บทที่ 1.2 การกลับมาของคุณหนู
ฉางซิงโหวหาข้ออ้างว่าหลังฉลองปีใหม่เสร็จจะออกจากจวน เวลานั้นจ้าวซื่อยังตำหนิเขาว่าเพิ่งจะเดือนหนึ่งแท้ๆ มีเหตุอะไรถึงต้องออกไปข้างนอก ฉางซิงโหวมิได้สนใจ มุ่งเดินทางลงใต้จนหาฉู่จิ่นเหยาพบในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งบริเวณชายแดนทางใต้ของซานซี
ขณะนั้นฉู่จิ่นเหยาถูกเรียกขานว่า ‘ซูเหยา’
วันนั้นซูเหยาตื่นแต่เช้าออกไปเก็บฟืนตามปกติ ยามนางแบกตะกร้าฟืนกลับมาได้หันกลับไปมองเพราะคล้ายรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นก็เห็นว่าในที่ไม่ไกลมีบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่ ท่าทางน่าเกรงขาม มีกลิ่นอายสูงศักดิ์อยู่ทั่วกาย กำลังจ้องนางอย่างเงียบๆ
‘ท่านลุงมาหาใครหรือเจ้าคะ’
ฉางซิงโหวไม่พูดไม่จา เขาจ้องอีกฝ่ายนิ่งอยู่นานก่อนจะแหงนหน้าถอนหายใจยาว
แม่นางน้อยตรงหน้ามีอายุราวสิบสามปี เนื่องจากทำไร่ทำนามาตลอดทั้งปีร่างกายจึงมีกล้ามเนื้อมากกว่าคุณหนูในจวนฉางซิงโหว ทว่ากลับผ่ายผอมอย่างยิ่ง ผิวตากแดดจนคล้ำ ใบหน้าก็ซูบตอบดูไม่แข็งแรงนัก แต่ดวงตาคู่นั้นกลับน่ามองอย่างประหลาด ชวนให้คนรู้สึกว่านางไม่ควรปรากฏตัวอยู่ในหมู่บ้านชนบทพรรค์นี้ แต่นางควรเป็นสตรีผู้งามล้ำเลิศถูกเลี้ยงดูอยู่ในวัง ได้รับความรักใคร่โปรดปรานสุดแสน มีคนนับร้อยคอยปรนนิบัติ
ไม่ผิดแน่ ดวงตาและจมูกของแม่นางน้อยผู้นี้แทบจะเหมือนกับของฉู่จูน้องสาวของเขาทุกกระเบียดนิ้ว แตกต่างจากฉู่จิ่นเมี่ยวที่หลายปีมานี้ยิ่งโตยิ่งจืดชืด ไม่เหมือนเขาเลยสักนิด
ฉางซิงโหวเดินเข้าไปใกล้อย่างช้าๆ เอ่ยถามว่า ‘เจ้าชื่อว่าอะไร’
ซูเหยารู้สึกว่าแปลกอย่างยิ่ง แต่ยังคงยิ้มอย่างอ่อนหวานแล้วตอบว่า ‘ข้าชื่อซูเหยา ท่านมิใช่คนที่นี่กระมัง ท่านหลงทางมาหรือเจ้าคะ’
ฉางซิงโหวมิได้ตอบคำถามของซูเหยา แต่ย้อนถามว่า ‘เหยา? นี่ไม่ใคร่เหมือนชื่อที่คนในหมู่บ้านชนบทจะตั้งออกมาได้’
‘เป็นเพราะท่านแม่ข้าบอกว่าขณะข้าเกิดมีนักพรตพเนจรผู้หนึ่งได้มอบหยกชิ้นหนึ่งแก่ข้า เขาตั้งชื่อข้าว่าเหยา* ครอบครัวจึงเรียกข้าเช่นนี้’
ฉางซิงโหวมองหยกของซูเหยา นั่นเป็นหยกที่ใสสะอาดและข้างในมีริ้วแดงปรากฏอยู่ ดูจากเนื้อก็รู้ว่ามีค่าไม่ใช่น้อย ริ้วแดงที่ข้างในก็วิจิตรมากเช่นกัน ราวกับว่าขณะที่โลหิตหยดลงในน้ำได้ถูกหยกขาวนี้เก็บกักเอาไว้ ฉางซิงโหวพลันนึกถึงข่าวลือจำพวกหยดเลือดพิสูจน์ญาติ
ในปีที่ซูเหยาหรือควรเรียกว่าฉู่จิ่นเหยาเกิด เมืองไท่หยวนมีนักพรตพเนจรผู้หนึ่งมาเยือน กล่าวกันว่ามีสมบัติเต็มกาย เขาพกหยกวิเศษล้ำค่าที่สามารถคืนชีพคนตายได้ก้อนหนึ่งติดกายมาเพื่อตามหาเจ้าของยังโลกมนุษย์ ฉางซิงโหวไม่ค่อยเชื่อข่าวลือพรรค์นี้นัก แต่เขาคิดว่าบุตรของตนใกล้จะคลอดแล้ว ไม่ว่าเป็นหญิงหรือชาย เชื้อสายอันเกิดจากภรรยาเอกอย่างไรก็หาได้ยาก เขาคิดจะหาหยกชั้นดีสักก้อนมาทำเป็นจี้หยกอายุยืนเพื่อมอบให้บุตร จึงไปหานักพรตด้วยตนเอง นักพรตกลับมองเขาแล้วกล่าวขึ้น
‘หยกกับบุตรสาวของท่านมีวาสนาต่อกัน แต่ข้ายังมิอาจมอบให้ท่านได้’
ฉางซิงโหวได้ยินแล้วก็แค่นเสียงออกจมูก สะบัดแขนเสื้อจากไป เขาเป็นถึงท่านโหว ลดตัวลงไปหานักพรตคนหนึ่งนับว่าให้เกียรติที่สุดแล้ว แต่นักพรตผู้นี้กลับไม่เห็นคุณค่า พูดจาเหลวไหล อะไรคือหยกกับบุตรสาวของเขามีวาสนาต่อกัน ทว่ายังไม่อาจมอบให้เขาผู้เป็นบิดาได้ ไม่ต้องพูดถึงจ้าวซื่อที่กำลังตั้งครรภ์บุตรสาวจริงๆ หรือไม่ นักพรตไม่ให้เขาแล้วจะตกไปถึงมือบุตรสาวของเขาได้อย่างไร อยากฉวยโอกาสโก่งราคาเสียมากกว่ากระมัง