาจอันดับหนึ่งแห่งเมืองไท่หยวนอย่างจวนฉางซิงโหว
ปลายฤดูใบไม้ร่วงในรัชศกเจี้ยนซิงปีที่สิบเก้าหรือก็คือช่วงเดือนสิบปีที่แล้ว บ่าวหญิงสูงวัยในเรือนจ้าวซื่อฮูหยินแห่งจวนฉางซิงโหวดื่มสุราจนเมามาย เริ่มคุยโวกับบ่าวหญิงในเรือนอื่นด้วยท่าทางมีลับลมคมใน นางอวดตัวว่าเป็นคนเก่าแก่ รู้เรื่องมากมายของฮูหยินดี แม้แต่เรื่องที่คุณหนูสี่ไม่ใช่บุตรสาวแท้ๆ ของฮูหยินนางก็รู้
บรรดาบ่าวหญิงได้ยินก็รู้ว่าบ่าวหญิงสูงวัยนางนี้กำลังคุยโว คุณหนูสี่เป็นผู้ใด นั่นเป็นถึงคุณหนูคนที่สองที่เกิดจากฮูหยิน เป็นบุตรสาวคนเล็ก ได้รับการทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงไว้กลางฝ่ามือ จะไม่ใช่บุตรสาวแท้ๆ ได้อย่างไร หากเป็นในยามปกติพอบ่าวหญิงสูงวัยนางนี้คุยโว ผู้อื่นย่อมถือว่าฟังเอาสนุก ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป แต่วันนั้นผู้ติดตามคนสนิทของท่านโหวเดินผ่านมาได้ยินเข้าพอดี
ผู้ติดตามกลับไปเรียนให้ฉางซิงโหวทราบทันที ฉางซิงโหวได้ฟังก็โมโหอย่างยิ่ง กุข่าวเรื่องเจ้านายเดิมทีก็เป็นโทษมหันต์ แล้วดูเอาเถิดว่าบ่าวหญิงพวกนั้นกำลังปั้นแต่งเรื่องอะไรกัน ฉางซิงโหวสั่งให้คนพาตัวบ่าวหญิงพวกนั้นที่อยู่เรือนในมาแล้วสอบปากคำเอาความด้วยตนเอง บ่าวหญิงสูงวัยนางนั้นเกิดความหวาดกลัวจึงคุกเข่าลงกับพื้นแล้วเล่าเรื่องที่รู้ให้ฉางซิงโหวฟังอย่างหมดเปลือกทันที
เดิมทีฉางซิงโหวไม่เชื่อ แต่พอเห็นว่าบ่าวหญิงสูงวัยเล่าอย่างจริงจังก็เริ่มลังเล สุดท้ายจึงส่งคนของตนเองไปสืบเรื่องนี้เพื่อป้องกันภัยที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง เป็นการคืนความบริสุทธิ์ให้แก่บุตรสาวของตน ผลคือสืบได้ว่าคุณหนูสี่ผู้ที่เกิดจากภรรยาเอกและได้รับความโปรดปรานที่สุดในจวนโหวอาจเป็นไปได้ว่าจะมิใช่บุตรสาวของเขาจริงๆ