ในปีนั้นขณะที่ฮูหยินท่านโหวจ้าวซื่อตั้งครรภ์ประจวบเหมาะกับช่วงที่ชาวต๋าต๋ามารุกรานชายแดน ศัตรูบุกรุกลงใต้เข้าประชิดเมืองหลวงพอดี เขตปกครองเป่ยจื๋อลี่หวิดจะเกิดเรื่อง ซานซียิ่งประสบภัย พื้นที่หลายแห่งล้วนถูกชาวต๋าต๋าสังหารคนวางเพลิงและปล้นสะดมไปจนหมดสิ้น เมืองไท่หยวนก็มิใช่ข้อยกเว้น จวนฉางซิงโหวเป็นตระกูลมั่งคั่งชื่อดังในเมืองไท่หยวน ย่อมตกเป็นเป้าของคนเถื่อนเหล่านั้น เวลานั้นฉางซิงโหวนำทัพอยู่ข้างนอกมิอาจดูแลจวนโหวได้ ฮูหยินและคุณหนูทั้งหลายในจวนโหวทำได้เพียงหนีลงใต้กันอย่างลนลาน ยังดีที่เพียงไม่นานฉางซิงโหวก็นำทหารมายึดเมืองไท่หยวนคืนได้ ครอบครัวที่กระจัดกระจายจึงทยอยถูกรับตัวกลับมา ทว่าฮูหยินท่านโหวจ้าวซื่อกำลังตั้งครรภ์ อีกทั้งได้รับความตกใจจึงทนไม่ไหวคลอดระหว่างทางหนีลงใต้
ระหว่างทางหนีภัยนำสิ่งของติดกายไปเท่าที่จำเป็น ชีวิตยังจะเอาไม่รอด ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเครื่องมือเครื่องใช้ในการทำคลอด จ้าวซื่อทำได้เพียงพาคนไปขอพักแรมที่เรือนชาวบ้าน ใช้เครื่องประดับทองคำสองสามชิ้นเป็นค่าตอบแทน ในที่สุดก็คลอดบุตรสาวออกมาได้อย่างยากลำบาก
ขณะนั้นที่เรือนหลังนั้นก็มีทารกเพิ่งคลอดเช่นกัน เนื่องด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงต้องหลบอยู่ในเรือน มิได้หนีลงใต้ไปกับคนในหมู่บ้าน หลังจ้าวซื่อคลอดบุตรสาวได้อย่างปลอดภัยก็ได้ฝากให้หญิงชาวบ้านช่วยให้นมอยู่หลายวันกว่าจะพาสาวใช้จากมา ผ่านไปอีกสองสามวันทหารที่มารับจ้าวซื่อกลับจวนก็มาถึง
หลังจ้าวซื่อรอดชีวิตกลับถึงจวนโหวก็ยิ่งรักใคร่บุตรสาวที่ร่วมเป็นร่วมตายกับตนเองคนนี้ แม้แต่คุณหนูใหญ่ก็ยังสู้ไม่ได้ จ้าวซื่อให้กำเนิดบุตรชายหนึ่งคนและบุตรสาวสองคน หากเรียงลำดับตามอายุก็จะเป็นคุณหนูใหญ่ คุณชายรอง และคุณหนูสี่ ขณะหนีภัยคุณหนูใหญ่ถูกฮูหยินผู้เฒ่าฉู่พาไปด้วยกัน หลังจากจ้าวซื่อพลัดหลงกับคนอื่นข้างกายมีเพียงจางหมัวมัวและคุณหนูสี่บุตรสาวคนเล็ก หลังกลับถึงจวนคุณหนูสี่ได้รับนามว่า ‘เมี่ยว’ และใช้ชื่อตัวแรกว่า ‘จิ่น’ ตามลำดับศักดิ์รุ่นหลาน เป็นที่รักใคร่โปรดปรานของทั้งสองครอบครัว
ฉางซิงโหวเองก็เอ็นดูบุตรสาวที่ถือกำเนิดอยู่ข้างนอกและเคยพลัดที่นาคาที่อยู่ผู้นี้เป็นอย่างมาก แต่บัดนี้เบาะแสต่างๆ ได้บอกเขาว่าฉู่จิ่นเมี่ยวอาจไม่ใช่บุตรสาวของเขา บุตรสาวที่แท้จริงของเขาถูกครอบครัวชาวนาครอบครัวนั้นลอบสลับตัวในปีที่เกิดจลาจล
ฉางซิงโหวสืบข่าวนี้ได้แล้วก็โกรธมาก ไม่มีกะจิตกะใจจะฉลองปีใหม่ เขาสั่งคนให้สอบสวนบ่าวหญิงสูงวัยที่หลุดปากพูดในวันนั้นอย่างเข้มงวดอีก ต่อมาบ่าวหญิงสูงวัยก็ยอมสารภาพว่านางได้ยินจางซื่อผู้เป็นหมัวมัวที่ติดตามมาตั้งแต่ตระกูลเดิมของฮูหยินพลั้งปากพูดขณะดื่มสุราเป็นเพื่อนอีกฝ่ายเมื่อหลายปีก่อน ยามนั้นจางหมัวมัวก็นึกสงสัย แต่เรื่องเช่นนี้มิอาจพูดส่งเดช นางจึงฝังเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจมาโดยตลอด ภายหลังดื่มสุราจนเมามายถึงได้แพร่งพรายให้บ่าวหญิงสูงวัยผู้นี้ฟัง หลังจากนั้นหลายปีผู้ติดตามคนสนิทของฉางซิงโหวก็บังเอิญมาได้ยินเข้า
ฉางซิงโหวคิดอยู่หลายวันอย่างเงียบๆ มิได้ทำให้จ้าวซื่อรวมถึงฮูหยินผู้เฒ่าฉู่ผู้เป็นมารดาตกใจ จากนั้นก็สั่งให้คนไปตามหาหมอตำแยในปีนั้น หลังหมอตำแยจากไป ฉางซิงโหวก็นั่งอยู่ในห้องเป็นเวลานาน ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจะไปตามหาเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของตนเองกลับมา
เชื้อสายของเขาจะปะปนกับเชื้อสายอื่นมิได้ ถึงแม้จะเป็นเพียงบุตรสาวก็ตามที